Nisssan Leaf นั้นถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าแรกๆที่ทำกันออกมาครับ ต้องมองไปตั้งแต่ปี 2009 ที่ได้ทำรุ่นแรกออกมาและถือว่าเป็นรถไฟฟ้าเจ้าแรกๆที่ทำออกมาขับง่าย เข้าถึงง่ายและใช้งานได้จริง และยังคงเป็นรถไฟฟ้าที่ยอดขายสะสมเยอะที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้แน่นอนว่าด้วยทั้งราคาและขนาดการใช้งานนั้นต้องบอกว่าเข้าถึงง่ายกว่าหลายๆค่ายครับส่วนเรื่องของชื่อ LEAF นั้นย่อมาจาก Leading – Environmentally friendly – Affordable – Family Car นั้นเองครับ และรุ่นนี้ที่เราจะมารีวิวทดลองขับนั้นมันเป็นรุ่นที่ 2 แล้วแน่นอนว่าทั้งเรื่องของเทคโนโลยี การออกแบบทั้งหลายมันดูลงตัวขึ้นมาก รวมถึงการขับขี่ทั้งหลายที่พัฒนามาเพื่อรถไฟฟ้าโดยเฉพาะทั้งเรื่องโครงสร้างการป้องกัน ตัวแบตต่างๆจุดถ่วงน้ำหนักที่คำนวณมาร่วมกับแบตต่างๆ และเราจะมาดูกันว่าในรุ่นนี้จะเป็นยังไง รวมถึงการขับขี่ที่หลายๆคนคงสงสัยว่า รถไฟฟ้า ชาร์จนานไหม วิ่งได้ระยะทางเท่าไร และ ขับทางไกล รถติดเป็นยังไงกัน

มาดูจุดเด่นๆหลักของรถยนต์ไฟฟ้ากันก่อนครับในรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 หลังจากการเปิดตัวรุ่นแรกไปและมีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีรวมถึงทำยอดขายได้ดีมากๆ Nissan leaf รุ่นนี้ออกแบบให้มีความสวยดุดันมากขึ้นทั้งเรื่องของ กระจังหน้าแบบ V-Motion ที่นิยมใช้เป็นแนวทางการออกแบบล่าสุด โคมไฟรูปทรงบูมเมอแรง หลังคาแบบ Floating Roof ไฟหน้า Direct-lens low and high ไฟท้าย LED และ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ส่วนในไทยนั้นจะเป็นสีภายในดำล้วน และภายนอกสีเดียวคือสีขาวหลังคาดำเท่านั้นนะครับมีแค่สเปค รุ่นย่อยเดียว ส่วนสเปคนั้นจะเป็นเรื่องของการใช้งานมอเตอร์ AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed และที่เด่นๆคือปล่อย CO2 0g./km. (Zero Emission) หรือไม่มีการปล่อยมลพิษนั้นเองครับ ส่วนเรื่องของแบตการชาร์จ 1 ครั้งสามารถวิ่งได้ประมาณ 311 กิโลเมตร และ ชาร์จใช้เวลา เร็วสุด 40 นาที และ ชาร์จไฟทั่วไปประมาณ 6 หรือ 12 ชั่วโมงครับ  และ ยังมีเทคโนโลยี E-Padle เข้ามา รวมถึงระบบป้องกันการชนด้านหน้า แต่รุ่นนี้ไม่มี Pro-Pilot นะครับเพราะในไทยนั้นตัดออกไป นั้นเป็นเพราะสภาพถนนนั้นยังไม่พร้อมที่จะใช้งานครับ ตัวรถยนต์จัดอยู่ในระดับ C-Segment คือระดับเดียวกับ Slyphy – Civic นั้นเอง แต่พละกำลังมันเทียบเท่า D-Segment

ในส่วนของราคาในรถยนต์คันนี้นั้นต้องบอกกันก่อนว่ารุ่นนี้เป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคันจากญี่ปุ่นทั้งนี้เรื่องของราคาอาจจะสูงแต่ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่านำเข้าแบบรถยนต์ไฟฟ้านั้นภาษีจริงๆถูกกว่ารถทั่วไปแล้ว แต่ที่ยังไม่สามารถทำราคาแบบอีกค่ายจากจีนได้เพราะ ค่ายนั้นอาจจะมีข้อตกลงกับรัฐบาลจีนเลยทำให้ราคานั้นลงต่ำกว่าปกติได้นั้นเอง แต่ของทาง Nissan เองนั้นก็พยายามลดราคาตัดสิ่งไม่จำเป็นออกไปให้ได้ราคาต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ซึ่งจริงๆทางค่ายเองนั้นก็ทราบเรื่องนี้ว่าราคามันอาจจะยังดูสูงไปจริงๆ และพยายามเต็มที่แล้วครับหลังจากที่ได้คุยๆกัน และถ้าหากอนาคตนั้นมียอดขายความต้องการเยอะอาจจะมีการผลิตในไทยและแน่นอนว่าทำราคาได้ดีกว่านี้เยอะมากๆครับ

ราคา 1,990,000 บาทไทย มาพร้อมกับ สีขาว Brilliant White Pearl หลังคาสีดำ Super Black 2-Tone และ ภายในเบาะหนังสีดำ ตะเข็บฟ้า พวงมาลัยหนัง 

DESIGN

ในเรื่องของงานออกแบบนั้นต้องบอกว่าน่าสนใจเอาตามจริงถือว่าสวยกว่ารุ่นแรกเยอะมากๆและทำได้ทะมัดทะแมงมากขึ้นรวมถึงดูทันสมัยและปราดเปรียว แน่นอนว่าในรุ่นแรกนั้นจะออกแนวน่ารักๆไปนิดนึงครับด้วยดีไซน์ในยุคนั้นและอะไรหลายๆอย่างที่เป็นคันแรกการจัดการพื้นที่อาจจะยังไม่ได้ดีมากนัก แต่ในรุ่นนี้ต้องบอกว่าลงตัวมากขึ้นเยอะแน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้ดูล้ำยุคแบบรุ่นก่อนแต่มันเหมือนรถยนต์ทั่วไปแต่แฝงไปด้วยความล้ำด้วยระบบข้างในของมัน มันอาจจะไม่ได้สวยว้าวตั้งแต่แรกเห็น แต่เป็นรถที่ค่อนข้างสวยแบบเรียบๆรวมถึงมีความสปอร์ตเข้ามาด้วย จนหลายๆคนอาจจะอยากให้ทำแบบรถยนต์เครื่องยนต์ปกติออกมากันพอสมควรเลยในการออกแบบแบบนี้ การเล่นสีขาวดำนั้นก็ทำให้ตัวรถดูผอมบางมากขึ้นตัวหลังคาทำสีดำนั้นทำให้ดูทันสมัยและแยกสัดส่วนกันชัดเจนดีเลยแหละ  

ไฟหน้าไฟท้ายนั้นเป็น LED ทั้งหมดและแน่นอนว่ายังคงในเรื่องของการออกแบบที่เป็นแบบ บูมเมอแรง ที่เราเห็นในค่ายนี้หลายๆรุ่น พร้อมไฟด้านหน้าที่มาพร้อมกับ LED DRL ทรงเดียวกันและไฟหน้าแบบคู่พร้อมกับ ไฟตัดหมอกครับ ทั้งเรื่องของรายละเอียดภายในโคมนั้นทำได้สวยในด้านหน้า และไฟทรงสีเหลี่ยมภายในนั้นสวยเลย แต่ไฟเลี้ยวต่างๆยังเป็นแบบไฟปกติไม่ใช่ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลังครับ ไฟหน้านั้นถือว่าสว่างและคมมากๆแสงไม่แยงตา และมีไฟเลี้ยวตรงกระจกมองข้างมาให้อยู่ครับ รวมถึงการออกแบบด้านหน้านั้นเป็นตัว V สีดำใหญ่ๆก็สวยงามเลย

ในการออกแบบเมื่อมองจากด้านท้ายตรงๆนั้นจะเห็นว่าการตัดสีดำขาวนั้นกินมาตรงส่วนของฝาท้ายประมาณครึ่งๆเลยครับทำให้ตัวรถดูไม่อ้วนจนเกินไปได้ดีเหมือนจะช่วยซ่อนรูปทรงได้เยอะครับ พร้อมกับตัดกับสีแดงของไฟท้ายได้ดี ตัวด้านท้ายนั้นจะไม่มีท่อไอเสียอะไรเป็นปกติของรถยนต์ไฟฟ้านะครับและมีการเล่นตัดขอบสีน้ำเงินเข้มๆตามชายล่างของกันชนอยู่ รวมถึง ตรงส่องป้ายทะเบียนหลอดไฟยังเป็นแบบปกติไม่ใช่สีขาว LED อันนี้แอบเสียดายเล็กๆ ส่วนเสาอากาศยังเป็นแบบแท่งอยู่ไม่ใช่ครีบฉลาม และ ไฟทับทิมตรงกันชนก็อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายครับ มาที่ด้านหน้านั้นในรุ่นนี้จะเป็นการใช้สีดำทำให้เหมือนมีช่องลมเข้าแต่จริงๆแล้วด้านหน้านั้นไม่มีช่องลมเข้าเลยในส่วนบนครับปิดเรียบทั้งหมดจะช่วยในเรื่องของการไฟลเวียนของอากาศและช่วยประหยัดพลังงานได้เยอะ แต่ถ้ามองผ่านๆนั้นจะคล้ายๆกับรถยนต์ทั่วไปนั้นเอง ส่วนกระจังหน้าสีดำมีการเล่นกับรายละเอียดของแสงคล้ายๆกับผลึกสีน้ำเงินฝังอยู่การออกแบบด้านหน้าโดยส่วนตัวนั้นค่อนข้างชอบเป็นการใช้กระจังตัว V ที่ลงตัวกว่ารุ่นอื่นๆของค่ายเยอะมากๆเลย

สัดส่วนของตัวรถคันนี้จะเป็นขนาดเดียวกับพวก C-Segment ค่ายอื่นๆครับมีความกว้างยาว ยาว x กว้าง x สูง : 4,480 x 1,790 x 1,560 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อนั้นยาว 2,700 มิลลิเมตร เมื่อมองจากด้านข้างเอียงๆนั้นจะเห็นว่าเส้นสายของรถมีความเหลี่ยมคม ตัดขอบต่างๆได้คมสวยกว่ารุ่นแรกที่จะเน้นไปความมนๆมากกว่านั้นเองครับส่วนล้อนั้นตัวที่ขายในไทยจะเป็น 17 นิ้วครับแบบในภาพเลยลวดลาย 5 ก้านสวยงามและมีการเล่นตัดสีดำเงินครับ ขอบชายล่างด้านข้างนั้นมีการออกแบบเป็นชิ้นเดียวกันเหมือนกับใส่ชุดแต่งมาให้ในตัวดูสวยงามและลงตัว ในเรื่องดีไซน์ในภาพรวมส่วนตัวไม่ได้ติดอะไรเลยครับค่อนข้างสวยและลงตัวเลยแหละทั้งเรื่องของเส้นสายและการเล่นสี

ในส่วนของกระโปรงหน้านั้นจะสามารถเปิดได้ทั้งหมด 2 ส่วนครับซึ่งส่วนเล็กด้านหน้านั้นจะสามารถกดเปิดจากรีโมทได้เป็นส่วนที่สำหรับชาร์จไฟเข้ามีทั้งหมด 2 หัวครับเป็นมาตรฐาน และ ส่วนฝากระโปรงหลักนั้นจะต้องเปิดจากในรถยนต์ ใช้แบบไม้ค้ำปกติไม่มีตัวโช้คเข้ามาช่วยในตรงนี้นะครับ และเนื่องจากมันไม่มีเครี่องเลยทำให้ไม่ได้มีความร้อนมากนักและตัวแผ่นกันความร้อนเลยไม่ได้ใส่เข้ามาเต็มของส่วนกระโปรงหน้าเท่าไร ตัวมอเตอร์ตัวนี้มีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ได้แน่นในส่วนของห้องเครื่องมากนักครับมีพื้นที่ว่างเยอะสำหรับระบายความร้อนอะไรได้เยอะพอสมควรเลย ในเรื่องของการชาร์จ  ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ได้สูงสุดถึง 311 กิโลเมตร และถ้า ชาร์จปกติ 3.6 kW onboard Charger ใช้เวลา 12 ชั่วโมง  ชาร์จ Double Speed 6.6 kW onboard Charger ใช้เวลา 6 ชั่วโมง และ ชาร์จแบบ Quickcharge ตามสถานีใหญ่ๆนั้นจะใช้เวลา 40 นาทีในการชาร์จไฟเต็มครับ ตัวมอเตอร์นั้นจะใช้งาน   AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ปล่อย CO2 0 g./km. (Zero Emission) แบตเตอรี่ Advanced Lithium-ion (Li-ion) ขนาด 40 kWh เติมพลังงานไฟฟ้าด้วยการเสียบปลั๊กชาร์จไฟ

ตัวห้องสัมภาระข้างหลังนั้นมีขนาดความจุที่ 435 ลิตร แน่นอนว่ามากกว่ารุ่นแรก และตัวเบาะสามารถแยกพับได้เหมือนรถยนต์ทั่วไปแต่เมื่อพับไปแล้วอาจจะไม่ได้เรียบมากครับ และตัวขอบฝาท้ายอาจจะสูงไปหน่อยในการยกของเข้า ส่วนเรื่องของความจุนั้นถือว่าใหญ่พอสมควรเมื่อเทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน และตัวยางอะไหล่จะต้องหยิบจากใต้ท้องเท่านั้นนะครับไม่ได้หยิบจากในตัวรถยนต์ได้ ส่วนตัวบังสัมภาระก็มีมาให้และยกขึ้นพร้อมกับฝาท้ายครับที่เห็นในถุงนั้นจะเป็นที่ชาร์จไฟบ้านที่แถมมาให้กับตัวรถยนต์ ส่วนการเปิดฝาท้ายก็ทำได้กว้างสูงพอสมควร และบานประตูทั้ง 4 บานเปิดกางได้กว้างมากๆเข้าออกได้ดีและสะดวกครับ รวมถึงระยะต่างๆนั้นไม่ได้สูงเกินไปในการเข้าออก

ในการเข้าออกประตูของทั้งด้านหน้าและด้านหลังนั้นทำได้สบายประตูบานหน้าเปิดได้ค่อนข้างกว้าง มาดูกันที่เบาะคู่หน้ากันก่อนโดยคู่หน้านั้นจะเป็นระบบมือทั้งหมด ไม่ใช่ระบบไฟฟ้านะครับส่วนเรื่องของตัวเบาะก็เป็นเบาะหนัง แต่น่าเสียดายที่ราคาแบบนี้แต่ยังเป็นระบบปรับด้วยมืออยู่ ตัวเบาะนั้นทำได้ดีหนาแน่นรองรับกับคนที่มีขนาดลำตัวใหญ่ และ สูงได้สบายครับ ส่วนวัสดุแผงประตูเป็นพลาสติกแบบแข็งผสมกับแบบนุ่มเล็กน้อยตรงที่วางมือ ส่วนด้านหลังนั้นเบาะมีขนาดกำลังดีเข้าออกต้องก้มหัวนิดนึงแต่เนื่องจากตัวแบตอยู่ข้างล่างเลยอาจจะทำให้ตัวเบาะสูงไปและหัวใกล้กับหลังคามากไปนิดนึงครับ และตัวอุโมงค์ข้างหลังมีขนาดใหญ่พอสมควร และพื้นที่ข้างหลังไม่ได้ใหญ่สบายแบบ Nissan ตัวอื่นๆเท่าไรครับมองจากภายนอกอาจจะดูใหญ่แต่จริงๆพื้นที่ไม่ได้กว้างขนาดนั้นด้วยพื้นที่แบตเข้ามาเยอะอยู่นั้นเองครับ คนตัวเล็กๆกำลังนั่งได้สบาย แต่ถ้าคนตัวสูงๆใหญ่อาจจะไม่ได้สบายมากนักในข้างหลังนี้

INTERIOR

มากันที่ภายในกันต่อในด้านของการออกแบบภายในนั้นต้องบอกว่ายังคงสไตล์เรียบๆแบบญี่ปุ่นได้ทั้งการจัดวางต่างๆที่เรียบๆแต่ใช้งานง่ายไม่หวือหวาไม่ได้ล้ำแบบรุ่นแรก หรือพวก Telsa พวกนั้นแน่นอนว่ามันก็จะไปคล้ายๆรถยนต์ทั่วไปครับในด้านการใช้งานขับขี่นั้นไม่ได้มีปัญหาถือว่าใช้งานได้ง่ายไม่ต้องมองอะไรเวลาปรับครับปรับตัวได้ง่ายแต่ที่หลายๆคนบ่นกันนั้นน่าจะเป็นตัวอุปกรณ์ที่ขาดหายไปทั้งเรื่องของหน้าจอสัมผัสที่มาในไทยนั้นเป็นแบบปุ่มกดปกติ และวัสดุที่ไม่ได้บุนุ่มเมื่อเทียบกับรถราคานี้นั้นเอง ส่วนตัวพวงมาลัยนั้นได้หุ้มหนังมาให้พร้อมปุ่มกดตามพวงมาลับที่ค่อนข้างครบและดีไซน์ได้สวย ส่วนตรงเกียร์ต่างๆก็เป็นแบบรถไฟฟ้าทั่วไปครับใช้งานไม่ยากและไม่ต้องปรับตัว

ตัวรถมีที่วางแก้วน้ำมาให้2จุด ตรงกลาง พร้อม เบรคมือไฟฟ้า และ คันเกียร์แบบรุ่นเดิม พร้อมปุ่มเปิดปิดระบบ E-Padle ECO ทั้งหลาย ส่วนตัวกุญแจนั้นยังใช้แม่พิมพ์แบบเดียวกันทั้งหมดกับรุ่นอื่นๆซึ่งก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบใหม่ซะทีครับสำหรับค่ายนี้ จริงๆมันควรมีการออกแบบใหม่ได้แล้วนะ ส่วนตัวปุ่มบนตัวกุญแจนั้นเป็นปุ่มหลักๆคือ ล็อค ปลดล็อค และ กดเพื่อเปิดที่ชาร์จข้างหน้านั้นเอง และ ตัวรถมีระบบ Keyless สามารถกดปุ่มบนที่จับและเข้ารถได้เลยแค่พกกุญแจไว้กับตัวรวมถึงมี Push Start มาให้ด้วยนั้นเอง ตัวพวงมาลัยนั้นมีการปาดขอบล่างทำให้เข้าออกได้ง่ายและสะดวก แต่น่าเสียดายและขอบ่นเลยคือพวงมาลัยนั้นไม่สามารถปรับเข้าออกได้ อันนี้ไม่ค่อยโอเคเลยครับ ส่วนด้านการออกแบบภายในนั้นในไทยจะมีแค่สีแบบเดียวนะครับไม่ใช่ ขาวดำแบบเมืองนอกแต่จริงๆสีดำล้วนแบบนี้ก็ดูดีไปอีกแบบนะ

ตัวคอนโซลกลางนั้นเป็นหน้าจอเครื่องเสียง ขนาด 5 นิ้ว แบบสี รองรับการใช้งาน AUX – BT – USB ครับแต่น่าเสียดายมากๆที่รองรับระบบสัมผัสเหมือนของต่างประเทศเลยทำให้ดูไม่ค่อยสมราคาเท่าไร ส่วนไฟสีต่างๆนั้นเป็นแบบสีแดงส้ม ครับตามปุ่มต่างๆและส่วนแอร์นั้นยังดีที่ให้ระบบแอร์แบบ AUTO มาให้ และยังมีระบบอุ่นเบาะมาให้แม้ในไทยนั้นอาจจะได้ใช้งานน้อยมากๆก็ตาม ส่วนช่อง USB-PUSH START นั้นจะอยู่ใกล้ๆกันในส่วนข้างล่างครับ มากันที่พวงมาลัยกันต่อ ตัวพวงมาลัยดีไซน์ 3 ก้านสวยขึ้นรูปทรงและการจับ รวมถึงการจัดวางปุ่มบนตัวพวงมาลัย ตัวนี้มีระบบ cruise control . มาให้และสามารถควบคุม เครื่องเสียง และ หน้าจอบนหน้าปัดได้ทั้งหมด รวมถึงรับสายวางสาย วัสดุพวงมาลัยนั้นหุ้มหนังมาให้ แต่พวกปุ่ม Pro pilot นั้นไม่มีในไทยนะครับ

ด้านมุมมองของการขับขี่นั้นในรุ่นนี้ไม่มีระบบเตือนมุมอับอะไรมาให้ครับมุมมองมีจุดบอดนิดหน่อย ส่วนเสาเอนั้นมีขนาดกลางๆพร้อมมีการปาดให้บางเล็กน้อยแต่เวลาเลี้ยวพวกนี้ยังต้องระวังกันนิดนึง แต่ก็ไม่ได้บังเยอะครับ รวมถึงพวกเสา C ก็ไม่ได้ทึบมากถือว่าโปร่งพอสมควรเลย ตัวกระจกมองข้างนั้นเป็นแบบพับไฟฟ้าปกติครับผมพร้อมไฟเลี้ยวในตัวและในรุ่นนี้มีกล้องถอย และกล้องแบบ  360 องศามาให้ทำให้เวลาถอยอะไรต่างๆนั้นช่วยได้เยอะมากๆครับ

ตัวเบาะนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีนะในเรื่องของตัววัสดุ ฟองน้ำของตัวเบาะรวมถึงการออกแบบนั้นนั่งสบายแน่นแต่ไม่ได้แข็งเกินไปให้ฟีลพวกรถยุโรปดีเหมือนกัน ตัวเบาะคู่หน้านั้นยังเป็นแบบปรับมือทั้งคู่ไม่มีระบบไฟฟ้ามาให้ แน่นอนว่าเสียดายมากๆ ส่วนเรื่องการนั่งตำแหน่งคนขับนั้นทำได้ดีไม่มีปัญหา แต่จะติดเรื่องตำแหน่งที่แปลกๆในการขับขี่ซึ่งหลายๆคนก็มีบ่นกันนิดนึงกับพนักพิงหัวที่แอบองศาดันไปข้างหน้าเยอะไปนิดนึง แต่ดีทีไม่ได้แข็งมากนักครับและพื้นที่เหนือศรีษะยังมีเหลือเยอะมากๆในข้างหน้า แต่เมื่อมานั่งข้างหลังนั้นต้องบอกว่ามันไม่ได้กว้างขวางมากนักทั้ง Legroom ที่ไม่ได้กว้างอะไรมาก และแอบเล็กกว่าที่คิดไว้ เพราะแบตอาจจะทำให้กินที่ไปครับ ส่วนเบาะหลังไม่สามารถปรับเอนอะไรได้เลย และพื้นที่เหนือศรีษะนั้นค่อนข้างน้อยมากๆและถ้าพิงสุดหัวจะชนได้เลยครับอันนี้ทางผมนั้นสูง 180 นะครับ แต่การออกแบบเบาะนั้นไม่มีปัญหานะวัสดุ ความนุ่มนั้นทำได้ดี ติดแค่ความโปร่งของพื้นที่แค่นั้นที่วางแขนตรงประตูทำได้ดีตำแหน่งดี วัสดุนุ่มมากๆครับอันนี้ชอบเลยแหละ

ตัวหน้าปัดนั้นออกแบบมาผสมกันครับทั้งแบบ ดิจิตอลและแบบเข็มก็ไม่ค่อยล้ำอะไรเท่าไรเรียบๆธรรมดาเลยครับแต่ข้อดีของการออกแบบ แบบนี้คือมองง่ายมากๆมองได้ชัดเจนแม้จะเจอแสงแดดเยอะๆก็ยังมองชัดเจนครับ ตอนสตาร์ทนั้นจะมีกราฟฟิคสวยๆพร้อมกับการกวาดเข็มไปมาสวยงาม ส่วนตัวหน้าจอด้านซ้ายสามารถปรับเปลี่ยนได้เยอะครับและ จะบอกข้อมูลต่างๆได้ครบถ้วนรวมถึงแสดงข้อมูลเวลาเราเล่นเพลงอะไรพวกนี้ได้ด้วยครับไม่ต้องไปมองวิทยุตรงกลาง ซึ่งสามารถเปลี่ยนคร่าวที่จะโชว์ได้เช่น  การใช้พลังไฟฟ้า/การชาร์จกลับ และระยะทางที่เหลือ . Safety System แสดงการทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆว่าเปิด หรือปิดอยู่ ในกรณีนี้เข็มโชว์การใช้พลังไฟฟ้าจะหดขนาดลงไปอยู่กับไฟบอกตำแหน่งเกียร์ แสดงค่าความเร็วเป็นตัวเลข Drive Computer – ข้อมูลการใช้ไฟฟ้า ความเร็วเฉลี่ย และข้อมูลต่างๆ แสดงอุณหภูมิของแบตเตอรี่ได้ คร่าวๆประมาณนี้ครับ

ความรู้สึกของตัวภายในเวลากลางคืน แสงยามดึกนั้นแอบแปลกใจที่ใช้โทนไฟส้ม ทั้งหมด ไฟเพดานต่างๆนั้นยังคงเป็นโทนสีส้มจริงๆถ้าเป็น LED ทั้งคันน่าจะสวยกว่าและเข้ากับรถไฟฟ้ากว่าเยอะครับรวมถึงสีปุ่มต่างๆในตัวรถด้วยเพราะหน้าปัดก็มาในโทนฟ้าทั้งหมดอยู่แล้วอันนี้แอบขัดใจจริงๆ และทั้งคันจะเป็นการเล่นกับสีฟ้าแต่พอไฟติดกลับเป็นสีตรงข้ามกันแบบชัดเจนเลยอันนี้แปลกใจเล็กน้อย ส่วนปุ่มต่างๆก็มองเห็นชัดเจนมาในสีแดงครับผมรวมถึงตรงเกียร์ด้วย แต่พวกตัวเลขบอก แอร์ต่างๆนั้นจะเป็นสีขาวนะครับ รวมถึงปุ่ม สตาร์ทนั้นเป็นสีฟ้านั้นเอง

TRACK TEST

ในสนามทดสอบนั้นที่ทาง Nissan จัดให้ต้องบอกว่าเป็นการทดลองประสิทธิภาพของตัว E-Pedal และ ทดลองอัตราเร่งของตัวรถยนต์แบบเต็มที่รวมถึงการควบคุมด้วยครับเพราะมีทั้งการทดสอบแบบ Slalom Test – อัตราเร่งทางตรง รวมถึง การเลี้ยวแบบเลข 8 ดูการทรงตัวไปในตัวครับโดยในการขับขี่ทั้งหมดนั้นห้ามเบรคเลยนั้นเองเพราะเค้าให้ใช้ระบบ E-Pedal ทั้งหมดและมีการจับเวลาแข่งขันกันถ้าใครแตะเบรคนั้นจะโดนบวกเวลาไปอีกแน่นอนว่าลุ้นกันพอสมควรเพราะไม่มีใครเคยใช้ระบบแบบนี้แน่ๆครับ ต้องทำความคุ้นเคยกันและมีให้ทดลองกัน 2 รอบก่อนจับเวลาจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์แบบใหม่

เมื่อออกจากจุดเริ่มนั้นทางผมก็เหยียบมิดแบบเต็มที่สัมผัสได้ถึงแรงบิดที่ไม่ต้องรอรอบเหยียบแล้วมาเลยเต็มที่ล้อดังเอี้ยดแบบที่ไม่มีทางเจอในรถยนต์ระบบทั่วไปได้แน่ๆเพราะไม่ต้องรอรอบเครื่องครับและทำความเร็วได้แบบหลังติดเบาะสุดๆ เป็นอะไรที่สนุกมากๆครับ และเมื่อเจอทางโค้งนั้นเราห้ามเบรคแต่เป็นการยกเท้าขึ้นมาและรถเหมือนเบรคให้เราแบบเนียนๆซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้หยุดทันทีแต่เหมือนการไล่เยรคแบบเนียนๆซึ่งเนียนกว่าเราเบรคเองซะอีก พอความเร็วพอสมควรนั้นเราก็เลี้ยวเข้าโค้งแบบจัดเต็มรถเอียงตามเยอะมากแต่ยังควบคุมได้แบบเหลือเชื่อท้ายไม่ปัดและไม่ออกไปเลยทรงตัวได้ดีกว่านิสสันที่เคยขับมาเยอะมากเกาะแน่นหนึบและไม่ย้วยครับ พวงมาลัยคมสั่งได้ดั่งใจและไม่หนีออกนอกเส้นทางอันนี้ทำได้ดี และเมื่อออกจากโค้งเราเหยียบมิดแบบที่ถนนทั่วไปไม่กล้าเหยียบ โดยส่วนตัวผมกระทืบสุดตัวรถพุ่งแบบน่ากลัวมากๆคือเหยียบไปและรถพุ่งทันที ไม่แปลกใจว่าทำความเร็วตีนต้นได้ไวมากๆ 7.9 วิก็ถึง 100 แล้วโดยรวมนั้นต้องบอกว่ามันทำช่วงล่างได้ดีกว่าที่คิดไว้มากรวมถึงอัตราเร่งเพราะ นิสสันที่เราคุ้นเคยจะค่อนข้างอืดและย้วยนุ่มเกินไปสำหรับผมนะ แต่รุ่นนี้มันทำได้ดีมากจริงๆทันใจและเกาะควบคุมได้แบบสบายๆเลยครับ

ขยายกันอีกนิดนึงว่า ระบบ e-Pedal นันเป็นตัวช่วยในการขับขี่ในเมืองแน่นอนว่า แป้นเบรคปกติยังมีอยู่นะ แต่เพียงระบบนี้จะช่วยหน่วงรถจนหยุดเองเมื่อเรายกเท้าออกจากคันเร่งและมันมีประโยชน์มากๆในเมืองครับเราแค่เหยียบ ยก เหยียบยกเท่านั้นไม่ต้องสลับข้างไปมาบอกเลยว่าช่วยได้เยอะมากกกก และเจอสะพานเนินรถก็ไม่ถอยหลังเองด้วยครับ เบรคอยู่ยาวๆแต่ต้องปรับตัวนิดนึงว่าควรปล่อยช่วงไหนยังไงให้รถหยุดแบบนิ่มๆและระยะกำลังดีครับ  ส่วนตัวเกียร์นั้นมีคร่าวๆคือ

  • ใส่เกียร์ D ไม่เปิด e-Pedal อันนี้รถจะเหมือนรถทั่วไป เราเหยียบเบรคปกติครับ รถไหลปกติ
  • ใส่เกียร์ B ไม่เปิด e-Pedal เหมือนรถทั่วไปแต่จะหน่วงมากๆแต่ไม่หยุดให้เอง ต้องเหยียบเบรค
  • เปิดใช้ e-Pedal นั้นรถจะหน่วงมากจนหยุดให้เอง ไม่ต้องเหยียบเบรค แต่ถ้ากระทันหันก็เหยียบได้

ระบบความปลอดภัยที่ให้มาเพียบทั้ง ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA, เทคโนโลยีเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning: FCW) เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉิน (Forward Emergency Braking: FEB), เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (Active Trace Control: ATC), ถุงลมนิรภัย 6 ลูก, กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor: IAVM) พร้อมเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection: MOD), ระบบช่วยควบคุมสเถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control: VDC), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA) รวมทั้งเบรกมือไฟฟ้า มาให้ค่อนข้างครบเลยแหละ

TEST DRIVE

มากันที่ทดลองขับจริงๆในการชาร์จเต็ม 1 ครั้งกันครับแบบไปกลับ นครปฐม ว่าจะกลับมาถึงไหมและบนสภาพถนนจริงนั้นจะเป็นยังไงครั้งนี้เราขับแบบไปกันเองไม่ได้ไปแบบขบวนนะครับจึงได้ลองกันแบบเต็มที่มากๆต้องขอขอบคุณทาง Nissan ด้วยครับในช่วงแรกเราได้ขับไปทางไกลเลยคือไป นครปฐม และมีแวะจอดเข้าห้องน้ำ หาของทานกันบ้างตามทางครับออกจากจุดเริ่มแบต 97% แล้วเรามาดูกันว่าจะวิ่งได้แค่ไหนและการขับขี่ การเก็บเสียงนั้นจะเป็นยังไงรวมถึงการเร่งแซงต่างๆเมื่อเจอรถใหญ่พวกนี้จะลุ้นแค่ไหนกันครับ

เอาเรื่องอัตรเร่งกันก่อนและการขับขี่จริงๆนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีมากๆในการขับขี่จริงๆนั้นอัตราเร่งที่พุ่ง มุดสบายนั้นช่วยในเรื่องของการแซงที่แซงได้ดั่งใจไม่ต้องรอรอบไม่ต้องกังวลอย่าแซงแซงเลย เหยียบเป็นมาเต็มๆหลังติดเบาะดึงสนุกมากๆครับเป็นรถที่ขับสนุกมากจริงๆเรื่องอัตราเร่งนั้นสบายขับต่างจังหวัดได้สบายรถใหญ่อะไรแซงพ้นได้แบบไม่กี่วิไม่ต้องลุ้นครับรวมถึงการควบคุมตามอัตราเร็วๆนั้นก็ทำได้ดีพวงมาลัยหน่วงน้ำหนักดีมากๆและยังไม่เบาเกินไปเลี้ยวไปมาเปลี่ยนเลนได้คมมากๆ ส่วนเรื่องของการเก็บเสียงนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของแบรนด์และรุ่นนี้ยังใช้ยางที่นุ่มและเงียบรวมถึงตัวเสียงเครื่องมันไม่มี เพราะมันเป็นรถไฟฟ้าเลยทำให้เงียบมากๆแบบเงียบจริงๆครับเสียงลมเข้ามาน้อยมากๆ และวิ่งไม่เกิน 100 นั้นแทบจะเงียบแบบดีจริงๆ แต่ถ้าวิ่งเร็วๆนั้นจะเริ่มมีเสียงลมเข้ามาบางกับเสียงถนนถ้าไม่ใช่ยางมะตอยจะเริ่มมีเสียงยางจากล้อขึ้นมาแต่ไม่ได้ดังแบบน่าเกลียดครับ ถือว่าเก็บได้เงียบแบบต้นๆของพวก C-Seg

ในเรื่องของความเร็วสูงสุดนั้นจากที่ได้รองอัตราเร่งตีนต้นมาไวมากๆ แต่มันจะเริ่มไปตันๆช่วง 145-150 จากนั้นจะไปเรื่อยๆจนถึงที่ 155-160 ครับแล้วแต่น้ำหนักในรถแต่ละคนแรงลมต่างๆจากที่ลองก็ได้ประมาณนั้นนะ เพราะแน่นอนว่ามอเตอร์มันอาจจะไม่ได้แรงบ้ามากขนาดนั้นในความเร็วปลายแต่ตีนต้นช่วงแรกๆบอกเลยว่าดึงสนุกมากๆครับ จาก 70-120 นี่กดเป็นมาตลอดแบบไม่หน่วงเลยครับถือว่าชอบมากๆในเรื่องของความนุ่ม นิ่มหนึบนั้นคันนี้ทำได้ดีกว่าตัวอื่นๆของค่ายแบบชัดเจนคือมันไม่ได้นุ่มจนย้วยหรือแข็งจนกระด้างแบบบางค่าย มันอยู่ระหว่างกลางๆและทำได้ดีเข้าโค้งนั้นไม่หลุดไม่โยนอะไรมากครับและยังคุมได้สบายๆ แม้อาจจะไม่ได้เป๊ะมากครับแต่ด้วยความที่แบตเตอรี่จุดศูนย์ถ่วงต่ำทำให้ควบคุมได้ดีกว่าที่คิด และพวงมาลัยเซทมาน้ำหนักกำลังดีในการขับขี่ในเมือง มุด แซงอะไรได้สบายแต่ถ้าขับเร็วทางไกลอาจจะเบาไปนิดนึงสำหรับบางคนอาจจะชอบครับอันนี้

เมื่อเราขากลับเข้าสู่ตัวเมืองด้วยแบต 30% เราก็ต้องลุ้นกันนิดนึงว่าจะถึงที่หมายไหมเพราะเราได้ลองขับแบบไกลจากจุดที่กำหนดและลองทดสอบว่าถ้าแบตเหลือน้อยๆนั้นจะมีกำลังหรือขึ้นเตือนอะไรไหมนั้นเองอีกทั้งยังได้ลองระบบ E-Pedal ด้วยว่าจะใช้งานในเมืองวันศุกร์รถติดๆได้ดีแค่ไหนครับแน่นอนว่าจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าน่าสนใจเพราะมันสบายมากจริงๆถ้าใครไม่ลองอาจจะบอกยากครับเพราะมันไม่เหมือนกับรถที่เราใช้อยู่เราแค่ยกเท่าและเหยียบแบบเบาๆเท่านั้นในรถติดสบายๆไม่ต้องเหยียบเบรคค้างไว้เลยถ้ารถติดนานๆ และ ยิ่งมีเบรคมือไฟฟ้าเข้ามาช่วยก็ช่วยในจุดนี้ได้อีกครับถ้าใครจะเอาชัวร์ๆ คือในเมืองรถติดขับในเมืองไปทำงานเหมาะกับพวกรถไฟฟ้าแบบนี้มากๆ ทั้งเรื่องการประหยัดพลังงานและ ความสบายของการขับขี่ ถ้าให้เทียบคือ แบตรถติดนานๆ รถจอดนิ่ง 1 ชั่วโมงมีขยับนิดหน่อยเส้นอโศก แบตลดไปแค่ 1% ในเวลา 1 ชั่วโมงของรถติดเท่านั้น และ ขับไปต่างจังหวัดกลับมา ระยะทาง 280 กิโล แบตเหลือกลับมา16% โดยประมาณนะครับ และเท่ากับว่าขับไป นครปฐมนั้นใช้เงินไม่ถึง 200 บาทครับผม 

EV POWER COMSUMPTION

การใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายของตัวนี้ทาง Nissan นั้นบอกมาว่าตัวนี้ในการชาร์จไฟแบบเต็มความจุจะวิ่งได้ 311 กิโลเมตรในการทดสอบในไทย และ ใช้ค่าใช้งานประมาณ 200 บาทเมื่อคำนวณจากค่าไฟฟ้าในการชาร์จไฟเต็มครับและ อัตราการกินไฟนั้น 1 กิโลเท่ากับ 0.50 สตางค์ นั้นเองถือว่าถูกมากๆเลยครับเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปหรือ Hybrid นั้นเอง ส่วนในการทดสอบใช้งานจริงนั้นต้องบอกว่าทำได้แม่นและใกล้ๆเคียงกับทางที่ Nissan บอกมาเลยแหละครับแน่นอนว่าในการทดสอบครั้งนี้เราได้ขับไปกลับและมีรถติด มีการเหยียบเร่งแบบเต็มที่ตลอดระยะทางครับ

ก็เท่ากับว่าเราวิ่งไปทั้งหมด 270 กิโลเมตร กลับมาแบตเหลือ 16% ครับและวิ่งได้อีกประมาณ 26  กิโลคร่าวๆถือว่าใช้งานวิ่งไปต่างจังหวัดได้แบบพอดีๆ แต่ต้องคำนวณระยะทางและเผื่อเวลารถติดพอสมควรเพราะจากที่ใช้งานนั้นแบตเหลือ 16% ก็ยังไม่มีเตือนอะไรหรืออัตราเร่งก็ไม่ได้ตกอะไรครับโดยการขับขี่นั้นใช้โหมด D-B สลับกันไปและโหมด B นั้นเวลาขับไปก็เหมือนกับการชาร์จไฟกลับไปในตัวเองได้ด้วยนิดหน่อยครับถือว่าช่วยประหยัดได้เยอะ ส่วนเรื่องของตัวแบตนั้นแน่นอนว่าหลายๆคนอาจจะกังวลว่า แบตมันแพงแน่ๆเปลี่ยนที่แพงแน่นอน เราก็สรุปให้ได้ครับว่าแพง แต่ มันไม่ได้เปลี่ยนทุก 2 ปีแบบรถทั่วไปมันไม่ค่อยได้เปลี่ยนยกเว้นจะเกิดปัญหาครับ และเมื่อเปลี่ยนก็เปลี่ยนทีละโมดูลเท่านั้น ซึ่งมีราคา โมดูลละ 75,000 บาทและรถทั้งคันมี 24 โมดูล ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ต้องเปลี่ยนทั้งหมด มันเปลี่ยนแค่ทีละโมดูลเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีปัญหามาครับตั้งแต่รุ่นแรกแล้วนั้นเอง เพราะฉนั้นสบายใจได้ในเรื่องนี้ และในส่วนของการรับประกันแบตก็ให้มามากถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร และ ระบบไฟฟ้า 5 ปีแน่นอนว่าบางคนอาจจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่แล้วก็ได้ครับเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงสำหรับเรื่องอายุแบตตัวนี้

ในเรื่อการ บำรุงรักษานั้นน้อยกว่ารถทั่วไปมากๆเพราะมันไม่มีเครื่องยนต์แน่นอนว่าทางนิสสันได้คำนวนออกมาให้แล้ว ว่าระยะเวลารับประกัน 6 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร จะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าศูนย์บริการเพียง 11,880 บาทเท่านั้น ครึ่งเดียวของค่าบำรุงรักษารถยนต์ระดับ C Segment เพราะมันจะมีเปลี่ยนแค่พวกไส้กรองแอร์ในรถกับน้ำมันเบรกเท่านั้น แค่นั้นจริงๆเพราะส่วนอื่นๆมันหายไปกับเครื่องยนต์หมดแล้ว ส่วนเรื่อง ยาง ผ้าเบรค อะไรพวกนี้ก็ตามระยะอายุของมันครับ แต่พวกน้ำมันเครื่อง สายพาน หม้อน้ำทั้งหลาย อะไรพวกนี้ไม่มีเลยนั้นเองลดค่าใช้จ่ายบำรุงๆไปได้เยอะมากๆ และมาที่การชาร์จไฟกันบ้างทาง Nissan แถมที่ชาร์จไฟบ้านมาให้ แต่ทั้งนี้ไฟบ้านต้องให้ทางบริษัทไปเช็คก่อนว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไรไหมพวกมิเตอร์ หรือ การรองรับ ถ้าไม่รองรับก็มีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนระบบไฟที่บ้านปกติครับ ส่วนระยะเวลาการชาร์จนั้นถ้าใช้สายที่แถมมาจะค่อนข้างนานมากๆคือ 12 ชั่วโมง เมื่อชาร์จจาก 0-100% แน่นอนว่าปกติเราคงไม่ขับให้ถึง 0 แน่ๆเพราะระบบนั้นจะไม่ยอมให้ขับจนหมดครับ แต่แนะนำให้หาซื้อ Wallbox แบบในภาพที่ทดลองจับมาติดตั้งเพราะจะใช้เวลาชาร์จแค่ 6 ชั่วโมงแต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอันนี้สามารถติดต่อทาง Nissan-Delta ที่รวมมือกันอยู่ได้เลยครับ ส่วนไปชาร์จตามห้างที่มี QuickCharge นั้นจะใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เต็มแล้ว แต่การชาร์จไวบ่อยๆอาจจะส่งผลให้แบตเสื่อมได้ไวขึ้นนิดหน่อยครับผมเป็นปกตินะ

NISSAN LEAF

รถยนต์ไฟฟ้า ประหยัดมากขับสบายเหมาะกับในเมืองรถติดๆ แต่ต่างจังหวัดต้องคำนวณดีๆ

หลังจากที่ได้ลองขับนั้นต้องบอกว่ามันโคตรจะเหมาะกับชีวิตคนทำงานที่รถติดๆในเมืองมากๆแต่ด้วยราคาและความยืดหยุ่นของมันอาจจะไม่เหมาะสำหรับรถคันเดียวในบ้าน แต่เหมาะสำหรับบ้านที่มีรถหลักและหารถประหยัดๆไว้ขับในเมืองแบบขับได้สบาย ประหยัดมากๆรวมถึงไม่ส่งผลต่อมลพิษครับ และยังสามารถมุดแซงได้สบาย จอดได้ง่ายเพราะมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปอย่างมาก แต่ถ้าเป็นรถคันเดียวในบ้านอาจจะไม่เหมาะเพราะขับไป ต่างจังหวัดอาจจะต้องคำนวณระยะทางดีๆรวมถึงที่ชาร์จยังไม่ได้มีทุกที่เท่าไรแม้จะมีเยอะถึง 244 จุดแล้วก็ตามแต่ด้วยระยะเวลาการชาร์จและแต่ละเส้นสายถนนยังไมไ่ด้ครอบคลุมเท่าไร รถคันนี้จึงเหมาะกับในเมืองซะมากกว่าเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และในหลายๆยี่ห้อนั้นก็จะขับได้ประมาณนี้กันหมดครับ ซึ่งมันเป็นตัวเลือกที่ช่วยโลกได้ดีมากๆและจับต้องได้

แต่เรื่องที่ยากมากๆในการทำตลาดคงหนีไม่พ้นราคาที่แตะ 2 ล้านต้องบอกว่ายังคงสูงไปและทางค่ายรถยนต์พยายามทำราคาที่สุดแล้วครับแต่เนื่องจากการประกอบญี่ปุ่นและนำเข้าทั้งคันเลยทำให้ราคานั้นค่อนข้างสูงแม้จะได้อัตราภาษีแบบรถไฟฟ้าแล้วก็ยังแพงอยู่พอสมควร เพราะไม่ได้มีการทำข้อตกลงแบบของค่ายจีนค่ายนั้นนั้นเองครับ และปัจจัยหลักๆคือ สถานีชาร์จยังไม่ได้เยอะครอบคลุมแบบจริงจัง แต่ก็ต้องบอกว่าเยอะขึ้นมากๆแล้วครับ แต่ด้วยระยะทางและเส้นทางหลายๆที่ยังคงหาได้ยากรวมถึง ระยะเวลาการชาร์จมันไม่เหมือน การเติมน้ำมัน บางทีอาจจะต้องจอดไว้ 30 นาทีแบบนี้อาจจะไม่ได้สะดวกแน่ๆ แต่ถ้ามองอีกมุมคือใช้งานในเมือง ไปจอดตามห้างซึ่งเดี๋ยวนี้มีในทุกๆห้างแล้วที่ชาร์จไฟฟ้าได้ อันนี้คือสะดวกมากๆอีกทั้งขับในเมืองไปเช้าเย็นกลับได้แบบสบายๆ อันนี้ไม่ต้องกังวลเลยครับ ถือว่าต้องดูว่าเหมาะกับการทำงานของเราหรือเส้นทางของเราไหมครับ เพราะมันมีจุดที่ตอบโจทย์ได้ดีอยู่ และการขับที่สบาย อัตราเร่งดี รวมถึง ไม่ปล่อยมลพิษ และประหยัดจึงเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจ อยู่ที่ว่ามันจะตรงกับโจทย์ของเราไหมนั้นเองครับ แต่เป็นเรื่องดีที่มีการนำรถไฟฟ้าเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลดีในอนาคตของเราได้แน่ๆครับ

TEST DRIVE แบบวีดีโอไปรับชมกันได้เลย

สำหรับรีวิวนี้เป็นครั้งแรกที่ทางเราทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามติดต่อและ หามาให้อ่านกันเยอะๆขึ้นเรื่อยๆสำหรับ Techhangout automobile 

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr