Oneplus ยังคงเป็นค่ายที่หลายๆคนหรือว่าคนที่เล่นมือถือน่าจะรู้จักกันดีเป็นอีกแบรนด์ที่ทำมือถือออกมาได้น่าใช้งานเทียบสเปคราคาและทำได้ดีอันดับต้นๆอยู่เสมอแม้ว่าหลังๆอาจจะมีก้าวข้ามไปสู่เรือธงเต็มที่แต่ก็ยังมีการออกรุ่นกลางสเปคแรงออกมาให้ใช้งานอย่างเช่น 7T ก่อนหน้านี้ และในครั้งนี้เองนั้นทาง Oneplus ได้สานต่อมาจนถึงรุ่น 8T ที่ออกมาพร้อมกับสเปคที่แน่นๆในหลายๆจุดทั้งการใช้งาน Snapdragon 865 5G รองรับหน้าจอ 120Hz AMOLED แบบรุ่นพี่รวมถึงการให้ที่ชาร์จไว WarpCharge 65W มาในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่มเติม รวมถึงใช้งาน Android 11 มาให้เลยและรองรับการอัพเดทที่ไวและลื่นไหลอันดับต้นๆของ Android ด้วยกันทำให้แบรนด์นี้ยังคงมีความน่าเล่น น่าใช้งานและเป็น Android Device ที่มีความลื่นไหล เสถียรมากๆตัวนึงเลยถือว่าน่าใช้งานครับ

OnePlus 8T 5G ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.55 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 120Hz โดยมาพร้อมฟีเจอร์ Always on และใช้กระจก Gorilla Glass แบบแบนที่ได้รับคะแนน A+ จาก DisplayMate อย่างไรก็ดีกล้องหน้าแบบเจาะรูจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16MP และใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ภายในตัวเครื่องจะใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 865 ที่มาพร้อมโมเด็ม X55 5G และมีแท่งกระจายความร้อนขนาดใหญ่กว่ารุ่นทีผ่านมาถึง 285% อีกทั้งยังมีแผ่นแกรไฟต์ช่วยระบายความร้อนด้วย นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อม RAM สูงสุดถึง 12GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ส่วนกล้องหลัง 4 ตัวจะประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 + กล้อง ultra-wide 16MP 123 องศา + กล้องมาโคร 5MP + กล้อง monochrome 2MP โดยกล้องบางตัวสามารถใช้ฟีเจอร์ night scape, ถ่ายวิดิโอ portrait รวมทั้ง video tracking ได้ ตัวเครื่องด้านหลังจะทำด้วยกระจก ส่วนแบตเตอรี่จะมีจำนวน 2 ก้อนก้อนละ 2,250mAh (รวม4,500mAh) และรองรับชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบตตัวสมาร์ทโฟนจนเต็มได้ในเวลา 39 นาที อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิถึง 12 จุดขณะชาร์จทำให้สามารถรักษาระดับการชาร์จให้ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ตัวหัวชาร์จยังรองรับการชาร์จ PD 45W !

Oneplus 8T 5G เปิดราคามาพร้อมกับ 2 สเปค

  • Aquamarine Green สีเขียวน้ำทะเล สวยงามโดดเด่น สำหรับรุ่น 12+256 GB เท่านั้น 29,990 บาท
  • Lunar Silver สีเทาสงบ ให้ความรู้สึกความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ สำหรับรุ่น 8+128GB เท่านั้น 24,990 บาท

UNBOX

ตัวกล่องนั้นใหญ่มาในแนวยาวๆครับแบบเดียวกับรุ่นของ 8 เขียนเลข 8T สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ แต่แค่ในเรื่องของตัวเคสนั้นไม่ได้มีแถมมาให้ในกล่องแล้วแอบเสียดายนิดนึง

  • ตัวเครื่อง Oneplus 8T
  • ที่ชาร์จ WarpCharge 65W (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
  • สายชาร์จ Type-C TO Type-C (ที่เปลี่ยนจากเดิม)
  • สติกเกอร์ 1+
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • จดหมายจาก CEO
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
  • ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม. 

DESIGN

งานออกแบบทางด้าน 1+8T รุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่น่าจะนับจาก 7T 8Pro หรือ Nord เองก็ตาม ในแง่ของการออกแบบรุ่นนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งงานออกแบบส่วนกล้องและฝาหลังแบบใหม่นั้นเอง กล้องหลังจัดวางเรียงตามสมัยนิยมแอบคล้ายค่ายในเครืออยู่เหมือนกันครับ พร้อมกับฝาหลังแบบด้าน บางเพียง 8.4mm และน้ำหนักเพียง 188g พร้อมกับหน้าจอแบบ edge-to-edge ขอบบาง และฝาหลังสีสวยๆทั้ง เขียวน้ำเงิน และ เทา
บนฝาหลังหลังกระจกด้านแบบ Glossy Glass ทำให้ลดรอยนิ้วมือได้ชัดเจนและสะท้อนแสงที่ทำให้นุ่มนวลมากขึ้น

ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอ AMOLED สีสันสวยงามสู้แสงได้ดีพร้อมกับสีดำสนิทสวยงามเลยทีเดียวมาในขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว (2400  × 1080 พิกเซล) 120Hz Full HD+ อัตราส่วน 20:9, ความสว่าง 1100nits, และใช้กระจก Gorilla Glass  ส่วนงานออกแบบนั้นเป็นแบบเจาะรูเช่นเดิมครับ ดีไซน์ถือว่าไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบนี้ถือว่าถูกใจแน่นอนหน้าจอสวยและได้ลื่นไหลอย่างมาก

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ครับ รุ่นนี้เป็นแบบเจาะรู ใช้กล้องกล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS  เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองตัวเดียวกับ 1+8 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับ

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบทางด้านขวานั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่ม Power สำหรับการเปิดปิดเครื่อง และ ปุ่ม สไลด์สำหรับเปลี่ยนโหมดเสียง เงียบ สั่น หรือ เสียงดัง เป็นเอกลักษณ์ของทาง Oneplus ที่ยังคงใส่เข้ามาให้ในทุกรุ่นของค่ายนี้ครับใช้งานสะดวก

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นตัว ขีดเสาสัญญาณ และ ไมค์สำหรับตัดเสียง และ บันทึกเสียงตัวที่ 2 ที่ใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่าตัวกล้องนั้นไม่ได้นูนออกมามากเท่ากับรุ่นก่อนแล้วจุดนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควร

ขอบเครื่องทางซ้ายมือนั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่มเพิ่ม ลด เสียงเท่านั้นพร้อมกับขอบโครมเมี่ยมทั้งหมดสีเงินสวยงามและฝาหลังจะโค้งลงมากินขอบเครื่องด้านข้างด้วยเช่นกันทำให้จับได้ถนัดและส่งผลถึงงานออกแบบด้วย

ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่ 1 เป็นลำโพงหลักพร้อมกับ รู USB Type-C  และ ช่องสำหรับไมค์เสียง บันทึกเสียงเวลา คุยโทรศัพท์ต่างๆ และถาดซิมก็ใส่เข้ามาให้ตรงนี้พร้อมกับการรองรับ Dual SIM

ฝาหลังนั้นเราจะเห็นว่าเป็นงานออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งวัสดุฝาหลังแบบด้านและใช้งานกล้องหลังดีไซน์ใหม่วางไว้มุมซ้ายเครื่องพร้อมกับเรียงกล้องแบบใหม่ แม้จะคล้ายรุ่นอื่นในเครือญาติก็ตาม แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้างในต่างๆเพิ่มเติม รวมถึงการจัดวางกล้องก็ไม่เหมือนกันครับ ส่วนมีความหนาขึ้นมานิดหน่อยไม่เยอะมากนัก รวมถึงโลโก้ใหม่ และ ฝาหลังก็จัดวางได้อย่างลงตัว สะท้อนแสงสวยงามและป้องกันลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดีเลยแหละ

กล้องหลังนั้น กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481  + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP การจัดวางเรียงกันแบบใหม่ทำให้ระยะการใช้งานได้ดีขึ้น พร้อมกับไฟแฟลช ตรงกลาง และ ส่วนสีขาวบนสุดนั้นจะเป็น  flicker detection sensor สำหรับจับการกระพริบของไฟต่างๆ ไม่ได้มีไฟแฟลช 2 ตำแหน่งนะครับ ไว้สำหรับ

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, 402 ppi, อัตราส่วน 20:9, มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR 10+, ความสว่าง 1100 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass
  • ชิปประมวลผล Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
  • RAM LPDDR4X 8GB + storage (UFS 3.1) 128GB / RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481  + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS
  • เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ขนาดตัวเครื่อง: 160.7×74.1×8.4mm; น้ำหนัก: 188 กรัม
  • ใช้พอร์ต USB Type-C, ลำโพง Stereo คู่, Dolby Atmos
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax 2X2 MIMO, Bluetooth 5.1, GPS (L1+L5 Dual Band) + GLONASS
  • แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับ Warp Charge 65W

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 865 ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0  256GB ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 577951 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 895/3270 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,674 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HDR  HD ครับ

SYSTEM UI

Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlusมักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วย

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android 11 แต่จะเห็นว่าหน้าตาอะไรหลายๆอย่างแอบเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าชัดเจนเลยครับ และสำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ และสามารถใช้งานหน้าต่างลอยได้ด้วยทำให้แบ่งได้อิสระมากขึ้น ภาพรวมมันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ

ตัวระบบใช้งานได้ 110 ครับ และ RAM 8 GB ใช้ไป 5.1 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม  สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ

หน้าจอในรุ่นนี้ สามารถปรับได้ 60Hz และ 120Hz ครับ รวมถึงสามารถปรับแต่งปิด วงกลมเจาะรูกล้องหน้าได้ด้วย และแน่นอนว่าปรับในเรื่องของโทนสีได้ และสามารถเปลี่ยนในเรื่องของการแสดงผลหน้าจอที่จะเป็นหน้าจอ Always On ได้ดีมากขึ้นครับรวมถึง การแสดงข้อความต่างๆก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมดเลย

การปรับแต่งนั้นยังคงทำได้ดีเช่นเดิมพร้อมกับรองรับการเปลี่ยนแปลง หน้าจอ Always On Display แล้วในการแสดงเวลาหน้าจอดับหรือแตะเพื่อแสดงครับ ถือว่าเปลี่ยนได้เยอะและสวยงามขึ้นพอสมควรครับ รวมถึงสามารถปรับการควบคุมได้ด้วยครับว่าจะใช้งานหน้าจอแบบเต็มหน้าจอ หรือจะใช้งานแบบปุ่มแบบดั้งเดิมนั้นสามารถใช้งานได้ทั้งหมดเลยครับ

ในส่วนของการปรับแต่งหน้าตาก็เช่นเดิมว่าสามารถปรับแต่งได้เยอะมากทั้งเรื่องของ ฟอนต์ การออกแบบ โทนสี ไอคอน รูปทรงถือว่ารองรับได้อิสระมากๆ และ ในส่วนของ Gesture นั้นก็มีมาให้เยอะเช่นเดิมทั้ง 3 นิ้วในการแคปหน้าจอ การรับสาย การพลิกเพื่อเงียบ รวมถึง แตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่อง และยังสามารถปรับ ปุ่ม power 2 ครั้ง เข้ากล้อง หรือ กดค้างเพื่อ เรียก Google Assistant ได้ด้วย

SCREEN 

หน้าจอมาพร้อมกับขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว ความคมชัดระดับ FHD+ รองรับ HDR 10+, resolution 1080×2400, pixels 402 ppi ให้สีที่แม่นยำด้วยการการันตีค่า JNCD under 0.55 และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วยวัสดุหน้าจอ panel’s advanced E3 material นอกจากนี้ยังมีการรองรับช่วงสีแบบ full DCI-P3color gamut ช่วยในประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานบนหน้าจอและลดแสงสีฟ้า มาพร้อมกับ ขอบหน้าจอที่บาง และสามารถปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 1,100 nits  ถือว่าในการใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ คุณภาพความลื่นไหลมากกว่าเดิมแบบชัดเจน ถ้าเทียบกับ 60Hz 90Hz รุ่นก่อนๆครับและความสดมิติของภาพมันดีขึ้นกว่าเดิมมิติโหดมากๆอันนี้ชอบ รวมถึงความลื่นไหลทำออกมาดีได้ด้วยทำให้มันได้เรื่องของความละเอียดความสวยมาเต็ม และเป็น AMOLED ด้วยที่สำคัญทั้งความลื่นไหล ความสวยงามนั้นดีกว่าหน้าจอ IPS 120Hz ชัดเจนครับหลายๆคนนั้นน่าจะชอบหน้าจอแบบนี้

การใช้งาน AMOLED แน่นอนว่าในเรื่องของคุณภาพทำได้ดีมุมมองก็ดีเช่นกัน มองได้ชัดเหมือนมองตรงๆไม่เจออาการเพี้ยนอะไรครับ แต่ถ้าใครการปรับเปลี่ยนจาก 60Hz มาเป็น 120 ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นต้องบอกว่ามันมีความแตกต่างกันแบบชัดเจนยิ่งใครใช้จอ 60 แล้วปรับมาเป็น 120 จะชอบและติดใจมากๆครับ คือแค่เลื่อนหน้าฟีดก็แตกต่างแล้วไม่ต้องเล่นเกมดูหนังอะไรครับกดเลื่อนดูรูปก็ลื่นแล้ว เป็นอีกจุดที่หลายๆคนไม่ควรมองข้ามเลยครับ 120Hz  ตัวนี้มีฟิล์มติดกันรอยมาให้เลยจากโรงงานรองรับการใช้งานสแกนนิ้วอะไรได้ปกติเลยครับส่วนการสู้แสงในการใช้งานจริงนั้นถือว่าทำได้ดี แต่ถ้าหากเทียบกับรุ่น 8Pro ต้องบอกว่ารุ่นนั้นยังคงสู้แสงและทำได้ดีกว่ารวมถึงความคมชัดในการมองด้วยเพราะว่ารุ่นนั้นจะได้ QHD เลยทีเดียว ก็ถือว่าหน้าจอตัว Pro รุ่นก่อนยังคงทำได้เด่นกว่าครับ

Always On Display มีการใส่เข้ามาให้พร้อมกับรองรับการใช้งานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมรวมถึงในการใช้งานจริงก็สามารถรองรับการปรับแต่งได้ดีขึ้นเยอะมากเพราะว่า มีการเปลี่ยนหน้าตาอะไรได้ทั้งหมดที่แตกต่างกับรุ่นก่อนๆแบบชัดเจน เพราะที่เคยบ่นกันไปในรุ่นก่อนหน้าว่าไม่สามารถติดตลอดเวลาหรือไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้ แต่ทางรุ่นนี้นั้นใส่เข้ามาให้พร้อมใช้งานในหลากหลายหน้าตาและสามารถบอกสถานะการใช้งานแต่ละคนที่แตกต่างกันได้

SOUND

ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆกับตัว Oneplus 8 Pro แบบเดียวกันเป๊ะๆเลยแหละถ้าเทียบกับหูฟังและตัวแปลงเดียวกันนะ ขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับ ชนิดหูฟัง ปรับ EQ ได้ครับ และ ตั้งค่าได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย ส่วนระบบเสียงแบบไร้สายนั้นก็รองรับการปรับ EQ ได้ด้วยนะครับแบบในภาพเลยและยังมีระบบเสียง Dolby Atmos เข้ามาช่วยในการฟังเพลงดูหนังต่างๆทำได้ดีขึ้น มิติเสียงในภาพรวมนั้นทำได้กังวาลและรอบทิศทางได้ดีขึ้นในการดูหนังครับ

SPEAKER

ทางด้านลำโพงนั้นให้มาเป็นลำโพงคู่ที่พัฒนามาดีขึ้นเช่นกันจากรุ่นก่อนรวมถึงเสียงมีความดังและเสียงค่อนข้างสะใจพอสมควรเลยแต่ทางด้านลำโพงนั้นไม่ได้รองรับ Atmos เหมือนกับรุ่น 8 Pro นะครับ แต่ทางด้านหูฟังนั้นจะรองรับอยู่เหมือนกัน ส่วนลำโพงนั้นถ้าหากเทียบกับรุ่นอื่นๆถือว่าพัฒนามาดีมากขึ้นและเสียงดังสะใจมากขึ้น เสียงมิติเสียงดีขึ้น และ การที่มีลำโพงคู่นั้นก็จะทำให้เวลาเล่นเกมนั้นเสียงแยกชัดเจน ซ้ายขวาได้ดีขึ้น ส่วนถ้าเอาไปเทียบกับรุ่นอื่นๆก็ถือว่ามีความสูสีมากขึ้น แต่ความกังวาลนั้นถ้ามีระบบเสียง Atmos ก็เข้ามาช่วยได้ดีมากขึ้นแบบรู้สึกได้เลยนั้นเอง

GPS

การนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาเสมอครับและในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 30 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 27 เลยทีเดียวครับ  และในที่ร่มนั้นได้ 12 ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอปนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอป ไม่มีปัญหาใดๆ รวมถึงการเปิดสถานที่ในแอปอื่นๆก็ใช้งานได้ดี

BATTERY

แบตในรุ่นก่อนหน้าตัว 7T นั้นให้มาที่ 3,800 mAh แต่ในรุ่นนี้มาพร้อมกับแบต 4,500 จากเดิมในรุ่น 8 นั้นจะให้ 4,300 ครับแน่นอนว่าถือทำให้มันอึดขึ้นแน่นอน ส่วนการชาร์จไวนั้นในรุ่นนี้มาพร้อมกับการรองรับที่มากขึ้นเท่าตัวจากเดิมที่ 30W และในรุ่นนี้เพิ่มมาที่ 65W ทำให้การชาร์จไวนั้นเพิ่มมากขึ้นเท่าตัว ในแง่ของการทดสอบนั้นอยู่ได้ 12 ชั่วโมง แบตเหลือ 19% ครับ จอเปิด 5 ชั่วโมงกว่า ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ครับผม ถือว่าทำได้กลางๆ และ เปิด 4G ไว้ตลอด แอบมีเล่นเกมนิดหน่อย ส่วนถ้าใช้ทั่วๆไปไม่เล่นเกมนั้นจะได้ 12 ชั่วโมง จอเปิด 6 ชั่วโมงครับ ก็ถือว่าดูดีกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้อึดมากครับ แต่ถ้าเทียบจำนวนความไวในการลดนั้นถือว่าอึดนิดๆ

การชาร์จแบบ WarpCharge 65W ที่ต้องใช้หัวชาร์จ และ สายชาร์จของมันที่มาในกล่องเท่านั้น ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากขึ้นทั้งเรื่องของ สายที่เป็น USB-C ทั้ง 2 หัว และหัวชาร์จนั้นมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด และเป็น USB-C แล้วด้วยถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาขึ้นเยอะมาก ทำการทดสอบในการใช้งานชาร์จแบตดูกันเลยว่าจะใช้เวลาเท่าไรและเต็มภายในกี่นาที จากที่ทดลองนั้นต้องบอกว่า Oneplus ชาร์จใช้เวลา 17 นาที ได้แบตมา 55% และ 30นาที ได้แบตมา 75% และ 41นาที ได้แบตมา 100%  ถือว่าเทียบกับความจุแบต 4,500 mAh นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างไวระดับนึงเลยเพราะแบตก็ให้มาเยอะกว่ารุ่นก่อนด้วยครับ ส่วนความไวนั้นดีกว่าเดิมมากขึ้นเท่าตัวเลยครับ

  • ของรุ่น 7 Pro ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้  31% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 20 นาที 
  • ของรุ่น 8 Pro ใน 30 นาทีสามารถชาร์จได้  49% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 10 นาที 
  • ของรุ่น 8T 5G ใน 17 นาที่ สามารถชาร์จได้ 55% และ เต็มภายใน 41 นาที

GAMING 

หลังจากที่ได้ทดสอบเกมรุ่นนี้ก็ต้องขอบอกว่ายังคงทำออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความเนียนตา หรือ การทัชสกีนที่ยังตอบสนองไวไว้ใจได้เหมือนเดิม ในส่วนของความร้อนเท่าที่ทดสอบความร้อนสูงสุด 40 องศา ส่วนเรื่องของแบตเตอรี่ทดสอบ 1 ชั่วโมง 20 นาที แบตลดประมาณ 20% หากใครดูรุ่นนี้เอาไว้เล่นเกม หรือ เเคชเกมขึ้น OBS รับรองไม่ผิดหวังครับ

CAMERA 

กล้องหลัง 48MP (f/1.7) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาดพิกเซล 0.8μm, รองรับ OIS + EIS Hybrid stabilization + กล้อง ultra-wide 123 องศา 16MP (f/2.2) ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX481  + กล้องมาโคร 3ซม. 5MP + กล้องจับความลึก 2MP, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps ส่วนตัวอย่างภาพที่ถ่ายช่วงนี้สภาพแสงอาจจะครึ้มๆหน่อยครับแต่ก็ได้ฟีลไปอีกแบบ ส่วนตัวถือว่ากล้องค่ายนี้โทนภาพมีความดิบและเรียลสวยงามแบบธรรมชาติได้ดี และสีสันค่อนข้างตรงเลยแหละ ส่วนกล้องหลังในรุ่นนี้ถือว่าในการถ่ายฟีเจอร์นั้นยังคงจัดเต็มไม่ต่างจากเดิมมากเท่าไรนักทั้งการถ่ายละลายหลังที่เนียนตาพอสมควร มีการเปลี่ยนเลนส์ระยะทั้ง 2 ระยะ ได้แต่เป็นการครอปภาพนะครับในแต่ละมุม รวมถึงฟีเจอร์การถ่ายโหมดกลางคืนนั้นยังคงทำงานได้ดีเก็บแสงระยะได้ดี รวมถึงการลองรับเลนส์มุมกว้างได้ด้วยเช่นกัน

MACRO

PORTRAIT

SELFIES

กล้องหน้าแบบเจาะรูจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16MP และใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ซึ่งทางด้านกล้องหน้านั้นจะยกมาจากรุ่นพี่ 1+8  Pro เลยนั้นเองถือว่าเรื่องของคุณภาพการถ่ายนั้นยังคงไว้ใจได้สบายๆ และฟีเจอร์การถ่ายอะไรคงทำได้ดีแน่นอนครับ รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม ในการถ่ายวีดีโอกล้องหน้านั้นจะรองรับการถ่ายที่ FHD เท่านั้น เหมือนเดิมครับและมุมภาพอาจจะแคบนิดหน่อย ส่วนโทนภาพในกล้องหน้านั้น ทำได้ค่อนข้างดีทั้งในสภาพแสงน้อยและกลางวันสีตรงอยู่เหมือนกันแต่เรื่องของความใส เนียนอาจจะไม่ได้เยอะมากครับ กล้องหน้าเลยไม่ได้เด่นเท่าไร ทั้งเรื่องของคุณภาพและการใช้งานไม่ได้ต่างจากเดิม

VIDEO

งานวีดีโอนั้นทำได้ดีขึ้นแบบชัดเจนทั้งเรื่องของการกันสั่นและฟีเจอร์ที่แทรกเข้ามาเพิ่มรวมถึงการรองรับนั้นยังคงทำได้สูงสุด 4K 60FPS ในส่วนของกล้องหลัง โหมด Super Stable ด้วยเช่นกันครับ และมีโหมดการถ่ายวีดีโอกลางคืนมาให้ที่โดดเด่นขึ้น การถ่าย Portrait แบบวีดีโอ รวมถึงตัดเสียงได้ดีครับ แต่กล้องหน้านั้นน่าเสียดายว่ายังรองรับแค่ FHD และไม่มีพวก Beauty อะไรมาให้ครับ โดยรวมนั้นงานวีดีโอทำงานได้ดี กันสั่นทำได้ดีจริงๆ รองรับทั้ง OIS EIS และกันสั่นเทพก็ใส่เข้ามาแล้วในตัว FHD 30FPS /4K30FPS   ส่วนตัวคุณภาพสีสันต่างๆนั้นทำได้สมจริงและแม่นพอสมควร แม้จะมีดันสีสดบ้างในโทนสีเขียวบางช่วงครับ ส่วนกล้องหน้านั้นมุมจะแคบไปมากพอสมควรและไม่มีหน้าเนียนหรือ 4K มาให้อันนี้แอบเสียดายมากๆยังคงเหมือนกับรุ่นพี่  8 Pro ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยในส่วนของกล้องหน้าทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ จะเห็นว่าวีดีโอโหมดกลางคืนนั้นสว่างกว่าทั่วไปแบบชัดเจนเมื่อเอามาเทียบกันครับ

ONEPLUS 8T 5G

”  อัพเกรดขึ้นในหลากหลายส่วน ลงตัวขึ้น หน้าจอ กล้องหลัง ชาร์จไวขึ้นเท่าตัว “

Oneplus นั้นถือว่าเป็นอีกแบรนด์ที่ยังคงมีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้งานระบบต่างๆทำได้ดีเช่นเดิมรวมถึงในรุ่น 8T มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นหลักๆจะเป็นทั้งการชาร์จไวที่ไวมากขึ้นรวมถึงตัวกล้องหลังที่มีการพัฒนาขึ้นมากกกว่าเดิมด้วยเช่นกัน ส่วนทางด้านงานออกแบบเป็นอีกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ฝาหลัง เลนส์กล้องทั้งหมดด้วยถือว่าเป็นอีกรุ่นที่มีการพัฒนาขึ้นชัดเจน รวมถึงทางด้านหน้าจอ 120Hz ที่ใช้งานหน้าจอแบบ AMOLED ที่มีความลื่นไหลเนียนตาจริงๆ สวยงามและติดนิ้วมาก พร้อมกับประสิทธิภาพในการใช้งานทั่วไปที่ค่อนข้างลงตัว แต่ก็ยังแอบน่าเสียดายในเรื่องของกล้องหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง รวมถึงการชาร์จไร้สายก็ยังไม่ใส่เข้ามาให้ และในไทยนั้นราคาแอบดีดไปสูงนิดหน่อยเมื่อเทียบกับรุ่น 8 ก่อนหน้านี้และเมื่อเทียบกับราคาต่างประเทศ แต่ถ้าแลกกับประกันอะไรนั้นก็เป็นส่วนต่างที่ต้องดูกันว่ารับได้ไหม แต่ถ้ามองในตัวเครื่องมันแล้วถือว่าเป็นรุ่นที่ทำออกมาน่าใช้งาน ทั้งกล้อง หน้าจอ การชาร์จไว รวมถึง ประสิทธิภาพในภาพรวมของตัวเครื่องที่ใช้งานได้ดี และ OS ที่ยังคงไว้ใจได้เช่นเดิมลื่นไหลนิ่งๆ

ข้อดี

  • หน้าจอมีความลื่นไหล 120Hz แบบ AMOLED ติดนิ้ว ใช้งานได้ดีสวย
  • บอดี้งานประกอบยังคงทำได้ดี พรีเมี่ยมและสวยงาม
  • ชาร์จไว 65W เร็วเกินหน้ารุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจน
  • สามารถชาร์จเต็มภายใน 38 นาทีเท่านั้น
  • ประสิทธิภาพในภาพรวมของตัวเครื่องทำได้ดี
  • กล้องหลัง ประสิทธิภาพทำได้ดี ทั้งที่มืด และ แสงปกติ
  • กล้องมุมกว้างทำได้ดีขึ้น กว้างขึ้นกว่าเดิม
  • งานวีดีโอฟีเจอร์เยอะขึ้น รองรับโหมดกลางคืนวีดีโอ กันสั่นพิเศษ
  • ระบบยังคงมีความเสถียรและคลีนตามสไตล์ Oxygen OS
  • รองรับการใช้งาน 5G

ข้อสังเกต 

  • ไม่รองรับชาร์จไร้สาย
  • ไม่มี IP Rating
  • กล้องหน้ายังคงเป็นตัวเดิมกับรุ่นก่อน รองรับแค่ FHD Video
  • ราคาแอบสูงไปนิด

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares