realme ยังคงเดินหน้าเปิดตัว AIOT ของตัวเองกันแบบไม่ต้องหยุดพักอีกแล้วหลายๆท่านคงได้อ่านรีวิวจากค่ายนี้กันแบบต่อเนื่องยาวๆ เมื่อย้อนกลับไปในงานเปิดตัว realme 8 series ในไทยในไม่กี่วันที่ผ่านมาต้องบอกว่าเปิดตัวนอกเหนือจาก realme 8 และ realme 8 5G แล้วนั้นยังคงมีการเปิดตัว AIOT รุ่นใหม่เยอะมากๆไม่ว่าจะเป็น realme Buds Air 2 และ realme Buds Air 2 Neo รวมถึงยังมีลำโพง BT รุ่นใหม่จากค่ายนี้ด้วยนะถือว่าจัดเต็มจริงๆ แต่ครั้งนี้เราจะมาเน้นในตัวหูฟัง TWS กันดีกว่า เพราะว่าในรุ่นก่อนหน้าทำออกมาได้ดีนะ ส่วนรุ่นใหม่จะเด่นยังไงกันบ้างนั้นมาอ่านกันได้เลย แถมยังได้ร่วมงานกับ The Chainsmoker มาช่วยปรับ จูนเสียงด้วยจัดว่าดี

realme Buds Air 2 นั้นจะเป็นรุ่นพี่จัดเต็มในแง่ของการใช้งาน งานออกแบบแน่นอนว่าจุดแตกต่างกันนั้นน่าจะเป็นเรื่องของงานออกแบบรวมถึงฟีเจอร์บางอย่างและการจัดเสียงรวมถึงไมค์ที่ตัด Buds Air 2 นั้นจะดีกว่าแบบชัดเจนครับ ในแง่ของสเปคอาจจะไม่ได้หนีกันมากนัก จะมาพร้อมกับ ระบบตัดเสียง ANC (Active Noise Cancellation) และยังรองรับ Transparency mode โหมดฟังเสียงภายนอก ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถฟังเสียงรอบข้างได้ และใช้งาน ระบบเสียงไดรเวอร์เบส Diamond-class Hi-Fi 10 มิลลิเมตร และ สามารถใช้งานได้ยาวนาน 25 ชั่วโมง รวมถึง รองรับการชาร์จเร็วด้วยการชาร์จเพียง 10 นาทีสำหรับการใช้งานได้ถึง 2 ชั่วโมง และยังมี โหมดความหน่วงต่ำ 88ms Super Low Latency รวมถึง รองรับการสั่งงานสัมผัส และ กันน้ำระดับ IPX5 และใช้งาน realme Link รองรับระบบอีควอไลเซอร์ (Equalizer) อีกทั้งจะมีระบบตรวจจับการสวมใส่เมื่อใส่ใช้งานหรือว่าถอดออกนั้นเอง และเป็นรุ่นที่พัฒนาเสียงกับ The Chainsmoker ทำให้มีความโดดเด่นมากขึ้นและคุณภาพเสียงจะเน้นกว่าตัว Neo รุ่นนี้จะมาพร้อมกับ. ราคา 2,499 บาท ในทั้งสี Closer White และ Closer Black  ซึ่งรุ่นนี้จะเป็นการขายหน้าร้านทั่วไปครับ 

realme Buds Air 2 Neo แน่นอนว่ารุ่นนี้จะเป็นรุ่นเล็กที่ราคาถูกกว่าและขายในออนไลน์เท่านั้นทำให้มีทั้งเรื่องของงานออกแบบและฟีเจอร์ ระบบเสียงอะไรที่แอบมีความแตกต่างกันรวมถึงรุ่นนี้จะไม่ได้มีการจูนเสียงจาก The Chainsmoker ด้วยนั้นเอง ส่วนสเปคนั้นจะมาพร้อมกับ ระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) และยังคงมี Transparency mode โหมดฟังเสียงภายนอก  รวมถึง ระบบเสียงไดรเวอร์เบส Diamond-class Hi-Fi 10 มิลลิเมตร สามารถใใช้งานได้ยาวนาน 28 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วด้วยการชาร์จเพียง 10 นาทีสำหรับการใช้งานได้ถึง 3 ชั่วโมง มี Gaming Mode รองรับโหมดความหน่วงต่ำ 88ms Super Low Latency และ ไมโครโฟนแบบคู่ พร้อมตัดเสียงรบกวน รองรับการสั่งงานสัมผัส และ  กันน้ำระดับ IPX5 และใช้งาน realme Link และมาพร้อมกับ ราคา 1,299 บาท วางขายแบบออนไลน์ ทั้งในสี  Active Black และ Calm Grey 

  • realme Buds Air 2 Neo
    ราคา 1,299 บาท วางขายแบบออนไลน์ ทั้งในสี  Active Black และ Calm Grey 
  • realme Buds Air 2
    ราคา 2,499 บาท ในทั้งสี Closer White และ Closer Black  ซึ่งรุ่นนี้จะเป็นการขายหน้าร้านทั่วไป

UNBOX

ตัวกล่องยังคงใช้งานดีไซน์งานออกแบที่ต้องบอกว่าคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ส่วนที่แอบขัดใจคงจะเป็นการที่หน้าปกบนกล่องนั้นจะเป็นสีดำ แต่พอข้างในเป็นสีขาวซึ่งไม่แน่ใจว่าตัวจริงหรือว่าขายจริงอาจจะเปลี่ยนสีตามหรือไม่นั้นต้องรอดูกันครับ ส่วนกล่องทั้ง 2 รุ่นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหรือว่าการเปิดแตกต่างกันไปซึ่งตัว Buds Air 2 จะดูพรีเมี่ยมกว่า

UNBOX BUDS AIR 2

  • ตัวเคส realme Buds Air 2
  • หูฟัง realme Buds Air 2
  • สายชาร์จ USB-C สีเหลือง
  • จุกหูฟัง 2 ขนาด
  • คู่มือการใช้งาน

UNBOX BUDS AIR 2 NEO 

  • ตัวเคส realme Buds Air 2 Neo
  • หูฟัง realme Buds Air 2 Neo
  • สายชาร์จ USB-C สีเหลือง
  • จุกหูฟัง 2 ขนาด
  • คู่มือการใช้งาน

DESIGN BUDS AIR 2

งานออกแบบตัว Buds Air นั้นถือว่าสวยและดูหรูหรามากๆแน่นอนว่าสานต่อจากรุ่นก่อนหน้าได้ดี ทรงนี้สวยขึ้นมีความเป็นตัวเองมากขึ้นเพราะว่าไม่เหมือนกับรุ่นก่อนที่แอบจะไปคล้ายกับอีกค่าย แต่พอมารุ่นนี้กลับพัฒนาขึ้นสวยและลงตัวขึ้นรวมถึงมีการใช้ด้านสีเงินสวยงามมากกว่าเดิมและใส่ใช้งานได้กระชับปรับมาใช้งานแบบ In-Ear พร้อมกับ มาพร้อมกับหูฟังไร้สายน้ำหนักเพียง 4.1 กรัม และ หูฟังทั้ง 2 ข้างเมื่อรวมกับ Charging Case แล้วจะหนักเพียง 42.7 กรัมเท่านั้น  รวมถึงรองรับการกันน้ำ IPX5 ทำให้เรื่องของการใส่ออกกำลังนั้นก็ไม่ต้องห่วงด้วยเช่นกันครับ และเป็นการพัฒนาต่อจากรุ่น Buds Air Pro ที่ต้องบอกเลยว่า สวยขึ้น เสียงดีขึ้นและราคากลับทำได้ดีกว่าเดิมด้วย

ในดีไซน์เมื่อมาดูแบบชัดๆที่เด่นๆนั้นคงจะหนีไม่พ้นกับก้านสีเงินแววสวยงามแบบโครมเมี่ยมพร้อมกับรูปทรงสวยงามและมาพร้อมกับที่ชาร์จในด้านล่างเช่นเดิมครับ ส่วนตัวหูฟังยางซิลิโคนนั้นนุ่มนิ่มใช้งานได้ดี รวมถึงมีไมค์แทรกเข้ามาให้สำหรับการตัดเสียงต่างๆ รวมถึงรุ่นนี้จะพิเศษกว่ารุ่น Neo เพราะว่ามีเซนเซอร์ตรวจจับการสวมใส่เข้ามาด้วยเช่นกัน และตัวท่อเสียงนั้นจะมีขนาดใหญ่ระดับนึงกับไดรเวอร์ 10 มม. ถือว่าภาพรวมดีไซน์สวยหรูมากขึ้นเยอะจริงๆ และแน่นอนว่าเรื่องของชื่อสีต่างๆนั้นมีการเอาชื่อเพลงจาก The Chainsmoker ใส่เข้ามาในชื่อ Closer White ด้วย ส่วนการสั่งงานใช้งาน สามารถแตะตรงตัวก้านสีเงินได้เลยครับ และสามารถปรับแต่งคำสั่งได้ในตัวแอพแยกอีกที

ตัวเคสนั้นเป็นรูปทรงไข่สวยงามเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนแต่แอบเสียดายการชาร์จไร้สายได้หายไปแล้วครับทำให้การใส่ใช้งานชาร์จไฟเข้าจะเป็นแค่สาย USB-C เท่านั้นและตัวเคสแน่นอนว่าทรงแบบนี้ตั้งวางได้ยากมากๆในแนวตั้ง ส่วนขนาดอะไรนั้นกำลังพกพาได้ดี และเบาแม้จะใส่หูฟังเข้าเคสก็ตามส่วนปุ่มสั่งงานบนตัวเคสจะอยู่ฝั่งขวาของเคสครับ ถือว่าเคสนั้นสีขาวเงาสวยและเบาแต่เรื่องรอยขนแมวอะไรก็เป็นปกติของวัสดุแบบนี้ครับรักษากันยากนิดนึงในการใช้งานทั่วไป และแน่นอนว่าอาจจะมีเคสออกมาขายแยกในอนาคต หรือว่าแบรนด์อื่นๆก็อาจจะมีตามมาเร็วๆนี้แน่ๆครับ

ภาพรวมทั้งตัวเคสและหูฟังของ Buds air 2 ถือว่าสวยหรูสมราคากับรุ่นพี่และคุณภาพงานประกอบแอบเนียนและแน่นกว่ารุ่น Neoในเรื่องของตัวเคสแน่นอว่าดีกว่าเดิมและยังคงน้ำหนักเบาและพกพาได้ง่ายครับ การใส่ใช้งานชาร์จก็วางไปได้เลย แถมไฟสถานะนั้นจะอยู่ในด้านหน้าคอยบอกเวลาชาร์จไฟต่างๆว่าแบตจะหมดหรือเต็มแล้วนั้นเองครับ

DESIGN BUDS AIR 2 NEO 

งานออกแบของ Buds Air Neo จุดเด่นคงหนีไม่พ้นเรื่องของขนาดและการพกพารวมถึงวัสดุแบบสีด้านออกสีเทาๆนิดหน่อยครับและสีสันตัวหูฟังที่มีความโดดเด่นและดูวัยรุ่นมากกว่าอาจจะเจาะกลุ่มลูกค้ากันคนละแบบเลยนั้นเองส่วนเรื่องของการพกพานั้น ออกแบบดีไซน์ด้วยความเป็น Futuristic หรือความเป็นโลกแห่งอนาคตทั้งสีสัน และ ลูกเล่นต่างๆ โดยบริเวณด้านบนของตัว Buds จะมีความโค้ง 48 องศา และบริเวณส่วนล่างของตัว Buds มีความโค้ง 72 องศา ส่วน Buds 1 ข้างนั้น จะมีน้ำหนักเพียง 4.5 กรัม และสำหรับ Buds 2 ข้างพร้อมกับ Charging Case จะมีน้ำหนักเพียง 45 กรัม เรียกได้ช่วยให้สะดวกสบายทั้งสำหรับใช้งานหรือแม้แต่กระทั่งการพกพา ในรุ่น Air 2 Neo แต่แอบน่าสนใจครับเพราะว่าแม้จะดูเล็ก แต่พอมาดูน้ำหนัก ขนาดในภาพรวมนั้นตัว Neo กลับหนักกว่ารุ่นพี่นิดนึง

ตัวหูฟังนั้นจะไม่ได้มีก้านอะไรแบบรุ่นพี่แต่จะเน้นการใส่ฟังเพลงมากกว่าการใช้งานคุยทำให้ทรงเลยออกมาแบบนี้ครับ เน้นใส่ง่ายไม่เกะกะกระชับมากกว่า งานออกแบบ บริเวณส่วนด้านบนของตัว Buds จะมีความแวววาว ตามคอนเซป Futuristic ซึ่งได้ใช้เทคนิค Lamination Process นั่นคือการใช้ฟิล์มพลาสติกที่ผ่านกระบวนการลามิเนต โดยการนำฟิล์มพลาสติกหลายๆชั้นมาเคลือบติดเข้าด้วยกันเป็นฟิล์มแผ่นเดียว นอกจากนี้ยังมีการใช้กระบวนการ Matte Process และยังมาพร้อมกับการควบคุมอย่างอัจฉริยะ ผ่านตรงสีวาวๆด้านนอกรวมถึงมีไมค์ตัดเสียงและ ที่ชาร์จมาให้ในด้านในที่เป็นแถบทองแดงครับ ส่วนท่อเสียงนั้นเป็นวงกลมและมีขนาดใหญ่กำลังดี รวมถึงตัวจุกซิลิโคนเช่นกัน

ตัวเคสมาพร้อมกับสีเทาอมฟ้านิดๆแบบสีด้านแตกต่างกับรุ่น Air 2 ชัดเจนครับรวมถึงเปลี่ยนงานออกแบบจาก Air Neo เยอะมากๆสวยและลงตัวขึ้นเป็นเหมือนการพัฒนาต่อจาก Bud Q มากกว่าแต่ปรับคุณภาพอะไรได้ดีขึ้น สวยขึ้นด้วยเช่นกันครับ ตัวเคสมีความเบาและสวยรวมถึงใช้งาน USB-C ในด้านหลังและปุ่มควบคุมอยู่ข้างในพร้อมไฟสถานะในด้านหน้าตัวเคส วัสดุเป็นพลาสติกพื้นฐานครับตัวฝาอะไรแน่นกำลังดีไม่โยกอะไร สมกับราคาและคุณภาพ

เมื่อใส่ใช้งานเวลาชาร์จก็จะมีไฟสถานะบนตัวเคสขึ้นมาครับแน่นอนว่าเป็นสีสันที่สวยมากจริงๆบนฝาตัวหูฟังครับและสีที่จะออกเทาๆทำให้ใช้งานจริงนั้นสกปรกได้ยากกว่าสีขาวล้วนถือว่าทำออกมาได้ใช้งานได้ดีขึ้นแต่ด้วยวัสดุแบบด้านก็อาจจะต้องระวังเลอะและเช็ดออกยากนิดนึงแต่พวกรอยขนแมวก็จะน้อบกว่าแบบเงาแตกต่างข้อดีกันไปด้วยเช่นกัน

SPEC BUDS AIR 2

  • ดีไซน์แบบ Two-tone, น้ำหนัก 4.1 กรัม, มาพร้อมซิลิโคนนุ่มบริเวณตัวหูฟัง
  • ไดร์ฟเวอร์ Hi-Fi Diamond-class ขนาด 10mm ที่มาพร้อม Bass Boost+
  • Bluetooth 5.2, AAC audio codec,
  • Open-up Auto Connection & Google Fast Pair
  • ระบบตรวจจับการสวมใส่, รองรับการสัมผัสเพื่อใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ หรือเรียกใช้ AI ผู้ช่วย
    ชิบ R2 ที่ถูกปรับแต่ง และ รองรับ Bluetooth 5.2
  • ไมโครโฟนคู่ที่รองรับระบบตัดเสียงรบกวน (active noise cancellation) ที่ตัดเสียงรบกวนสูงสุด 25dB
  • โหมด Transparency ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานฟังเสียงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ด้วยการสัมผัสหนึ่งครั้ง โดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง
  • ไมโครโฟนคู่สำหรับตัดเสียงรบกวนที่รองรับอัลกอริทึ่ม ENC ทำให้ตัดเสียงรบกวนขณะคุยโทรศัพท์ได้
  • โหมดเล่นเกมดีเลย์ต่ำ 88ms
  • แอพ realme Link สามารถปรับแต่งฟังก์ชั่นการเปิด-ปิดระบบตัดเสียงรบกวน, สลับไปใช้ bass boost+ อัพเดทซอร์ฟแวร์ ฯลฯ
  • กันน้ำมาตรฐาน IPX5
  • ขนาดตัวเครื่อง: 60.3x57x24มม. (ตัวเคส); น้ำหนัก: 34.5กรัม (ตัวเคส), 4.1กรัม (หูฟังหนึ่งข้าง)
  • ใช้งานได้ 5 ชั่วโมง โดยไม่เปิด ANC, แบตเตอรี่ความจุ 400mAh ทำให้ใช้งานได้รวม 25 ชั่วโมงโดยไม่เปิด ANC, 22.5 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC, การชาร์จเพียง 10 นาที ทำให้ใช้งานได้ 2 ชั่วโมง (แบตของทั้งหูฟัง + เคส)

SPEC BUDS AIR 2 NEO

  • ดีไซน์แบบ Cobblestone, มาพร้อมซิลิโคนนุ่มและเป็นมิตรต่อผิวหนัง
  • ไดร์เวอร์ Bass Boost ขนาด 10มม. ที่รองรับ Bass Boost+ เพิ่มน้ำหนักของเบส
  • Bluetooth 5.2, AAC audio codec
  • ควบคุมได้ด้วยการสัมผัส & รองรับ Voice assistant
  • Customized R2 chip and Bluetooth 5.2 support, Open-up Auto Connection & Google Fast Pair
  • ไมโครโฟนคู่สำหรับตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ตัดเสียงรบกวนได้สูงสุด 25 เดซิเบล
  • โหมด Transparency ที่แตะเพียงครั้งเดียวก็สามารถฟังเสียงสภาพแวดล้อมได้โดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง
  • ไมโครโฟนคู่สำหรับตัดเสียงรบกวนที่รองรับอัลกอริทึ่ม ENC ทำให้ตัดเสียงรบกวนขณะคุยโทรศัพท์ได้
  • โหมดเกมมิ่งดีเลย์ต่ำเพียง 88ms
  • แอพ realme Link ที่สามารถปรับกาควบคุมฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเปิดโหมดตัวเสียงรบกวน, เปิด bass boost+, อัพเดทซอร์ฟแวร์ ฯลฯ
  • น้ำหนักตัวหูฟัง 4.5 กรัม; 45 กรัมเมื่อรวมกับน้ำหนักเคส
  • กันน้ำมาตรฐาน IPX5
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ 5 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC, 7 ชั่วโมงเมื่อปิด ANC, แบตเตอรี่ความจุ 480mAh ใช้งานได้รวม 28 ชั่วโมง เมื่อปิด ANC, 20 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC, การชาร์จเพียง 10 นาทีทำให้สามารถใช้งานได้ 3 ชั่วโมงติดกัน (แบตของหูฟัง + เคส)

SYSTEM UI 

ทางด้านระบบหน้าตานั้นแน่นอนว่าใช้งาน realme Link ที่เราคุ้นเคยกันดีในรีวิวก่อนๆหรือว่า AIOT รุ่นอื่นๆเป็นแอพเดียวรวมใช้งานด้วยกันทั้งหมดและครั้งนี้ใช้งานได้ง่ายขึ้นหน้าตาสวยงามและสามารถเอามาปรับแต่งใช้งานได้เยอะขึ้น และแอพเดียวจบสามารถใช้งานได้ทั้ง 2 ตัวและรองรับทั้ง หลอดไฟ และ นาฬิกา รวมถึงทุกอย่างของ realme

มีระบบ Google Fast Pair เมื่อเปิดฝาหูฟังและอยู่ใกล้เครื่องก็จะมีขึ้นมาให้ Connect พร้อมกับรูปหูฟังรุ่นชัดเจนอันนี้ไวมากกก คือไม่ต้องเปิดแอพอะไรเลยมันขึ้นมาเลยครับส่วนตัวชอบเลยแหละ และเมื่อเชื่อมเสร็จแล้วก็จะสามารถใช้งานได้ทันทีเลยนั้นเอง แน่นอนว่าตัวระบบมีแจ้งเตือน สถานะแบตทั้ง 3 ส่วนในหน้าแจ้งเตือนไว้ตลอดเวลาด้วยแบบในภาพที่ 2 ส่วนภาพที่3 นั้นจะเป็นหน้าตาการตั้งค่าหลักๆที่ สามารถดูสถานะแบต และ ปรับโหมดการตัดเสียงได้ รวมถึงมี Game Mode และ สามารถปรับระดับเสียงดังพิเศษได้ด้วย รวมถึงเปิดปิดระบบการรับสายอัตโนมัติในภาพขวาสุด และการปรับแต่งการควบคุมทั้งหมด นั้นจะสามารถปรับได้ ซ้าย ขวา แยกอิสระและ 3 แบบหลักๆครับ

มีระบบ Google Fast Pair เมื่อเปิดฝาหูฟังและอยู่ใกล้เครื่องก็จะมีขึ้นมาให้ Connect พร้อมกับรูปหูฟังรุ่นชัดเจนอันนี้ไวมากกก คือไม่ต้องเปิดแอพอะไรเลยมันขึ้นมาเลยครับส่วนตัวชอบเลยแหละ และเมื่อเชื่อมเสร็จแล้วก็จะสามารถใช้งานได้ทันทีเลยนั้นเอง แน่นอนว่าตัวระบบมีแจ้งเตือน สถานะแบตทั้ง 3 ส่วนในหน้าแจ้งเตือนไว้ตลอดเวลาด้วยแบบในภาพที่ 2 ส่วนภาพที่3 นั้นจะเป็นหน้าตาการตั้งค่าหลักๆที่ สามารถดูสถานะแบต และ ปรับโหมดการตัดเสียงได้ รวมถึงมี Game Mode และ สามารถปรับระดับเสียงดังพิเศษได้ด้วย รวมถึงเปิดปิดระบบการรับสายอัตโนมัติในภาพขวาสุด และการปรับแต่งการควบคุมทั้งหมด นั้นจะสามารถปรับได้ ซ้าย ขวา แยกอิสระและ 3 แบบหลักๆครับ realme Buds Air 2 จะมีระบบปิดเพลงเมื่อถอดออก หรือ ว่าเล่นเมื่อใส่ให้เองทันที ซึ่งรุ่น Neo จะไม่มี

BUDS AIR 2

Buds Air 2 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในระดับสูงสุดของบรรดาหูฟังตอนนี้แน่นอนว่ามาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่ครบกว่าเดิมทั้งเรื่องของ การตัดเสียง ANC ที่พัฒนาได้ดีกว่าเดิมรวมถึงสามารถตัดเสียงได้สูงสุด 25 เดซิเบล และมีโหมดต่างๆในการใช้งาน มาพร้อมกับโหมด 88ms Super Low Latency  ในการเล่นเกมรวมถึง มา พร้อมกับ R2 Chip ตัวใหม่ล่าสุด และ ยังมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และไดร์เวอร์ขนาด 10 มม. รวมถึงใช้งานระบบไมค์ไมโครโฟนแบบคู่ พร้อมตัดเสียงรบกวน ด้วยในการใช้งานโทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นการคุยโทรศัพท์ต่างๆรองรับได้สบาย และ รุ่น Air 2 นั้นจะมีการรองรับเวลาใส่ใช้งานแล้วเพลงก็จะติดกลับมา เป็นเซนเซอร์คอยตรวจจับการสวมใส่นั้นเอง

SOUND 

เรื่องของเสียงนั้นตัวนี้ใช้งาน มาพร้อมกับไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 10 มิลลิเมตร พร้อมเคลือบสารคาร์บอน ซึ่งการเคลือบสารคาร์บอนคล้ายเพชร จะมีความแข็งและความต้านคล้ายกับเพชร  ช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับฟังของเสียงที่ดีขึ้น อีกทั้งในเรื่องของระบบฟีเจอร์  การอัพเกรดโหมด Bass Boost + แบบใหม่ โดยได้รับการออกแบบร่วมกันระหว่าง realme Music Studio และ The Chainsmokers เมื่อเทียบกับในรุ่นก่อน ใช้พลังของไดนามิกคอยล์ขนาดใหญ่และไดอะแฟรม DLC อย่างเต็มที่ ให้ได้รับเสียงเบสที่มีชีวิตชีวามากขึ้น แต่กับ realme Buds Air 2 คุณสามารถเพิ่มเสียงเบสสำหรับการบันทึกดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ร็อคและเสียงอื่น ๆ ที่ชื่นชอบได้ด้วยเช่นกันครับถือว่าเสียงแน่นขึ้น และการทำงานร่วมกันกับ The Chainsmokers นั้น ทำให้เสียงฟังสนุกและดูแน่นตามสไตล์เพลงของเค้าด้วย

แนวเสียงนั้นต้องบอกว่าในรุ่น Air 2 นั้นเสียงจะเน้นการฟังเพลงรวมถึงตัวหูฟังออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานคุยโทรศัพท์ได้ดีเช่นกัน แนวเพลงนั้นแน่นอนว่ารุ่นนี้จะใช้งานเสียงที่ปรับการจูนแนวเสียงจาก The Chainsmokers ทำให้แนวเพลงจะเน้นออกมาฟังง่าย ฟังสนุก เนื่องด้วยแนวเพลงของ The Chainsmokers จะเน้นไปทางแนว ดีเจ ฟังเน้นความมัน เบสแน่นๆนั้นเอง ในด้านเสียงภาพรวมนั้นฟังง่ายและขับง่ายไม่เรื่องมากครับ เสียงในย่านต่ำหรือเสียงเบสนั้นมาแบบแน่น และ ตึ้บมากๆเสียงทำให้ฟังเพลงพวก EDM หรือจะเป็นแนว Pop Rock ได้แบบลงตัว เบสมากำลังดี แน่นและไม่บวมครับ แต่ถ้าหากยังไม่สนุกพอรุ่นนี้สามารถเปิด Bass Boost +  ทำให้เน้นมากขึ้นสนุกมากขึ้นอีกครับ แต่ก็ไม่ได้ไปกลบย่านอื่นจุดนี้ถือว่าทำได้ดี ย่านเสียงแหลมอะไรนั้นมาดีแต่อาจจะไม่ได้ใสเคลียร์อะไรมากนัก ในเรื่องของดีเทลต่างๆ รวมถึงเสียงร้องก็มาชัดเจน แต่อาจจะไม่ได้นุ่มมากเพราะด้วยแนวหูฟังจะเน้นไปอีกแนวนึงทำให้เรื่องเสียงดีเทล หรือ ความนุ่มอาจจะไม่ได้เด่นครับ แต่มิติเสียง เวทีเสียงรวมถึงกำลังขับทำได้ดีกว่าเดิม

ในเรื่องของการปรับเสียง EQ นั้นสามารถปรับได้ 3 แบบ แต่จะไม่สามารถปรับอิสระได้ครับ มาพร้อมกันทั้งหมด 3 โหมด คือ Bass Boost+ ที่เน้นเสียงเบสหนักๆ และมาอีก 2 โหมด ได้แก่ โหมด Dynamic และ โหมด Bright โดยโหมด Dynamic จะมีการปรับสมดุลของเสียงเบส และเสียงในย่านแหลมและกลาง โหมด Bright ช่วยเพิ่มเสียงพูดของมนุษย์ ซึ่งโหมดนี้เหมาะกับการฟัง podcasts หรือAudiobooks นั้นเอง ส่วนทางด้านการตัดเสียงนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีมากๆ ในการเปิดแบบสูงสุดสามารถตัดเสียงลม หรือ เสียงคนอื่นๆได้ชัดเจนมากๆครับ เพราะว่ามีมีการอัพเกรด ANC หรือ Active Noise Cancellation ที่จะช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกเสียงรบกวนได้สูงสุด 25 เดซิเบล และ สามารถกรองเสียงรบกวนความถี่ต่ำได้ด้วยบอกเลยว่าตัดได้ดีจริงๆครับ และใช้งานจริงก็ได้ผลมากๆ ทั้งโหมด Transparency Mode ที่จะดูดเสียงข้างนอกเข้ามาชัดขึ้น และ โหมด Noise Cancellation  ที่จะตัดเสียงสูงสุด รวมถึง โหมด Normal ที่ตัดเสียงแบบธรรมดาแต่ด้วยการออกแบบของหูฟังเองนั้นก็จะเงียบระดับนึง

FEELING 

การใส่ใช้งานนั้นต้องบอกว่าด้วยตัวหูฟังถือว่าน้ำหนักเบามากๆเบากว่ารุ่นก่อนหน้าชัดเจนรวมถึงการที่ปรับมาใช้งานทรง in-ear ทำให้การใส่นั้นกระชับมากๆรวมถึงสามารถเกาะกับรูหูได้ค่อนข้างดี ในแง่ของการออกแบบนั้นมีก้านยาวทำให้เรื่องของการใช้งานคุยโทรศัพท์หรือว่าจะเป็นการเชื่อมต่อนั้นทำได้ดีและเน้นในเรื่องนี้ได้ดีด้วยเช่นกัน แม้จะดูมีขนาดใหญ่ มีก้านยาวแต่ด้วยทรงของมันก็ไม่ได้เกะกะในแง่ของการใช้งานแต่อย่างใดครับ รวมถึงทำให้การสั่งงานพื้นที่การสัมผัสบนตัวก้านเองนั้นทำได้ง่ายด้วยเช่นกัน ส่วนทรงของตัวหูฟังใส่นานๆไม่เจออาหารปวดหรือล้าครับ

การสั่งงานนั้นจะสามารถรองรับการสัมผัสได้ทั้งหมดทั้งซ้ายและขวาครับ ซึ่งในรุ่นนี้สามารถปรับการสั่งงานได้ทั้งหมด ผ่านทางตัวแอพ realme Link ซึ่งรองรับการใช้งาน ทั้งหมด 4 แบบ จะมีการสั่งงาน แตะ 2 ครั้ง แตะ 3 ครั้ง หรือ แตะและค้างไว้ รวมถึง สั่งงานแบบ 2 ข้างพร้อมกัน แตะ และค้างไว้พร้อมกันทั้ง 2 ข้างนั้นเองครับ ซึ่งแต่ละคำสั่งอิสระทั้งหมด สามารถปรับได้ว่าจะเป็น เล่นเพลง เปลี่ยนเพลง สั่งงานด้วยเสียง ได้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่มีการสั่งงานเพิ่มหรือลดระดับเสียงครับในตัวหูฟังนี้ ส่วนการสัมผัสนั้นสั่งงานได้ง่านและแตะได้ง่ายขณะสวมใส่ด้วยเช่นกัน  เมื่อใส่ใช้งานจริงๆ นั้นรูปทรงถือว่าสวยและดูดี การใช้สีเงินเข้ามามีความพรีเมี่ยมและดูเด่นมากขึ้นในเวลาใส่ใช้งาน แต่ด้วยการปรับมาใช้งานแบบ in-ear นั้นนอกจะส่งผลให้ใส่ได้แน่นขึ้น เสียงแน่นขึ้นเก็บเสียงดีขึ้น แต่หลายๆคนที่ออกกำลังอาจจะชอบแบบ Earbuds มากกว่าเนื่องจากระบายอากาศได้ดีกว่าก็เป็นไปได้แล้วแต่การใช้งานอีกทีครับ

CHARGING

ตัวเคสหูฟังรวมถึงตัวหูฟังในรุ่นนี้สามารถใช้งาน 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ถ้าเปิด ANC แอบน้อยไปนิดครับ ค่อนข้างเสียดายในเรื่องนี้ และถ้าปิด ANC สามารถใช้งานได้ 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ และ สามารถใช้ฟังเพลงได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ชั่วโมง หรือคิดเป็นคร่าวๆนั้นสามารถชาร์จได้ 5 รอบนั้นเอง และมาพร้อมกับระบบชาร์จไวแม้ชาร์จเพียงแค่ 10 นาที จากแบตเตอรี่ 0% แต่สามารถที่จะฟังเพลงได้ถึง 120 นาทีหรือ 2 ชั่วโมง และสามารถชาร์จเต็ม 100% ภายใน 1 ชั่วโมง รวมถึงถ้าพกตัวเคสไปด้วยนั้นจะสามารถเล่นต่อเนื่องได้ 22.5 ชั่วโมงในโหมด ANC

BUDS AIR 2 NEO 

ในรุ่น Neo นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ถ้าหากมองเทียบกับ Neo รุ่นแรกนั้นบอกเลยว่าพัฒนามาเยอะมากทั้งเรื่องของดีไซน์ สเปค การใช้งานรวมถึงคุณภาพของตัวหูฟัง รุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆคุณภาพดีขึ้นหลายเท่าตัว และ งานออกแบบสวยดูดีทันสมัยมากขึ้น และสเปคนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ารุ่น Air 2 เลยมาครบๆทั้งเรื่องของ การตัดเสียง ANC ที่พัฒนาได้ดีกว่าเดิมรวมถึงสามารถตัดเสียงได้สูงสุด 25 เดซิเบล และมีโหมดต่างๆในการใช้งาน มาพร้อมกับโหมด 88ms Super Low Latency  ในการเล่นเกมรวมถึง มา พร้อมกับ R2 Chip ตัวใหม่ล่าสุด และ ยังมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และไดร์เวอร์ขนาด 10 มม. รวมถึงใช้งานระบบไมค์ไมโครโฟนแบบคู่ พร้อมตัดเสียงรบกวน และ แบตที่ค่อนข้างใช้งานได้นานรวมถึงงานออกแบบสีสันสวยงามและวัสดุแบบด้านนั้นลงตัวครับ

SOUND

แนวเสียงนั้นต้องบอกว่าหลายๆคนเท่าที่ดูสเปคอาจจะมีความใกล้เคียงกันอย่างมากกับรุ่น Air 2 แต่การปรับจูนเสียงรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เน้นมาที่ได้รับการจูนอะไรพิเศษ รวมถึงรูปทรงของหูฟังอะไรต่างๆนั้นก็ทำให้เกิดความแตกต่างของเสียงได้เช่นกัน ถ้าพูดกันตรงๆนั้นเสียงมีความแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่ลองใส่เทียบกันครับเสียงนั้นจะออกไปในแนวทางเดียวกัน แนวเสียงคล้ายกัน แต่เรื่องของกำลังขับหรือว่าเวทีเสียงอะไรนั้นตัวนี้ก็แอบรู้สึกต่างกับรุ่นพี่ แต่ถ้าเรามองไปเทียบกับ Neo รุ่นก่อนหน้าบอกเลยว่าเป็นการพัฒนาขึ้นเยอะมากๆเสียงแน่นขึ้น กำลังขับดี และฟังสนุก การเก็บเสียง การตัดเสียงรบกวนทำได้ประทับใจเช่นกัน รวมถึงทรงของหูฟังก็เก็บเสียงได้ดีอยู่แล้ว ทำงานร่วมกับระบบตัดเสียงยิ่งดีขึ้นไปอีกขั้นครับ  ส่วนแนวเสียงก็จะเน้นไปทางฟังสนุก เบสมาแน่นเช่นกันและเป็นหูฟังที่ขับง่าย

ในเรื่องของการปรับเสียง EQ นั้นสามารถปรับได้ 3 แบบ แต่จะไม่สามารถปรับอิสระได้ครับ มาพร้อมกันทั้งหมด 3 โหมด คือ Bass Boost+ ที่เน้นเสียงเบสหนักๆ และมาอีก 2 โหมด ได้แก่ โหมด Dynamic และ โหมด Bright โดยโหมด Dynamic จะมีการปรับสมดุลของเสียงเบส และเสียงในย่านแหลมและกลาง โหมด Bright ช่วยเพิ่มเสียงพูดของมนุษย์ ซึ่งโหมดนี้เหมาะกับการฟัง podcasts หรือAudiobooks นั้นเอง ส่วนทางด้านการตัดเสียงนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีมากๆ ในการเปิดแบบสูงสุดสามารถตัดเสียงลม หรือ เสียงคนอื่นๆได้ชัดเจนมากๆครับ เพราะว่ามีมีการอัพเกรด ANC หรือ Active Noise Cancellation ที่จะช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกเสียงรบกวนได้สูงสุด 25 เดซิเบล และ สามารถกรองเสียงรบกวนความถี่ต่ำได้ด้วยบอกเลยว่าตัดได้ดีจริงๆครับ และใช้งานจริงก็ได้ผลมาก แต่ถ้าเทียบกับ Air 2 ตัวนั้นจะตัดเสียงได้เงียบกว่าแบบรู้สึกได้ครับ และยังมี โหมด Transparency Mode ที่จะดูดเสียงข้างนอกเข้ามาชัดขึ้น และ โหมด Noise Cancellation  ที่จะตัดเสียงสูงสุด รวมถึง โหมด Normal ที่ตัดเสียงแบบธรรมดาแต่ด้วยการออกแบบของหูฟังเองนั้นก็จะเงียบระดับนึง ส่วนการเล่นเกมความหน่วงต่ำทำได้ดีครับเล่นเกมนั้นไม่เจออาการดีเลย์อะไรแบบชัดเจนครับถือว่าพัฒนาได้ดีขึ้นหน่วงน้อยกว่าเดิมและเสียงทำได้ดีขึ้นด้วยนะ

หูฟังตัวนี้เรื่องของเสียงนั้นจะไปในแนวทางเดียวกับรุ่นพี่ แน่นอนว่าเสียงทำได้ดี ฟังง่าย เน้นเพลงตลาดได้ดีครับรวมถึงเบสมีความแน่นกระชับและฟังสนุก ในแง่ของย่านเสียงนั้นบอกเลยว่ามาดีในย่านต่ำเสียงฟังสนุกแน่นและมีโหมดเพิ่มเสียงเบสเข้ามาเช่นกันทำให้มันสนุกสะใจและเหมาะกับฟังเพลง EDM POP ROCK ได้ดีไม่แพ้กันรวมถึงเสียงในย่านอื่นๆก็ไม่ได้กลบไปซะทีเดียวครับ ถือว่าเสียงนั้นทำได้ดีขึ้นเยอะ แต่ถ้าถามจุดต่างกับรุ่น AIR 2 คงจะเป็นเรื่องของคุณภาพรวมๆ และเรื่องของไมค์ที่ตัว Neo จะดรอปลงกว่านั้นเอง พวกการคุยโทรศัพท์ ใช้ไมค์ต่างๆรวมถึงเวทีเสียง มิติเสียงแน่นๆนั้นตัว Neo อาจจะดรอปลงนิดนึงถ้าเทียบกับรุ่น 2 แต่ถ้าเทียบกับรุ่นแรกนั้นบอกเลยว่าดีขึ้นเยอะ

FEELING 

ในแง่ของการใส่ใชงานตัวนี้เหมือนจะดูเล็กกว่ารุ่นอื่น แต่จริงๆก็ถือว่าเน้นไปในรูปทรงกลมๆเลยทำให้ดูกระชับเล็กกระทัดรัดมากขึ้นครับ แม้น้ำหนักอาจจะไม่ได้เบากว่ารุ่นอื่นแต่ก็ได้เรื่องของแบตที่อึดมากๆต่อการใช้งานและดีขึ้นรูปทรงในการใส่ใช้งานนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแน่นอนการออกแบบคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว รวมถึงน้ำหนักก็ไม่ได้มีปัญหาในการใช้งานแต่อย่างใดและสายออกกำลังน่าจะชอบรูปทรงแบบนี้กันมากกว่าเพราะอาจจะไม่ได้เน้นก้านไมค์อะไรมากนักครับรวมถึงวัสดุแบบด้านและสีสันสวยงามดูสนุกสนานมากกว่ารุ่นพี่ แน่นนอว่าตัวจุกยางอะไรทำได้ดีใส่สบาย แน่นและไม่ปวดหูหรือเกะกะอะไรแม้แต่น้อยรวมถึงทรงของตัวหูฟังไม่ได้บีบหรือดันใบหูด้วยทำให้ภาพรวมนั้นใส่นานๆได้

การสั่งงานนั้นจะสามารถรองรับการสัมผัสได้ทั้งหมดทั้งซ้ายและขวาครับ ซึ่งในรุ่นนี้สามารถปรับการสั่งงานได้ทั้งหมด ผ่านทางตัวแอพ realme Link ซึ่งรองรับการใช้งาน ทั้งหมด 4 แบบ จะมีการสั่งงาน แตะ 2 ครั้ง แตะ 3 ครั้ง หรือ แตะและค้างไว้ รวมถึง สั่งงานแบบ 2 ข้างพร้อมกัน แตะ และค้างไว้พร้อมกันทั้ง 2 ข้างนั้นเองครับ ซึ่งแต่ละคำสั่งอิสระทั้งหมด สามารถปรับได้ว่าจะเป็น เล่นเพลง เปลี่ยนเพลง สั่งงานด้วยเสียง ได้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่มีการสั่งงานเพิ่มหรือลดระดับเสียงครับในตัวหูฟังนี้ ส่วนการสัมผัสนั้นสั่งงานได้ง่านและแตะได้ง่ายขณะสวมใส่ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเหมือนกับรุ่นอื่นๆทั่วไป แต่รุ่นนี้จะไม่ได้ฟีเจอร์การตรวจจับเวลาใส่ทำให้เวลาถอดนั้น เพลงจะไม่หยุดเอง ! เป็นจุดแตกต่างกันหลักๆเลยนั้นเองครับ แต่พื้นที่การสัมผัสใช้งานสั่งงานนั้นไม่มีปัญหาเลยรองรับได้สบายๆและแน่นกำลังดีในการใส่เดิน ใส่วิ่งทั่วไปครับ รวมถึงดีไซน์ขนาดเมื่อมองจริงๆนั้นไม่ได้ใหญ่เกะกะด้วยถือว่ารุ่นนี้เน้นใส่ทั่วไปสบาย

CHARGING 

ในเรื่องของแบตแน่นอนว่ารุ่นนี้สามารถใช้งานได้ 5 ชั่วโมงถ้าเปิด ANC และถ้าปิด ANC สามารถใช้งานได้ 7 ชั่วโมงครับ และสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 28 ชั่วโมง เมื่อปิดโหมด Active Noise Cancellation ซึ่งเพิ่มขึ้น 65% จากรุ่นก่อนหน้า ที่สามารถใช้งานได้เพียงแค่ 17 ชั่วโมง และมาพร้อมกับชาร์จไวที่สามารถชาร์จเพียงแค่ 10 นาที ยังสามารถใช้งานได้นานถึง 3 ชั่วโมงอีกด้วย อีกทั้ง หากเปิดด้วย Active Noise Cancellation จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 20 ชั่วโมง เมื่อพกเคสไปด้วยครับถือว่าอึดขึ้นพอสมควรเลยแหละ แม้จะเป็นขนาดเล็ก

REALME BUDS AIR 2 , BUDS AIR 2 NEO 

” พี่น้อง ดีไซน์สวย เสียงเด่นเบสแน่น พร้อมกับการตัดเสียงที่ดีขึ้นชัดเจน “

ถ้ามองเทียบกับรุ่นแรกแน่นอนว่าตัวนี้พัฒนาขึ้นเยอะมากในทั้ง 2 รุ่นทั้งเสียงเบส การปรับ Software ที่อิสระมากขึ้นและรองรับการใช้งานทั้ง โหมดต่างๆรวมถึงการควบคุม แน่นอนว่าเรื่องของดีไซน์นั้นแตกต่างกันชัดเจน สีสันสวยงาม สีเงินหรูหรารวมไปถึงในรุ่นที่ปรับจูนเสียงจาก The Chainsmoker ที่เสียงนั้นเปิดกับเพลงแนวของวงนั้นได้ดีมากๆ ส่วนตัวเป้นคนที่ชอบฟังเพลงแนวนี้อยู่แล้ว และหูฟังตัวนี้เซ็ทออกมาได้ลงตัวชัดเจนครับ เรื่องเสียงเด่น ดีไซน์สวยทำได้ประทับใจทั้ง 2 รุ่น แม้จะมีความแตกต่างกันบ้างตามระดับราคาก็ตามแต่ก็พัฒนาขึ้นเยอะจากรุ่นก่อนๆครับ รวมถึงการตัดเสียงที่เงียบ เนียนและใช้งานได้ดีมีโหมดมากขึ้นและแน่นอนว่าเงียบขึ้นกว่ารุ่นแรกๆเจนแรกๆด้วยเช่นกัน ส่วนจุดที่แอบเสียดายคงจะเป็นการชาร์จไร้สายที่หายไป รวมถึงแบตต่อการชาร์จนั้นแอบน้อยไปนิดถ้ามองเทียบกับการใช้งานต่อการชาร์จตรงนี้ ทำได้ 5 ชั่วโมงประมาณเท่านั้นครับแต่ยังดีที่ตัวเคสชาร์จได้มากถึง 5 รอบนั้นเองครับ

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares