OPPO Reno6Z 5G เตรียมเปิดตัวด้วยสเปกที่มาพร้อมกับ MTK dimensity 800U และ มาพร้อมกับสโลแกน “อารมณ์ไหน ก็พอร์ตเทรต”  ซึ่งจะมาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล และในรอบนี้ชูจุดเด่นเน้นถ่ายภาพแนว Portrait ด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนได้อย่างสวยงาม และ Portrait Beautification Video ส่วนงานออกแบบของ OPPO Reno6 Z 5G ออกแบบให้มีความสอดคล้องกับดีไซน์ที่บางและเบาของ Reno Series ซึ่งถือเป็นความสวยงามที่มีการผสมผสานกันระหว่างรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและดีไซน์อันเหนือระดับ พร้อมดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ทำให้ OPPO Reno6 Z 5G นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว การจับถือก็กระชับมือด้วยเช่นกัน มาด้วยกัน 2 สี คือ Stellar Black และ Aurora แบบในภาพ

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับการใช้งาน ชิปประมวลผล Dimensity 800U 5G พร้อมกับ RAM 8GB ขนาดใหญ่ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี RAM Expansion เพื่อการเล่นเกมที่ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และความจุ 128GB พร้อมกับระบบ Android 11 + ColorOS11.1 ตัวล่าสุด บนหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (1080p+), อัตราส่วน 20:9, ใช้กระจก Gorilla Glass 5 และ โดดเด่นในเรื่องของกล้องหลังกล้องหลัง 64MP + กล้อง ultra-wide 8MP + กล้องมาโคร 2MP พร้อมกับ อัลกอริทึม AI ที่มีประสิทธิภาพจาก OPPO ทำให้ OPPO Reno6 Z 5G เต็มไปด้วยฟีเจอร์การถ่ายพอร์ตเทรตอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น Bokeh Flare Portrait และ Portrait Beautification Video ช่วยให้ถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตได้อย่างคมชัด สวยงามเป็นธรรมชาติพร้อมกับ กล้องหน้า 32MP ที่รองรับ การถ่ายจัดเต็ม รวมถึง โหมดการถ่ายวีดีโอ Dual-View ต่างๆครับ และจัดเต็มกับ แบตเตอรี่ 4,310 mAh รองรับชาร์จเร็ว VOOC flash charge 30W มาตรฐานทำให้ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 100% ได้ในเวลาเพียง 49 นาที พร้อม Super Power Saving Mode + Super Nighttime Standby
ฟีเจอร์ทั้งสองนี้จะช่วยขยายระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ในช่วงเวลาที่คุณต้องการมากที่สุด  และมีน้ำหนักเบา ดีไซน์สวยเช่นเดิม Reno Glow มีการใช้กระบวนการ Diamond Spectrum แบบใหม่ เพื่อให้โทรศัพท์มีสีที่ ‘เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา’ เมื่อมองจากมุมหรือแสงที่แตกต่างกันด้วยเช่นกันเป็นสีที่สวยและฝาหลังโดดเด่นมากๆ และอีกสีนั้นจะเป็นสีดำก็ถือว่าเป็นฝาหลังแบบด้านทั้งหมดเล่นแสงสีได้สวย ส่วนทางด้านราคานั้นต้องรอติดตามวันที่ 21 นี้ นะครับว่าในประเทศไทยเองนั้นจะมาพร้อมกับราคาเท่าไรแต่เรื่องของแถม เราแอบมาบอกก่อนนะว่ามีอะไรบ้าง !

สำหรับการ Pre-Order นั้นจะเป็นระยะเวลาหลังเปิดตัวนะครับ ซึ่งจะมีงานวันที่ 21 นี้ และเปิดจองช่วง  22 – 29 กรกฎาค

 

ม 2564 และได้รับ ของสมนาคุณ E-VIP Card รับประกันหน้าจอแตกระนะเวลา 1 ปี รวมถึง Bluetooth Speaker มูลค่ารวม 7,099 บาท ซึ่งทางเราก็ได้ของมาก่อนและเอามาแกะก่อนให้ชมกันเลยว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง

สำหรับหน้าตาตัวลำโพงที่จะแถมสำหรับคนที่ Pre-Order นั้นก็เน้นใช้งานทั่วไปได้ครับดูสวยและมีปุุ่มอะไรมาตรฐานเลยนั้นเอง สามารถหิ้วได้ง่าย ส่วนเรื่องเสียงก็ใช้งานได้ดี เน้นความดังและเชื่อมต่อง่ายๆไม่ต้องมีแอพอะไรเยอะครับ

UNBOX

ตัวกล่องนั้นเป็นสีเขียวอมฟ้า และมีเขียนชื่อรุ่นตามปกติครับซึ่งตัวกล่องข้างในนั้นจะเป็นดำครับ อุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาครบทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0  ชาร์จ 20 นาที ได้แบต 50% และ มีเคสใสแถมมาให้รวมถึงตัวฟิล์มของหน้าจอก็ติดมาให้แล้วเรียบร้อยครับผม

  • ตัวเครื่อง OPPO Reno6 Z 5G พร้อมฟิล์มกันรอย
  • เคส TPU ใส
  • หูฟัง Earbuds
  • คู่มือการใช้งาน ที่จิ้มซิม
  • ที่ชาร์จ 30W
  • สาย USB-A ไป TYPE-C

ที่ชาร์จในรุ่นนี้ให้ที่ชาร์จที่รองรับการชาร์จ 30W  VOOC 4.0 มาให้เลยไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม ตัวที่ชาร์จมีขนาดใหญ่พอประมาณครับ รูปทรงสี่เหลี่ยม และเป็นขาแบน 2 ขาครับส่วนสายชาร์จนั้นเป็นสายแบบ USB-C สีขาวที่ให้มาครบๆ

เคสที่แถมมานั้นจะเป็นแบบ TPU ใสนิ่มความหนาระดับกลางๆครับไม่ได้แข็งหรือหนามากนัก ครอบเครื่องได้ดี มีจุกปิดกันฝุ่น ส่วนด้านล่างที่เป็นช่องชาร์จไฟ การป้องกันนั้นรองรับได้ระดับนึงในส่วนของด้านหน้าและด้านหลังเวลาวางนั้นไม่โดนตัวเลนส์กล้องหรือหน้าจอ แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้เยอะมากนักเพราะไม่ได้นูนออกมาเยอะ และไม่ได้หนา เรียกได้ว่าอาจจะพอดีๆกับเลนส์กล้องเลย ส่วนวัสดุนั้นเป็นแบบสีใสใช้งานนานๆก็มีเหลืองได้ปกติของวัสดุนี้ครับ

DESIGN 

งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าเมื่อใช้งานและสัมผัสแล้วอย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือความเบาและบางที่ทำได้ดีครับคือรู้สึกเลยว่ามันพกพาได้ง่าย  ส่วนเรื่องรูปทรงและงานออกแบบในภาพรวมนั้นจับถนัดมือมีความโค้งมนในส่วนของขอบซ้ายและด้วยดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ทำให้นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว การจับถือก็กระชับมือด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ 2 สีได้แก่ สีStellar Black และ สีAurora สวยมากเลยจริงๆ

หน้าจอในส่วนของรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรู มาพร้อมกับขนาด 6.43″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 90.8% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ในเรื่องของความสว่างสามารถทำได้สูงสุดถึง 1200 NITS เลยทีเดียว และได้รับการรับรอบจาก Netflix & Amazon HD Streaming อีกด้วย

หน้าจอในส่วนของขอบด้านบนนั้นถือว่าบางเท่าๆกับขอบซ้าย/ขวา จะเห็นว่าเป็นหน้าจอเจาะรู และส่วนขอบด้านบนนั้นจะเป็นขอบลำโพง และพวกเซนเซอร์นั้นจะแฝงอยู่ตรงขอบๆครับ กล้องหน้าในรุ่นนี้ให้มาที่ 32 ล้านพิกเซล

หน้าจอในส่วนข้างล่างนั้นขอบส่วนสีดำนั้นมีความบางพอสมควรครับและสามารถใช้งานการควบคุมแบบเต็มหน้าจอ หรือ จะเป็นแบบปุ่มปกติได้ ส่วนขอบหน้าจอๆรอบๆนั้นถือว่าบางพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆถือว่าใกล้เคียงกัน

ส่วนของขอบบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของไมค์ตัดเสียง ส่วนขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นโทนสีอ่อนปัดเงาครับ ส่วนความหนาบางเบานั้นรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลย

ส่วนขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power ตำแหน่งอยู่เยื้องไปทางข้างบนครับเป็นตำแหน่งที่พอดีเวลาถือ จะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนนิดหน่อยจะไม่ได้นูนเยอะ และ การออกแบบขอบเครื่องเงานั้นดูบาง และ สวยพรีเมี่ยม

มากขึ้นครับ

ในส่วนขอบเครื่องในด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของรู 3.5 มม. และ รูไมค์ รวมถึงให้ USB-C มา และตัวลำโพงหลักนั้นจะอยู่ในส่วนด้านขวาของเครื่องตามภาพครับ ในรุ่นนี้จะเป็นลำโพง 1 ตัวแต่ตัวหลักนั้นจะเป็นส่วนขอบขอบด้านล่าง

ในส่วนของขอบเครื่องฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่รองรับการใช้งาน 2 ซิม Triple Slot และรองรับ Micro-SD ครับส่วนเรื่องปุ่ม เพิ่ม ลดเสียงนั้น แยกปุ่มกันและอยู่ในตำแหน่งกำลังดี และขอบเครื่องเงา บางสวยเลยทีเดียว

ฝาหลังการออกแบบวางกล้องมุมเครื่องเรียงกันพร้อมมีความนูนพอประมาณ โลโก้วางแนวนอนอยู่ทางขวาล่างของหลังเครื่อง สีที่เรารีวิวนั้นจะเป็น Aurora มีการไล่สีสวยงามน้ำเงินไปฟ้าอมเขียวครับ พร้อมสีการออกแบบ แบบ Reno Glow มีการเล่นสีตามมุมแสงวัสดุฝาหลังเป็นกระจกโค้งลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกับมีการเคลือบเลเยอร์สีในมีสะท้อนไล่สีได้สวยงามตามภาพ

กล้องหลังมาพร้อมกับดีไซน์ที่คล้ายกับ Reno 5 series ก่อนหน้าพอสมควร กล้องหลังวางเรียง 3 ตัว พร้อมกับความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119 องศา ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ส่วนไฟแฟลชนั้นวางในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นโมดูลเดียวกันและมีความนูนนิดๆ

SPEC

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (1080p+), อัตราส่วน 20:9, ใช้กระจก Gorilla Glass 5
  • MediaTek Dimensity 800U 5G SoC
  • RAM 8GB + Storage 128GB
  • Android 11 + ColorOS 11.1
  • ซิมคู่ (nano + nano + microSD)
  • ระบบระบายความร้อน Heat Dissipation Multi-Cooling System
  • กล้องหลัง 64MP f/1.7 และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119 องศา กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
  • กล้องหน้า 32MP
  • แบตเตอรี่ 4,310 mAh รองรับชาร์จเร็ว VOOC flash charge 30W
  • ใช้งาน USB-C พร้อม รูหูฟัง 3.5 มม.

SCREEN

หน้าจอในรุ่นนี้เป็นการออกแบบหน้าจอแบบเจาะรู มาพร้อมกับขนาด 6.43″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 90.8% หน้าจอใช้งาน Super AMOLED Display FHD+ และ  Corning Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างมากถึง 800 nit และความสว่างสูงสุด 1,200 nit รองรับการแสดงผลถนอมสายตา ความไวความหน่วงนั้นไม่มีเลยซึ่งถือว่าดีสำหรับใครที่เน้นในเรื่องนี้ ส่วนตัวหน้าจอจากที่ลองทั้งเรื่องของการสู้แสงและมุมมองถือว่าใช้งานได้ดีและรวมถึงโทนสีมิติของภาพนั้นทำได้ดีคุณภาพสูงเหมือนเดิม แต่น่าเสียดายว่ายังคงใช้งาน 60 Hz เท่านั้นครับตัวนี้

ANTUTU MTK DIMENSITY 800U 5G 

ในด้านคะแนน Antutu นั้นในรุ่นนี้มาพร้อมกับ MTK Dimensity 800U 5G ทำให้รองรับการใช้งานสบายๆครับ สำหรับทาง OPPO Reno 6Z 5G ตัวนี้ใช้งาน RAM 8GB ถือว่าแรงขึ้นพอสมควรเลย และ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี RAM Expansion ที่สามารถเอาความจำของตัวเครื่องมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้สูงสุดถึง 5GB กันเลยทีเดียว การใช้งานรับรองว่าลื่นไหลแน่นอน  ยังหมดกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม OPPO Reno 6Z 5G พร้อมกับ Game Focus Mode ที่จะลดการแจ้งเตือนทั้งหมดที่ไม่จำเป็น เพื่อให้คุณสามารถเล่นเกมได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมช่วยให้คุณสามารถจดจ่อกับเกมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ในเรื่องของคะแนนในรุ่น OPPO Reno 6Z 5G นี้มาพร้อมกับคะแนน 371134 กันเลยทีเดียว

ANDROBENCH

ในส่วนของการอ่านเขียนนั้นได้ใช้งาน UFS แล้วในรุ่นนี้ซึ่งทำให้มันสามารถอ่านเขียนได้ไวขึ้น และทำงานอะไรได้ดีขึ้นเยอะกว่าแบบเดิม และจากที่ทดสอบนั้นทำได้ 950.1 MB/s ในการอ่าน และ เขียนอยู่ที่ 493.6 MB/s ครับถือว่าทำได้ดีเหมือนเดิมเลย และในส่วนของเรื่องความปลอดภัยในรุ่นนี้ได้ DRM L1 ปกติเลยนะครับ ตระกูล Reno ทำได้ดีเลย

CAMERA 

ตัวกล้องหลังรุ่นนี้มาพร้อมกับ กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 64 MP เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119 องศา และ เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 32 MP ในรอบนี้ชูจุดเด่นที่กล้องหล้ง เน้นถ่ายภาพแนว Portrait ด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนได้อย่างสวยงาม และ Portrait Beautification Video และ ฟีเจอร์อีกมากมาย ที่จะทำให้การถ่ายภาพของคุณสนุกมายิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งต้องบอกว่าในการทดสอบจริงโหมด Portrait เด่นเลยทีเดียว

OPPO Reno 6Z 5G

ถือว่า OPPO เองยังคงเน้นในเรื่องของกล้อง และ โหมดการถ่ายแบบต่อเนื่องและครั้งนี้มีความพิเศษมากขึ้นไปอีกขั้นครับ เท่าที่ลองบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ส่วนตัวอย่างภาพนั้นจัดเต็มให้แน่นอนในรีวิวเต็มของรุ่นนี้ วันที่ 21 นี้รอติดตามกันได้เลย ทั้งในเรื่องของโหมด Bokeh Flare Portrait ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง โดย ฟีเจอร์นี้จะเปลี่ยนแสงไฟบนพื้นหลังให้กลายเป็นดวงไฟโบเก้ พร้อมเพิ่ม ความสดใสของบุคคลในภาพอีกด้วย รวมถึง Portrait Beautification Video มาพร้อมฟีเจอร์การจดจำจุดสำคัญของใบหน้าได้ถึง 193 จุด ทำให้OPPO Reno6 Z 5G สามารถมอบเอฟเฟกต์ความงามที่ประณีตและเป็นธรรมชาติให้กับวิดีโอได้แม่นยำมากขึ้น และ เอาจริงๆในเรื่องของการถ่ายคน ค่ายนี้ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ทั้งความสวยเนียน สกินโทนต่างๆ และในเรื่องสเปกอื่นๆก็ให้มากำลังดีทั้ง MTK Dimensity 800U  พร้อมกับหน้าจอ AMOLED 6.43 นิ้วว FHD+ รวมถึงการชาร์จไว 30W VOOC 4.0 Charge ทำให้การใช้งานทั้ง การถ่ายภาพ หน้าจอ การชาร์จไว รวมถึงสเปกนั้นเพียงพอและลงตัวเลยทีเดียวครับ

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares