iPad ถือว่าเป็นตระกูลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาด Tablet และถือว่าเป็น Tablet ที่น่าใช้งาน และมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งด้วยกัน หลายๆอย่างนั้นทำออกมาได้ดีตอบโจทย์การใช้งานและระบบในภาพรวมนั้นเรียกได้ว่าหาคู่แข่งได้ยาก รวมถึงฟีเจอร์การรองรับของ iPad OS ก็ออกมาได้พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจ ทางด้านงานออกแบบก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามากขึ้น มีหลากหลายเรทราคาให้จับต้องกัน เหมาะสำหรับสายงานมืออาชีพ ไปจนถึง รุ่นเริ่มต้นสำหรับ นักศึกษา และอีกตระกูลนึงที่น่าสนใจนั้นคงหนีไม่พ้น iPad Air รุ่นล่าสุดนั้นเองเน้นความบางเบาใช้งานได้ดี และในรุ่น iPad Air Gen4 นั้นเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างทั้ง หน้าจอ งานออกแบบ และ พอร์ตนั้นใช้งาน USB-C แล้วเดินตามรอยรุ่นพี่ iPad Pro และทำให้การใช้งานอะไรหลายๆอย่างดีขึ้นแน่นอน

Apple iPad Air Gen4 นั้นมาพร้อมหน้าจอ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนดีไซน์หน้าจอให้มีขอบบางลงอีกด้วย ภายในตัวเครื่องนั้นมาพร้อมชิปประมวลผล Bionic A14 ที่มีขนาดเพียง 5nm เท่านั้น เร็วกว่า iPad Air รุ่นที่ผ่านมา 40% และประมวลผลกราฟฟิคเร็วกว่าเดิม 30% ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างทะลุขีด กล้องหลังนั้นจะใช้ตัวเดียวกับใน iPad Pro คือมีความละเอียด 12MP (f/1.8) ที่รองรับการถ่ายวิดิโอ 4K ที่ 60fps และถ่าย slo-mo ได้ 240fps นอกจากนี้ยังปรับปรุงระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดิโอให้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย กล้องหน้ามีความละเอียด 7MP (f/2.2) รองรับ FaceTime HD และ Smart HDR ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายวิดิโอความละเอียด 1080p ที่ 60fps มาพร้อมพอร์ต USB-C ถ่ายข้อมูลเร็วขึ้น 10x, ลำโพง Stereo ในแนวนอน, มาพร้อมหัวชาร์จ USB-C ความเร็ว 20W, ได้รับการอัพเกรด iPadOS เวอร์ชั่นใหม่
iPad Air มีตัวเครื่องให้เลือก 5 สีคือ สีเทาสเปซเกรย์, สีเงิน, สีโรสโกลด์, สีเขียว และสีสกายบลู

ราคาที่วางขายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 19,900 บาท ในรุ่นความจุ 64GB ส่วนรุ่นรีวิวจะเป็น 256GB WIFI 24,900 บาท พร้อมกับ ปากกา 4,490 บาทครับ ทั้งหมดโดนไป 29,390 บาท ในไทยวางขายแล้วเรียบร้อยนะครับผม 

UNBOX

สำหรับตัวกล่องนั้นมีความบางขนาดพอดีกับตัวเครื่องเช่นเดิมและใน iPad Air นั้นยังคงมาพร้อมกับที่ชาร์จ USB-C มาให้ในกล่องไม่ได้ตัดออกแบบ iPhone 12 นะครับยังคงแถมมาให้ในกล่องอยู่ ส่วนหูฟังนั้นไม่ได้แถมมาเป็นปกติอยู่แล้วนะครับ แน่นอนว่าตัวกล่องก็โชว์ด้านหน้าเครื่องสวยงาม ขนาดตามของจริงเป๊ะๆเลยนั้นเอง

  • ตัวเครื่อง iPad Air gen 4
  • สายชาร์จ USB-C ไป Lighting
  • Adaptor ชาร์จไฟ 20W แบบ USB-C
  • คู่มือ ภาษาไทย แบบสี
  • สติกเกอร์ Apple 2 ชิ้น

และสำหรับทางแอดเองได้ซื้อปากกามาเพิ่มเติมครับสำหรับใช้งานที่สะดวกมากขึ้น ในราคา 4,490 บาท มาพร้อมกับกล่อง แยกและมีคู่มือแยกมาให้ต่างหาก แค่นั้นไม่มีอะไรเพราะว่าในการชาร์จใช้งานนั้นจะเป็นแบบแปะกับตัวเครื่องนั้นเอง ไม่ต้องเสียบสายชาร์จ หรือ เสียบท้ายเครื่องแบบรุ่นก่อนๆแล้วจุดนี้ถือว่าเป็นการออกแบบที่ทำได้ดี

DESIGN

งานออกแบบในรุ่นนี้มีความคล้ายกับทาง iPad Pro รุ่นพี่ชัดเจน รวมถึงดีไซน์แบบเหลี่ยมๆนั้นเริ่มส่งไปยัง iPhone 12 แล้วด้วยเช่นกันทำให้เรื่องของงานออกแบบทั้งหมดมีความเข้ากันมากขึ้นดีไซน์ดูเรียบร้อยและใช้งานได้ถนัดมากขึ้น ตัวเครื่องมีความเหลี่ยมสันชัดเจน ฝาหลังแบบเรียบๆทั้งหมดพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมทั้งหมดชิ้นเดียวกันหมดเลยนั้นเอง มาพร้อมกับ กล้องหลัง 1 ตัว และ สแกนนิ้วที่ขอบเครื่อง อีกทั้งมาพร้อมกับสี ฟ้า เขียว ใหม่สวยงามเลยแหละ

หน้าจอในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับงานออกแบบแบบเดียวกับรุ่นพี่มีขอบบางเต็มหน้าจอสวยงามครับ พร้อมกับ หน้าจอแบบ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI  ถือว่าในเรื่องของสเปคนั้นรองรับการใช้งานได้ดีแม้จะไม่ได้เทพเท่ารุ่นพี่แบบ 120Hz นะครับแต่ในการใช้งานจริงก็สวยงามและสีสันอะไรใช้งานได้ดีเลยแหละ แต่สู้แสงอาจจะไม่โหดมากนัก

ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และ เซนเซอร์ต่างๆครับไม่ได้มีลำโพงอะไรแทรกมา เพราะไปอยู่ขอบเครื่องทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องทั้งหมดนั้นความหนาจะเท่ากันทั้ง 4 ด้านสมมาตรและลงตัวในการจับถือใช้งานครับ

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะขนาดเท่ากับด้านอื่นๆพอสมควรเลยแหละ ถือว่าดีที่ไม่ได้บางมากเกินไปและยังมาพร้อมกับพื้นที่ในการจับถืออยู่บ้าง ถ้าบางกว่านี้ในการจับถือ Tablet นั้นบอกเลยว่าลำบากกว่านี้แน่นอน จุดนี้ถือว่ายังดีอยู่

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามีไมค์รับเสียง ตัดเสียงมาให้ และเป็นรูลำโพงทั้งหมด ซ้ายขวา แต่ในการใช้งานจริงๆนั้น รูที่เป็นลำโพงจริงๆจะอยู่ด้านขวาในภาพเท่านั้นนะครับ ตัวครับแน่นอนว่าทำได้ดีพอสมควรเลยแหละ ส่วนสแกนนิ้วนั้นเป็นที่เดียวกับปุ่มเปิดปิดหน้าจอเลยนั้นเอง

ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นไม่มีช่อง หรือว่าปุ่มอะไรทั้งนั้นครับเป็นแบบเรียบๆเลยจะเห็นว่าตัวเครื่องมีความเรียบและแบนและแน่นอนว่ามีความเหลี่ยนสันชัดเจน ส่วนงานออกแบบแบบนี้นั้นจะเสี่ยงต่อการงอง่ายหรือยากต้องรอติดตาม

ขอบเครื่องในด้านล่างนั้นเราะจะเห็นว่ามาพร้อมลำโพงอีก 1 ตัว ในด้านซ้ายในภาพ แต่การเจาะรูแบบเดียวกันทั้งหมด อีกข้างไม่ได้มีลำโพงแต่อย่างใด อีกทั้งพอร์ตการเชื่อมต่อได้พัฒนามาใช้งานแบบ USB-C เช่นเดียวกับตัว Pro แล้วด้วยถือว่าเป็นจุดหลักๆที่พัฒนาขึ้นมาแบบชัดเจน

ส่วนขอบเครื่องในด้านขวานั้นเราจะเห็นว่ามี ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเสริมเข้ามาในด้านบนตำแหน่งกำลังดีใช้งานง่าย และแถบตรงกลางนั้นที่เห็นในภาพจะเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับปากกาแบบแม่เหล็กช่วยในการชาร์จไฟเข้าปากกาและพกพา

ในด้านหลังนั้นมาพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมทั้งหมดพร้อมกับสีแบบด้านแน่นอนว่า กล้องหลังตัวเดียวพร้อมกับไมค์อัดเสียง ไม่มีไฟแฟลช รวมถึง โลโก้ตรงกลาง และส่วนล่างนั้นจะเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับใช้งานกับ Magic Keyboard นั้นเอง งานออกแบบนั้นไม่ได้แตกต่างหรือหนีจากรุ่น Pro มากนักแต่ถ้าหากเทียบกับรุ่นก่อนถือว่าเปลี่ยนแปลงเยอะ

สำหรับตัวกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้องตัวเดียว นูนขึ้นมาพอสมควรไม่ได้มีการใส่ไฟแฟลชอะไรมาให้เป็นปกติของ Tablet และ มาพร้อมกับกล้องตัวเดียวกับ iPad Pro ก่อนหน้านี้เลยนั้นเองใช้งานกล้องหลัง กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด (Hybrid IR) คุณภาพถือว่าทำได้ดี รองรับการถ่าย 4K 60FPS ได้ด้วย

งานออกแบบส่วนล่างนั้นมีการเขียนว่า iPad พร้อมกับแถบ 3 จุดที่เราจะเห็นว่าเป็นจุดที่ไว้เชื่อมต่อกับเคส คียบอร์ดหรือการใช้งาน Magic Keyboard  และ Smart Keyboard Folio  รุ่นใหม่ของทางค่ายด้วยเช่นกันครับ

ทางด้านปากกาในรุ่นนี้จะใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ได้ทันทีแต่ปากกานั้นต้องซื้อเพิ่มในราคา 4,490 บาทนะครับเป็นสีขาวทั้งด้ามพร้อมกับเขียน Pencil ในด้านหลังและวัสดุสีขาวด้านทั้งหมด รองรับการใช้งานสั่งงานสัมผัสบนตัวปากกาและยังรองรับการเขียนองศาอะไรได้เนียนและลื้นไหลอย่างมาก พร้อมกับแม่เหล็กสำหรับแปะติดกับ iPad รวมถึงเป็นการชาร์จไฟเข้าไปในตัวด้วยเช่นกันถือว่าพัฒนาปากกาออกมาได้ดีขึ้นชัดเจนจากรุ่นแรกที่เสียบชาร์จเอา

SPEC

  • หน้าจอ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI
  • ชิปประมวลผล A14 Bionic 5nm
  • ความจำภายใน 64GB/256GB
  • iPad OS 14
  • กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด (Hybrid IR)
  • กล้องหน้า 7MP (f/2.0) FaceTime HD, มาพร้อมแฟลช Retina
  • ไมโครโฟนคู่, ลำโพง Stereo
  • รองรับ Wi Fi 802.11ax Wi-Fi 6 (2.4GHz and 5GHz); HT80 with MIMO, Bluetooth 5.0
  • ปุ่มสแกนนิ้วด้านบน
  • ขนาดตัวเครื่อง: 247.6 x 178.5x 6.1 มม.; น้ำหนัก: 458 กรัม
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ติดต่อกัน 10 ชั่วโมงในการเปิดเว็ปไซต์ด้วย Wi-Fi, ดูวิดิโอ, ฟังเพลงต่างๆ
  • USB-C

SCREEN

สำหรับหน้าจอนั้นที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคงหนีไม่พ้นในเรื่องของงานออกแบบในรุ่นนี้ปรับมาใช้งานหน้าจอแบบเต็มขอบแบบเดียวกับรุ่น iPad Pro แต่หน้าจออาจจะไม่ได้เทพมากหรือสวยมากนักครับอันนี้เห็นหลายๆคนอาจจะคิดว่าหน้าจะจะได้เป็นตัวเดียวกับ เพราะตัวนี้แสงสี สู้แสงอาจจะไม่โหดมาก หรือไม่ลื่นไหลเท่าตัว Pro นั้นเองครับ แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งานนั้นถือว่ารองรับได้ดีแล้ว รวมถึงการสัมผัสรองรับการใช้งานลื่นไหล ติดนิ้ว และใช้งานร่วมกันกับปากกาได้ดี มุมมองอะไรทำได้ดีด้วยเช่นกัน แสงสีมิติพัฒนาดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าได้ชัดเจนในจุดนี้ส่วนสเปคนั้นมาพร้อมกับ หน้าจอ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI งานออกแบบเต็มจอ พร้อมกับมีพื้นที่วางกล้องหน้ามาให้ตรงขอบด้านบนครับ

ANTUTU

ทางด้านสเปคนั้นมาพร้อมกับ CPU 5nm ตัวใหม่ล่าสุดพร้อมใช้งานเร็วแรงแซงเกินหน้าเกินตาหลากหลายรุ่นอย่างมากครับ แน่นอนว่ารวมถึงในเรื่องของสเปคการใช้งานนั้นรองรับได้ดีด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ CPU Apple A14 Bionic ทำงานร่วมกันกับ RAM 4 GB STORAGE 256GB แบบ UFS 3.0 รองรับการทำงานกับ iPad OS รุ่นใหม่ทำให้ในเรื่องของคะแนนนั้นทำไปได้มากถึง 653783 เลยทีเดียวแตะ 6 แสนได้เลยสำหรับการใช้งานระดับสูง

STORAGE SPEED

การอ่านเขียนนั้นจากที่ทุกครั้งเราเคยทดสอบ Androbench แต่ครั้งนี้เราทดสอบผ่านทาง Antutu จะเห็นว่าการอ่านเขียนของ iPad Air นั้นมาพร้อมกับ STORAGE 256 GB แบบ UFS 3.0 เลยทีเดียวพร้อมกับการอ่านเขียน 1,497MB/s และ เขียนได้ 1,437MB/s ถือว่ามีความเสถียรในการอ่านเขียน และทำได้ไวไม่ต่างกันเลยครับจุดนี้

CAMERA

กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด Hybrid IR ถือว่าเป็นรุ่นที่ใส่กล้องหลังมาให้ตัวเดียวกับรุ่นพี่ iPad Pro เลยนั้นเองและในเรื่องของคุณภาพในการใช้งานจริงนั้นถือว่าทำได้ดีเลยแหละแม้จะไม่มีกล้องตัวที่สองหรือการถ่าย บุคคล ละลายหลังอะไรมาให้ครับแต่ก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้ดีมากๆเพราะในบรรดา Tablet เองน้อยคนมากที่จะเอามาใช้ถ่ายรูปจริงจัง ส่วนกล้องนั้นรองรับการถ่ายวีดีโอสูงมากถึง 4K 60FPS เลยทีเดียว ส่วนในเรื่องของคุณภาพกล้องหน้าหลังในเวลากลางวันบอกเลยว่าสามารถตอบโจทย์ใช้งาน ถ่ายงานเอาไปใช้งานได้จริง ส่วนกลางคืนนั้น น่าเสียดายว่าไม่มีโหมดกลางคืน หรือ อะไรเข้ามาและอาจจะไม่ได้เด่นเท่าไรนักในสภาพแสงนี้ครับ

APPLE iPAD AIR GEN 4

เป็น iPad ที่ลงตัวในการใช้งาน ทั้งเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ หน้าจอ งานออกแบบ รวมถึงประสิทธิภาพที่ใช้งาน A41 Bionic รุ่นล่าสุด มาพร้อมกับราคาเริ่มต้นที่จับต้องได้ในการใช้งาน ทั้งเรื่องของการวาดเขียน การจดงาน และการทำงานหลากหลายรูปแบบกันพอสมควร แต่ปากกาน่าเสียดายว่ายังต้องซื้อเพิ่มกันในราคา 4,490 บาท และในเรื่องของการออกแบบ แบบนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการงอได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ รวมถึงหน้าจอนั้นอาจจะไม่ได้ลื่นไหลเท่ารุ่นพี่ หรือความสวยอาจจะไม่ได้โหดมากนักถ้าใครเน้นในเรื่องของหน้าจออาจจะไม่ได้เทพแบบ Pro แต่ก็ดีกว่ารุ่นเดิมแบบรู้สึกได้ครับ และได้งานออกแบบเต็มตาเลยทีเดียวในภาพรวมทำให้มันน่าใช้งานมากขึ้นเยอะ

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares