Samsung Galaxy Note 10 ได้ทำการเปิดตัวในประเทศไทยเรียบร้อยซึ่งมาพร้อมกันทั้งหมด 2 รุ่นคือ Samsung Galaxy Note 10 ในรุ่นเล็ก และ Note 10+ ในรุ่นใหญ่ครับ แน่นอนว่ามีจุดแตกต่างกันพอสมควรทั้งเรื่องของราคา และ ขนาดหน้าจอรวมถึงตัวกล้องครั้บซึ่งรุ่นที่เราจะมาพรีวิวกันนี้จะเป็นรุ่น Note 10+ รุ่นใหญ่ พรีวิวกันสดๆจากงานเปิดตัวครับ โดยในรุ่นนี้ถือว่ามีความน่าสนใจและเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างจากรุ่นก่อนหน้าส่วนมากจะเป็นฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาที่น่าสนใจมากๆครับอีกทั้งเรื่องดีไซน์มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรทั้งฝาหลังการจัดวางกล้อง รวมถึงหน้าจอแบบ มีรูตรงกลางหรือเรียกกันว่าหน้าจอ Infinity O Display นั้นเองครับเรามาชมแกะกล่องพรีวิวกันนิดนึงว่าตัวนี้จะมีอะไรมาให้และดีไซน์คร่าวๆกันก่อนรวมถึงหน้าจอ ระบบเสียงเป็นยังไงกันครับ

สำหรับ Samsung Galaxy Note 10+ นั้นเปิดตัวมาด้วยจุดเด่นมากมายเริ่มแรกคือใช้ CPU Exynos 9825 ตัวใหม่ล่าสุดที่ผลิตในนวัตกรรมแบบใหม่ 7nm EUV ซึ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และในส่วนของหน้าจอ เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED ทั้งคู่รองรับ HDR 10+ แต่จะแตกต่างกันที่ความละเอียดครับ โดยในตัวของ 10+ นั้นจะมีความละเอียดมากกว่า โดยทั้งคู่ใช้กระจก Gorilla Glass 6 และหน้าจอขอบโค้งเล็กน้อยครับ และ ความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 1,200 nits อีกทั้งกล้องหลังยังมาพร้อมกล้อง 4 ตัว พร้อมใส่ TOF 3D เข้ามาด้วยครับ โดยกล้องหลักนั้น Galaxy Note 10+  กล้อง หลัก 12MP AF F1.5/F2.4 OIS  กล้อง เทเล 12 MP F2.1 OIS กล้อง มุมกว้าง 16 MP F2.2 123 องศา ไม่มี AF-OIS  และ Depthvision TOF 3D ส่วนสแกนนิ้วก็ใช้แบบ Ultrasonic เข้ามาแต่ใกล้หน้าจอกว่าเดิมทำให้ใช้งานได้ไวขึ้น อีกทั้งระบบชาร์จไวก็ถูกใส่เข้ามาสูงสุด 45W และ S-Pen นั้นได้พัฒนาใช้งานคำสั่งบนอากาศได้ แบบไม้กายสิทธ์เลยนั้นเองโบกไปมาสั่งงานได้ครับล้ำมากๆเลยจุดนี้ แต่เสียดายคือกล้องหน้านั้นรูรับแสงแคบขึ้น และ ตัดรูหูฟังออกไปแล้วในตระกูล Note 10 ครับผม ส่วนราคานั้นเปิดมาที่ 37,900 บาท และ 40,900 บาทสำหรับความจุ 512GB

UNBOX

แกะกล่องกันนิดนึงครับในรุ่นนี้กล่องมาในโทนสีดำด้าน พร้อมกับปากกาสีน้ำเงิน เปลี่ยนสีตามสีเครื่องครับถ้าสีน้ำเงิน หัวสีเงิน แบบนี้จะเป็นสี Aura Glow นั้นเองครับ ส่วนสีอื่นๆก็ตามสีเครื่องเลย และแน่นอนว่าอุปกรณ์ในกล่องนั้นต้องบอกว่าให้มาครบ ยกเว้น ตัวแปลง Type-c 3.5 มม. นั้นไม่มีมาให้นะครับ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆนั้นต้องบอกว่ามาครบ ทั้งเรื่องของเคสใสแบบนิ่ม หัวชาร์จ Type-C 25W และ ในส่วนของหูฟัง AKG เปลี่ยนมาเป็นหัวแบบ Type-C แล้วเช่นกัน รวมถึง สายชาร์จเป็นหัว Type-C ทั้ง 2 ด้านเลย และ มีที่จิ้มซิม คู่มือ และ ตัวเปลี่ยนหัวปากกามาให้เหมือนเดิมครับ

ตัวหัวชาร์จครั้งนี้มาพร้อมกับการชาร์จไวแล้วและให้มา 25W ครับแกะกล่องก็ได้เลย และหัวเป็นแบบ Type-C นั้นเองซึ่งจริงๆแล้วรุ่นนี้สามารถใช้งานได้ไวสุด 45W เลยทีเดียว แต่ต้องหาซื้อเพิ่มกันเอาเองนะครับถ้าตัว 45W

ในเรื่องของเคสครั้งนี้เป็นเคสแบบใสนิ่ม TPU ครับปกคลุมทั้งเครื่องได้ดีเหมือนกันในด้านหลังและพอดีกับหน้าเลนส์กล้อง ส่วนด้านหน้านั้นอาจจะไม่ได้ปกป้องดีมากเท่าไรเพราะด้วยหน้าจอขอบบางๆและขอบโค้งทำให้เคสนั้นไม่สามารถคลุมมาด้านหน้าได้ รวมถึงตัวนี้ไม่มีฟิล์มติดมาให้ด้วยนะครับแต่ไม่แน่ใจว่าตัวขายจริงนั้นจะมีมาให้ไหมต้องรอชมกันอีกที ส่วนเรื่องความหนาของเคสก็กลางๆครับเหมือนเคสแถมหลายๆแบรนด์ใช้งานแก้ขัดได้สบายๆอยู่นะ ข้างหลังนั้นเหมือนจะมีลวดลายแบบจุดๆไม่ให้มันเป็นลายน้ำนั้นเองและทำให้ฝาหลังไม่ติดกับตัวเคสครับ

DESIGN

ในแง่ของการออกแบบเอาจริงๆตอนมีข่าวหลุดๆออกมาก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรเลยเพราะมันดันไปคล้ายกับอีกค่ายแบบเหมือนกันมากๆทั้งการวางตำแหน่งกล้องและกล้องตัวที่ 4 นั้นเองจริงๆชอบการออกแบบการวางแนวนอนแบบรุ่นก่อนมากกว่า เลยไม่ค่อยชอบดีไซน์ฝาหลังเท่าไรครับ ส่วนการเล่นสีนั้นในรุ่นนี้จะคล้ายๆสีโครเมี่ยมและเล่นกับแสงสะท้อนออกมาได้หลากหลายสีมากๆ ทั้งการวางกล้องและสีนั้นจะไปคล้ายกับตระกูล A ของค่ายนั้นเอง แต่ที่ขอชมและชอบมากๆคือการทำขนาดและน้ำหนักความหนา ได้บางมากๆ บางจนเท่าตระกูล S ได้เลย จากที่แตกก่อนตระกูล Note จะหนาหนัก อาจจะเป็นเพราะการตัดรู 3.5 มม. ออกไปนั้นเองครับส่วนหน้าจอนั้นขอบบางมากๆ และมีไฝ 1 จุดตรงกลางที่เป็นกล้องหน้าครับ หน้าจอนั้นขอบโค้งนิดหน่อยในด้านข้างทั้ง 2 ข้าง รวมๆชอบความบางของมัน แต่ดีไซน์ด้านหลังยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไรครับผม ส่วนด้านหน้าจอสวยขอบบาง แต่มีไฝนิดนึงตรงกลางของหน้าจอ

หน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ Dynamic AMOLED – Infinity O Display ขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้วในความละเอียด QuadHD+ รวมถึงหน้าจอครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 พร้อมรองรับ HDR10+ รวมถึงความสว่างสูงสุดถึง 1,200 Nits เลยทีเดียวครับ

ขอบหน้าจอข้างบนนั้นทำได้บางมากๆและมีการแทรกลำโพงไปตรงขอบเครื่องได้อย่างเนียนๆและกล้องหน้านั้นเป็นไฝอยู่ตรงกลางครับไม่ใช่ติ่งหน้าจอแต่อย่างใด ซึ่งกล้องหน้านั้นเป็น 10MP รูรับแสง F2.2 พร้อมกับ Autofocus

ในขอบด้านล่างนั้นก็ถือว่าทำได้บางมากๆแล้วครับในครั้งนี้ มาพร้อมกับปุ่มควบคุมในหน้าจอสามารถใช้งานเต็มจอได้สบายๆและทำได้บางกว่า S10+ ไปแล้วด้วยในส่วนของขอบล่างหน้าจอครับ

ในด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็น ถาดซิมแบบ Dualslot -HybridSlot นั้นเองสามารถเพิ่มความจำได้ครับ ส่วน 2 ช่องนั้นจะเป็นไมค์หลักๆ 2 ตัวในการทำงานของการตัดเสียงรบกวนและซูมเสียงทั้งหลายนั้นเองครับ ตัวเครื่องค่อนข้างสมมาตร โค้งหน้าหลังเท่ากันเลยและมีความบางที่บางขึ้นมาก บางเพียง 8มม. เท่านั้นครับในรอบนี้เบาด้วยแหละ

ในส่วนของขอบด้านล่างนั้นเป็นที่เสียบปากกา ลำโพง รู Type-C และ ไมค์อีกตัวครับ รวมถึงไม่มีรู 3.5 มม. แล้วด้วยครับ ซึ่งเหตุผลคือต้องการความบาง ความสวย และ พื้นที่ในการใส่ Haptics ตัวสั่นให้ใหญ่กว่าเดิมนั้นเอง

ขอบด้านขวาครั้งนี้จะไม่มีปุ่มอะไรเลยครับ ไม่มีปุ่ม Bixby แล้วด้วยในครั้งนี้ จะเห็นว่าขอบอลูมิเนียมนั้นมันบางมากๆ เพราะกระจกขอบหน้าและหลังโค้งเข้าหากันครับทำให้ขอบมันเหลือบางมากๆ และจอก็โค้งมารับได้ดีเวลาถือใช้งาน

เนื่องจากขอบที่บางมากๆทำให้การใส่ปุ่มเข้ามานั้นทำให้มันหนากว่าขอบด้วยซ้ำ ฝาหลังส่วนนี้จึงต้องมีการเว้าขึ้นไปเพื่อรองรับปุ่มนั้นเองและขอบอลูมิเนียมก็ไม่ได้หนาเท่ากันทุกส่วนด้วยครับถ้าสังเกตดีๆจะเห็นมันเว้าขึ้นไปตรงปุ่ม และฝาหลังนั้นเล่นแสงสีได้ดีมากๆถ้าเจอแสงอาทิตย์หรือหลอดไปจะเล่นแสงได้สวยมากจริงๆมาเป็นสีรุ้ง Spectrum เลย

เมื่อมีคนถามว่าฝาหลังมันสีจริงๆเป็นยังไงจะตอบยากมากๆครับ เพราะสีมันเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมเอาจริงๆตอบได้เลยอาจจะเป็นสีเงินโครเมี่ยมก็ยังได้ครับและมีการเหลือบสีเยอะแยะมากๆสะท้อนแสงได้ดี ส่วนการวางกล้องนั้นจะเป็นแนวตั้งริมซ้ายคล้ายๆกับตระกูล A และคล้ายๆ Huawei เลยแหละ โลโก้วางกลาง พร้อมกับสแกนนิ้วนั้นไม่มีแล้ว เพราะย้ายไปอยู่บนหน้าจอแทนครับทำให้ด้านหลังนั้นเรียบๆเลย กล้องนูนออกมานิดนึงครับไม่นูนเท่าไร

ส่วนของกล้องหลังนั้นวางแนวตั้ง มาพร้อมกับ เซนเซอร์ TOF 3D ที่เป็นจุดๆข้างขวาพร้อมไฟแฟลชครับ รวมถึงกล้องนั้นมาพร้อมกับ 3 ตัวในโมดูลริมซ้าย คือมาพร้อม เลนส์ ultrawide 16MP (f/2.2), เลนส์ตัวหลัก 12MP (f/1.5,f/2.4), เลนส์เทเล 12MP (f/2.1) ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 2x และเลนส์ ToF DepthVision

SPEC

  • หน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว WQHD+ (3,040 x 1,080 พิกเซล) Dynamic AMOLED Infinity-O
  • Exynos 9825/Snapdragon 855
  • Ram 12GB/ Storage 256GB/512GB ที่สามารถใส่ SD card เพิ่มได้ถึง 1TB
  • บน Note 10+ 5G ได้เพิ่ม Modem 5G เข้าไปด้วย (Exynos S5100/Snapdragon X50)
  • กล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย เลนส์ ultrawide 16MP (f/2.2), เลนส์ตัวหลัก 12MP (f/1.5,f/2.4), เลนส์เทเล 12MP (f/2.1) ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 2x และเลนส์ ToF DepthVision สำหรับถ่าย 3D scanning ได้
  • กล้องหน้า 10MP (f/2.2)
  • Dual SIM (nano)
  • ตัวเครื่องกันน้ำ IP68
  • Bluetooth 5.0, Dual-Band WiFi, NFC, Samsung DeX, Samsung Pay และพอร์ต USB Type-C 3.1
  • แบตเตอรี่ 4,300mAh ที่รองรับ Fast Wireless Charging 2.0 (15W) มาพร้อมฟีเจอร์ Wireless PowerShare ด้วย และชาร์จไวแบบสายถึง 45W แต่ว่าหัวชาร์จ 45W นั้นจะไม่แถมมากับเครื่อง
  • มาพร้อมสี  AURA GLOW – AURA BLACK – AURA WHITE
  • ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท

SCREEN

สำหรับหน้าจอในรุ่นนี้หลักจากที่ได้ลองกันคร่าวๆนั้นต้องบอกว่าความสว่างทำได้ดีมากๆคือสว่างและสีสันยังคงทำได้ดีครับในเรื่องของหน้าจอจริงๆค่ายนี้ทำออกมาได้ดีตลอดเลยนะในเรื่องของการสู้แสง ความสดของหน้าจอนั้นยังคงทำได้น่าประทับใจรวมถึงมุมมองที่รองรับได้ดีมุมเอียงๆต่างๆครับแต่ที่ขัดใจอาจจะเป็นดีไซน์ของมันมากกว่ามีเป็นจุดตรงกลางครับเวลาดูอะไรเต็มจออย่างเช่นในภาพเวลาดูภาพเต็มๆจออาจจะขัดใจเล็กๆครับ ส่วนเรื่องการสัมผัสนั้นทำได้ดีเลยติดนิ้วและค่อนข้างไว รวมถึงเวลาใช้งานปากกาต่างๆนั้นตอบสนองต่อแรงกดได้ดีและลื่นไหลดีมากๆครับ

SOUND

ในเรื่องของเสียงขอพูดเทียบกับตัว S10+ นะครับเพราะเอาไปในงานทั้งคู่เลยจากที่ได้ลองคร่าวๆขอพูดถึงเรื่องลำโพงกันก่อนในรุ่นนี้มาพร้อมกับลำโพงคู่รองรับ Dolby อะไรปกติครับรวมถึงรองรับเสียง 24Bits แน่นอนว่าเสียงจากรุ่น S10+ ที่ทำได้ดีแล้วรุ่นนี้นั้นทำได้ดีกว่านิดหน่อยครับในเรื่องของความดังของเสียงที่มีมากกว่าเดิม แต่เรื่องของมิติเสียงอะไรนั้นยังไม่สามารถจับความแตกต่างกันได้เท่าไรในสภาพเสียงตอนที่ลองนะครับ ไว้ไปลองในรีวิวเต็มๆในช่อง Techhangout Battle กันได้ และ ในส่วนของหูฟังนั้นต้องบอกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเป็น Type-c แล้วแต่เรื่องของเสียงเอาจริงๆนั้นไม่ได้แตกต่างกับตัว S10+ เลยนั้นเองครับหรือเอาง่ายๆนั้นเสียงมันแบบเดียวกันเลยถ้าเอามาเสียบกับ S10+ นั้นแหละเสียงหูฟังให้แนวเสียงเดียวกันกับตัวแรก เบสมานิดหน่อย เสียงใสๆมิติมากลางๆ จะเด่นเรื่องเสียงร้องที่ชัด และ แอบแหลมไปนิดนึงตามสไตล์ครับ ใส่สบายไม่แตกต่างกันนำ้หนักเบาพอสมควรครับ

S-PEN

ปากกา S-Pen ครั้งนี้มีการใส่เซนเซอร์เข้ามาเยอะแยะมากมายเป็นแท่ง Gyro ได้เลยแหละและยังมีน้ำหนักเบามากขึ้นเพียง 3.04 กรัม รองรับการกันน้ำ IP68 และแรงกด 4,096 ระดับ และ ชาร์จไวขึ้นด้วย  S-Pen นั้นสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องนานประมาณ 1 ชั่วโมง ภายในมีซูเปอร์คาปาซิเตอร์ที่สามารถชาร์จเต็มได้ภายใน 40 วินาที หลังใส่เข้าไปในเครื่อง และสามารถให้ทุกคนเป็นพ่อมดได้ด้วยการสั่งงานแบบ Air Gesture สามารถสั่งงานแอพกล้องได้เช่น ตวัดขึ้นลง สลับกล้อง หมุนวงกลมเพื่อซูมเป็นต้น และ ยังมีฟีเจอร์ต่างๆอีกมากมาย ทั้งควบคุมเพลง เล่นสไลด์พรีเซนต์ หรือตามแอพ Youtube ต่างๆก็รองรับครับ รวมถึงแอพอื่นๆในอนาคต รวมถึงฟีเจอร์ แปลงลายมือเป็นตัวอักษร  รวมถึงเสียงเวลาเขียนที่สมจริงมากขึ้นตามหัวปากกา และ เขียนขึ้นตามแอพต่างๆรองรับได้เยอะขึ้นครับ

ในภาพนั้นจากแอดมินแม็กกำลังใช้งานคำสั่งฟีเจอร์ Air Gesture ในการซูมภาพวีดีโอต่างๆโดยจะต้องทำการควบปากกาเป็นวงกลมเพื่อจะซูมครับจริงๆไม่ต้องจ่อไปที่หน้าจอก็ทำงานได้เช่นกัน มันจะเป็นเซนเซอร์ในตัวคล้ายๆแท่ง Gyro นั้นเองสามารถควบคุมได้ทั้งหลากหลายทิศทางเลยครับแต่ ความแม่นยำและการใช้งานยังไม่ได้แม่นยำและติดง่ายเท่าไร ใช้งานฟีเจอร์นี้ต้องระวังจะไปโดนคนอื่นหรือปากกา อาจจะลอยออกไปก็ได้ครับต้องระวังกันนิดนึง

AIR GESTURE

นั้นหลักๆจะเป็นการใช้งานอย่างที่บอกกันไปครับ คือการถ่ายภาพการซูมเข้าออก การเปลี่ยนกล้องหน้า สลับโหมดกล้องต่างๆ รวมถึงการควบคุมเพลง เพิ่มเสียงลดเสียง เปลี่ยนเพลงโดยการตวัดไปมาได้ รวมถึง มีการใช้งานร่วมกับแอพ Google Youtube Chrome รวมถึงแอพการพรีเซนต์งานต่างๆและตัวนี้รองรับ SDK สามารถเอไปพัฒนาร่วมกับแอพอื่นๆได้สบายครับในอนาคตและอาจจะใช้เล่นเกมในอนาคตได้คล้ายๆพวก Nintendo Switch ก็น่าสนใจเลยนะถ้ามีคนเอาไปพัฒนาต่อครับ โดยปากกาสามารถใช้งานแบบต่อเนื่องได้ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว

AR DOODLE

ฟีเจอร์นี้เป้นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างน่าสนใจคือมันเป็นการวาดแบบ AR  และมันจะแทร็กตามหน้าของเรารวมถึงเวลาหันหน้าไปไหนมาไหนมันก็จะเกาะตามหน้าเราไปด้วยแบบ 3 มิติรวมถึงวาดตัวอักษรต่างๆใส่แบบลอยๆบนอากาศได้ด้วยและสามารถเดิมถ่ายแบบเดินทะลุตัวอักษรเหล่านั้นได้ เป็นการพัฒนาใช้งานของ AR Core นั้นเองครับใครที่ชอบวาดๆและถ่ายวีดีโอตัวนี้น่าจะเล่นได้สนุกเลยแหละครับ และสามารถตกแต่งได้ตามที่เราวาดเลยน่าสนใจมากๆครับ สามารถจดจำหน้าคนได้ด้วยว่าคนนี้วาดอะไรไว้ และจำหน้าได้ 3 คนต่อ 1 เฟรมครับ และ เมื่อออกจากแอพก็จะลบข้อมูลไปเป็นปกติครับถือว่าฉลาดพอสมควรเลยแหละในการพัฒนาฟีเจอร์และใช้งานรวมกับปากกา และ AR ครับ

AUDIO ZOOM

ฟีเจอร์นี้เป็นการซูมภาพพร้อมเสียงครับแน่นอนว่าเป็นฟีเจอร์ที่หลายๆค่ายเคยมีกันก่อนมาแล้วทั้ง LG HTC NOKIA ต่างๆและครั้งนี้ได้ถูกนำมาใส่อีกครั้งครับและพัฒนาขึ้นได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นตามระดับการซูมแน่นอนว่ามันดีกว่าเมื่อก่อนแน่ๆทั้งคุณภาพของภาพ และ คุณภาพของเสียงครับ และการทำงานร่วมกันของ 3 ไมค์นั้นทำได้ดีมากๆเลยแหละ เสียงได้ยินชัด และ ซูมเข้าไป คุณภาพดีกว่าหลายๆตัวก่อนหน้านี้เยอะเลย จะพอๆกับของ HTC U12+ ตัวนั้นจะใช้ 4 ไมค์ในการทำงาน ครับแต่เรื่องของคุณภาพตัวกล้องนั้นตัว Note 10+ นี้จะทำได้ดีกว่า หลังจากที่ลองนั้นถือว่าลื่นไหลและใช้งานง่ายเลยแหละ ถือว่าเป็นอีกฟีเจอร์ที่ได้ใช้บ่อยครับบอกเลยจากที่ผมได้ใช้งานในรุ่นอื่นๆมา

DEX MODE

ในการใช้งาน DEX ครั้งนี้ใช้งานง่ายไปอีกขั้นสำหรับคนที่มีคอมพิวเตอร์ทั้ง Windows และ Mac นั้นสามารถใช้สาย Type-C เสียบต่อตรงและมันจะเข้า DEX ได้เลยครับตามภาพคือใช้งานได้ง่ายกว่าเดิมเยอะมากๆสำหรับใครที่อยากใช้งาน DEX บนคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ต้องโหลดแอพของมันเข้ามาก่อนนะครับ ถือว่าใช้งานได้หลากหลายกว่าเดิม ถ้าไปที่ไม่มีจอที่รองรับ หรือ ที่ที่มีแค่คอมอะไรเท่านั้นและอยากทำงานต่อเนื่องจากมือถือของเรานั้นเองครับ

CAMERA

ในเรื่องกล้องกันบ้างเรามาดูตัวอย่างภาพถ่าย INDOOR กันก่อนและกล้องหลัง กล้องหน้า นิดหน่อยครับต้องบอกก่อนว่าที่เห็นนั้นเป็น Software ยังไม่ใช่ Official เลยทำให้คุณภาพยังไม่ได้เต็มที่เท่าไรครับ ต้องรอหลัง15 อีกทีครับผมถึงจะได้เห็นประสิทธิภาพของมันเต็มๆทั้งเรื่องของกล้อง วีดีโอ รวมถึง ความแรงในการใช้งาน มากันที่กล้องกันต่อครับในกล้องหลังก่อนเลยกล้องหลังรุ่นนี้มาด้วยกัน 4 ตัว Galaxy Note 10+ กล้อง หลัก 12MP AF F1.5/F2.4 OIS  กล้อง เทเล 12 MP F2.1 OIS  กล้อง มุมกว้าง 16 MP F2.2 123 องศา ไม่มี AF-OIS
และตัวที่เสริมเข้ามามากกว่าตัว Note 10 คือ Depthvision TOF 3D จริงๆเป็นกล้องตัวเดียวกับ S10+ ครับแต่ปรับปรุงในด้านของ Software เข้ามาแทนให้ดีกว่าเดิม และ รองรับการถ่าย Livefocus ที่ดีกว่าเดิม และกันสั่นวีดีโอที่ดีกว่าเดิมครับ รวมถึงกล้องหน้าก็มีความละเอียด 10MP F2.2 รองรับ Autofocus รูรับแสงแคบเพราะว่าจะทำให้ขนาดเล็กลง แต่ก็ทดแทนมาด้วยโหมดกลางคืนในกล้องหน้าครับทำให้ถ่ายแสงน้อยได้ดีกว่าเดิมไปอีกนั้นเอง

SELFIES

สีทั้งหมดที่ขายในไทย GALAXY NOTE 10 

AURA WHITE – AURA BLACK -AURA GLOW

สีทั้งหมดที่ขายในไทย GALAXY NOTE 10 

AURA PINK  -AURA GLOW  – AURA BLACK

SAMSUNG GALAXY NOTE 10+

ปรับเปลี่ยนลงตัวขึ้น บางและเบาขึ้นเยอะ หน้าจอขอบบางขึ้น รวมถึงปากกาที่ทำอะไรได้มากกว่าเดิม แน่นอนว่าเป็นตระกูลที่หลายๆคนนั้นใช้งานกันอยู่และหลักคงหนีไม่พ้นปากกาของมันที่วาดได้ดีที่สุดแล้วในบรรดามือถือ Tablet ทั้งหมด และครั้งนี้ใส่ฟีเจอร์ที่ใช้งานกลางอากาศได้ค่อนข้างน่าสนใจเลยนะ แต่จากที่ลองตอนนี้ ติดยากและแอบมึนๆบาง เพราะ Software ของมันตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ต้องรออัพเดทวันที้ 15 นะครับทั้งเรื่องกล้อง ประสิทธิภาพ คะแนน antutu ทั้งหลายนั้นยังไม่คงที่ และรวมถึง คะแนน DXOMARK ก็อิงซอฟท์แวร์ตัววันที่ 15 ด้วยครับเรื่องประสิทธิภาพเราจึงพูดอะไรมากไม่ได้ ส่วนเรื่องหน้าจอ การสัมผัสนั้นทำได้ดีมากๆสว่างสดใส ขอบบางมากๆจริง รวมถึงกล้องหลังก็ฟีเจอร์เล่นเยอะแยะกว่าเดิม แต่ไม่ชอบการวางกล้องเท่าไรครับ ส่วนเรื่องสีนั้นเล่นกับแสงได้สวยงามเลยจริงๆค่อนข้างแปลกตามากๆ และ การชาร์จไวใส่เข้ามาแล้ว แต่เสียดายระบบเสียงที่ไม่ได้เน้นอีกแล้ว รวมถึง ตัดรู 3.5 มม. ออกไปครับในครั้งนี้ และ ในด้านอื่นๆคงต้องรอใช้งานจริงๆกันอีกทีว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกบ้างครับ

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares