Oneplus ประเทศไทยได้ทำการเปิดตัว OnePlus 7T และ 7T Pro รวมถึง Mclaren ด้วยเช่นกันครับแน่นอนว่าในรุ่นที่เราจะมาพรีวิวกันก่อนเลยนั้นจะเป็นตัว 7T Pro ที่เหมือนจะเป็นการปรับปรุงเล็กๆจากรุ่นเดิม ทั้งเรื่องของสีแบบใหม่ และ แบตที่มากกว่าเดิม รวมถึงการชาร์จไวที่ไวกว่าเดิมครับ และ จุดเด่นหลักๆเลยคือการอัพเกรดมาใช้ CPU Snapdragon 855+ ที่ทำความเร็วได้ดีกว่าเดิมครับ  ส่วนในด้านดีไซน์หรือสเปคอาจจะไม่ได้หนีกันไปมากเท่าไร

OnePlus 7T Pro มาพร้อมหน้าจอโค้งขนาด 6.67 นิ้ว Fluid AMOLED ความละเอียด quad HD+ และมี refresh rate 90Hz ซึ่งหน้าจอจะใช้กระจก Gorilla Glass 6 ส่วนของชิปเซต Snapdragon 855+ จะมี clock speed ที่มากกว่าเดิม ทำให้มีความประสิทธิภาพด้าน graphic เพิ่มขึ้น 15% ส่วนทางด้านของความจำมีแบบเดียวคือ Ram 8GB/Storage(UFS 3.0) 256GB กล้องหลังของมันมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยตัวหลัก(เลนส์ Sony IMX586) 48MP +เลนส์ 8MP + เลนส์ ultra wide 16MP ส่วนกล้องหน้าจะเหมือนเดิมคือ 16MP ทางด้านของแบตเตอรี่จะมีความจุ 4,085mAh ที่มีเทคโนโลยี Warp Charge 30T ความเร็ว 30W ตัวเครื่องจะใช้เซ็นเซอร์สแกนนิ้วแบบ in-display แต่ตัวเครื่องจะไม่มีช่องใส่ microSD card และรูแจ็ค 3.5mm

  • มีจำหน่ายในไทยเพียงแค่รุ่นเดียวคือสีฟ้าธารน้ำแข็ง สี Haze Blue
  • OnePlus 7T Pro รุ่น Ram 8GB + Rom 256GB ราคา 26,990 บาท

UNBOX

ตัวกล่องนั้นใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเก่าและมาในแนวยาวๆครับ เปลี่ยนโทนสีแบบชัดเจนเปลี่ยนการออกแบบใหม่ทั้งหมด สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 7 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับยกเว้นของหัวชาร์จแบบใหม่นิดหน่อย

  • ตัวเครื่อง Oneplus 7T Pro
  • ตัวเคสใส TPU
  • ที่ชาร์จ WarpCharge 30T ไวกว่าเดิม 23%
  • สายชาร์จ Type-C
  • สติกเกอร์ คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
  • ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.

สายชาร์จนั้นเป็นแบบ Type-C ที่รองรับ WarpCharge และยังคงเป็นสายสีแดงแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆรวมถึงมีที่หุ้มมาให้ตรงปลายสายต่างๆ และ ที่เด่นๆคือที่ชาร์จนั้นใหญ่ และ มีเขียนบอกว่ากำลังไฟเท่าไรครับ 5v6A สำหรับ Warpcharge30 ซึ่งตัวที่รองรับ 30T จริงๆน่าจะอยู่ที่ตัวมือถือด้วยเช่นกันครับเพราะตัวที่แถมมาเขียนแบบเดียวกับรุ่น 7 Pro เลยไม่มีตัว T อะไรเข้ามาครับ

ตัวเคสที่แถมมานั้นยังคงทำได้คุณภาพดีเหมือนเดิมมีเขียนชื่อแบรนด์แปะไว้ขอบเครื่อง และ คลุมทั้งหน้าและหลังได้ดี แต่ด้านหน้านั้นจากที่รุ่นก่อนนั้นจะมีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้แต่ในรุ่นนี้ด้วยการที่เป็นขอบจอโค้ง อาจจะทำให้การปกป้องนั้นไม่ได้ดีมากเท่ารุ่นก่อนๆ ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึง เมื่อดูเทียบแนวระนาบจะเห็นว่าตัวเคสนั้นสูงขึ้นจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากแต่ก็กินเข้าไปในหน้าจอในระดับนึงก็ยังใช้งานได้ป้องกันได้ดีครับ ส่วนด้านหลังเลนส์กล้องก็นูนขึ้นมาพอสมควรจากระยะเลนส์

DESIGN

ในด้านการออกแบบรุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดในด้านหน้าที่มีการพัฒนาขึ้นแต่ในด้านหลังนั้นอาจจะไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรการวางกล้องยังคงวางตรงกลางและเป็น  3 กล้องแนวยาว ฝาหลังนั้น ดีไซน์ไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าครับยังคง เล่นกับแสงสีได้ดีมากฝาหลังนั้นจะดีไซน์แบบเดิมเลยครับ แต่แสงสีนั้นสว่างมากขึ้นสดใสมากขึ้น ส่วนหน้าจอนั้นเป็นแบบเต็มจอเต็มตาไม่มีติ่งเหมือนเดิมและในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขอบโค้งแบบเดียวกับ Oneplus 7 Pro ก่อนหน้าครับ ในครั้งนี้จะมีแค่รุ่นเดียวความจุเดียวครับ และมาพร้อมสีเดียวเท่านั้น

ทางด้านหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเต็มตามาในชื่อ Fluid AMOLED ขอบโค้ง ซึ่งมีขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ รีเฟรชเรท 90Hz ความหนาแน่นพิกเซล 516ppi อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9  และสว่างสูงสุด  800 NITS

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ  ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ ส่วนเรื่องไฟแจ้งเตือนนั้นไม่มีแล้วนะครับ จะใช้เป็นไฟแจ้งเตือนตรงขอบข้างหน้าจอแทนที่เป็นส่วนโค้ง

ในส่วนของกล้องหน้านั้นเป็นแบบ PopUp ความละเอียด 16MP ที่ซ่อนอยู่ในตัวเครื่อง ใช้เวลาเรียกใช้งานค่อนข้างไวมากๆและรองรับการใช้งานมากกว่า 3 แสนครั้ง รวมถึงมีทดสอบความแข็งแรงกันอีกมามากพอสมควร และมีระบบเก็บอัตโนมัติถ้าทำหล่นครับ

ขอบเครื่องส่วนล่างนั้นเป็นที่อยู่ ของถาดซิมแบบ Dual sim  รูไมค์ และ ช่องชาร์จแบบ USB-C รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องและในรุ่นนี้มีลำโพงคู่ ทำงานร่วมกันกับด้านบนนั้นเอง ถาดซิมแบบ  Dual Nanosim นะครับ

ตัวถาดซิมด้านล่างนั้นเป็นแบบใส่ซิมได้ 2 ซิมซ้อนทับกันคนละฝั่ง และจะเห็นว่ามีซีลยางอยู่ด้วยแม้จะไม่มี IP Rating กันน้ำแต่ก็ไว้ใจได้ระดับนึงเลยทีเดียวครับ

ฝั่งขอบด้านซ้ายตัวเครื่องตัวนี้จะเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นและ ส่วนขอบเครื่องก็มีการเล่นสีเช่นเดียวกันกับอีกฝั่ง

ตัวขอบเครื่องด้านบนจะเห็น รูไมค์อีกตัว และรวมถึงกล้อง PopUp ที่ซ่อนอยู่ตรงส่วนนี้ วัสดุขอบเครื่องเป็นแบบเงาทั้งหมด แต่มีการไล่เฉดสีที่แตกต่างกัน และจะเห็นว่าสีนั้นจะใช้โทนสว่างกว่ารุ่น 7 Pro ครับ

ขอบด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเห็นถึงความโค้งทั้งหน้าและหลังของตัวเครื่องและกระจกหน้าจอและฝาหลังที่โค้งรับมือได้ดี และมีการไล่เฉดสีของตัวเครื่องด้วย และจุดนี้สีก็แตกต่างกับทาง 7Pro เช่นกันครับจะสว่างและอมฟ้าขึ้น ส่วนปุ่ม Power และ สวิทช์ เลื่อนเสียง นั้นยังมีมาให้อยู่ฝั่งนี้ทั้งหมด

ด้านหลังนั้นยังคงมีการออกแบบที่เหมือนเดิม แต่ย้ายตัวโฟกัสออกมาข้างนอกครับ นั้นใช้วัสดุกระจกแต่มีการทำให้เป็นวัสดุแบบด้านเล่นกับแสงสีได้ค่อนข้างดี และโทนฟ้าเข้ามามากขึ้น สว่างและสดใสมากกว่าเดิมเยอะ รวมถึงการจัดวางตำแหน่งกล้อง 3 ตัว ตรงกลางนั้น พร้อมกับโลโก้ Oneplus ฝาหลังนั้นโค้งลงมุมทั้ง 2 ข้างทำให้จับได้ค่อนข้างถนัดและถือได้ง่ายแม้จะมีเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่

กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกันทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งเป็น ตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล F1.6  OIS กล้องตัวรองนั้น 8 ล้านพิกเซล, 3x เลนส์ telephoto, f/2.4, OIS และ กล้องมุมกว้าง 16 ล้านพิกเซล เลนส์ ultra-wide ที่มีการเล่นลวดลายตรงขอบกล้องบนล่าง เป็นวงล้อมรอบ และในรุ่นนี้มาพร้อมกับกันสั่น OIS ถึง2 ตัวเลยทีเดียวครับ และจุดแตกต่างเดียวเท่านั้นของรุ่นนี้ที่จะแยกได้ง่ายๆคือ ด้านข้างๆกล้องที่ย้ายออกไปนั้นจะเป็นพวกเซนเซอร์ต่างๆในการโฟกัสนั้นเอง

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3120 x 1440) รีเฟรชเรท 90Hz
  • CPU  Qualcomm Snapdragon 855+ (เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน 15%)
  • RAM  12GB
  • ความจุ  (UFS 3.0) 256GB ไม่รองรับ MicroSD Card
  • กล้องหลัง  เลนส์หลัก 48MP (f/1.6), เลนส์ซูมออพติคอล 3x ความละเอียด 8MP (f/2.4), OIS + เลนส์ Ultra-wide angle 117 องศา ความละเอียด 16MP (f/2.2) ย้ายตำแหน่ง Laser Focus มาด้านนอก 
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.0)
  • ระบบเสียง  ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม., ลำโพงคู่สเตอริโอ, Dolby Atmos
  • สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • แบตเตอรี่ขนาด 4,085 mAh รองรับระบบ Warp Charge 30T (เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 23%)
  • รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย Oxygen OS 10 เวอร์ชั่นล่าสุด
  • สีใหม่ Haze Blue มาไทยสีเดียวเท่านั้นครับ*

SCREEN 

หน้าจอยังคงทำได้ดีและหน้าจอตัวเดียวกับรุ่น 7 Pro จริงๆมันก็ดีอยู่แล้วนะไม่แปลกที่จะไม่ได้ไปยุ่งอะไรในจุดนี้ครับ มาพร้อมกับ 90Hz AMOLED QHD+  ขนาด 6.67 นิ้ว ขอบจอโค้ง อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9 ความละเอียด QuadHD+ 3,120×1,440 พิกเซล (516ppi) รองรับ HDR 10+ รีเฟรชเรท 90Hz  สัดส่วนพื้นที่หน้าจอ 93.22% และ ไม่มีติ่งหน้าจออะไรทั้งนั้นมาพร้อมกับความสว่างสูงสุด 800 NITS การใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ

ANTUTU 

สำหรับการทดสอบคะแนน  Antutu นั้นจากที่ใช้งาน Snapdragon 855+ แรงกว่ารุ่นเดิมเลยลองกดดูนั้นทำคะแนนได้ค่อนข้างสูงเลยแหละทำได้ถึง 387807 คะแนนซึ่งถือว่าแรงกว่าเดิมนิดหน่อยครับยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และ RAM 12 GB และ การใช้ UFS 3.0 ทำให้มันจับหน้าจอ 90Hz ได้สบายๆและทำงานได้เต็มที่ของตัวเครื่องถือว่าเป็นอีกรุ่นที่มีความแรงในการใช้งานทั้งเรื่องของการเล่นเกม และ ในการใช้งานทั่วไป

UFS 3.0 

มาพร้อมกับ USF3.0 แบบเดิมเลยครับสามารถทำความเร็วไปได้ 1,442 MB/s เลยมันมีผลยังไงบ้างก็ต้องบอกว่ามันมีผลในการลงแอพเร็วขึ้น เปิดใช้งานอะไรพวกนี้ไวมากๆ รวมถึงการดูรูปในเครื่องก็จะทำได้ไวและลื่นไหลมากกว่าเดิม เรียกดูข้อมูล วีดีโอ ภาพนิ่งได้ไวเปิดแล้วไม่ต้องรอนานเลยแหละครับ จะเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ SSD นั้นย่อมไวกว่า HDD แบบเดิมๆนั้นเอง

 

CAMERA 

สำหรับกล้องตัวนี้ ยังคงใช้งานกล้องแบบเดียวกับ 7Pro ทุกอย่าง แต่มีการขยับตำแหน่งอะไรนิดหน่อย และมาพร้อมกล้อง 3 ตัวด้านหลัง หลักๆนั้นเป็น กล้องหลัง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX586 พร้อมกับ รูรับแสงกว้าง f/1.6 พร้อมระบบลดการสั่นไหวแบบ OIS ที่ใส่เข้ามาให้ และตัวที่ 2 นั้น  ระยะซูม 3x Optical Zoom ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 มี OIS ด้วยเป็น ทั้งหมด 2 เลนส์เลยสำหรับ OIS กันสั่น และอีกตัวนั้นเป็น กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-wide 117 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2 ไม่มี AutoFocus นะครับ และใช้ระบบโฟกัส PDAF, CAF และ Laser และ มีโหมด Super Macro เข้ามาให้ด้วยระยะ 2.5 เซนติเมตรครับ และ กล้องก็พัฒนาขึ้นทั้งโหมดกลางคืนต่างๆ  ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP  Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.2 Fixed Focus แบบ PopUp ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม *แต่ที่ลองมันยังเจอ Shutter Lag แบบรู้สึกได้พอสมควรครับ

ONEPLUS 7T PRO 

เอาจริงๆมันเป็นการอัพเกรดเล็กๆน้อยๆในการใช้งานทั่วไปที่ใครถือ 7 Pro นั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเสียดายเพราะมันแตกต่างกันไม่เยอะ แต่รุ่นนี้จะเหมาะสำหรับคนที่กำลังจะซื้อใหม่และอยากได้ Cpu ล่าสุดมากกว่าครับต้องบอกว่าอะไรหลายๆอย่างมันก็ยังจัดเต็มอยู่และทำได้ดีมากๆจนไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรเยอะจากรุ่น 7 ก่อนหน้าครับ แต่เป็นการอัพเกรดให้มันลงตัวขึ้นซะมากกว่าทั้ง แบต ชาร์จไว และ CPU นั้นเองครับ ส่วนสีใหม่ก็สวยขึ้นสว่างสดใสฟ้ามากกว่าเดิมครับอันนี้ค่อนข้างชอบนะ ฝาหลังด้านอยู่ครับหลายๆคนอาจจะชอบกันเพราะไม่เป็นรอยนิ้วมือ และ เล่นกับแสงได้สวยงามด้วย ดีไซน์ในภาพรวมไม่ได้เปลี่ยนเลยจริงๆแอบอยากได้กล้องวงกลมในรุ่นนี้ด้วยนะน่าเสียดายเหมือนกัน ส่วนการใช้งานเต็มๆนั้นรอชมกันอีกทีในรีวิวเต็มนะครับว่าจะมีอะไรน่าสนใจแตกต่างเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าแค่ไหนกัน

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares