MUSTANG ถือว่าเป็นรถยนต์ Muscle Car ที่หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จักกันเป็นตำนานรุ่นนึงของทางค่ายนี้เลยก็ว่าได้เพราะว่าเป็นรุ่นที่มีความนิยมอย่างมากในเจนแรกๆทั้งรูปทรงและความสวยงามของตัวรถ เรียกได้ว่ากู้ชื่อของค่าย Ford เลยและในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว ต้องบอกว่ารุ่นที่เป็นตำนาน จะเป็นรุ่น 1 และ รุ่นที่ 5 รวมถึงรุ่นที่ 6 ที่ยังคงความเป็น Muscle Car ได้และสวยลงตัว ก็ต้องบอกว่ารุ่น 2-4 นั้นแอบไม่ค่อยสวยเท่ารุ่นแรกซักเท่าไรนัก และถ้ามองถึงตัวแบรนด์หลายๆคนนั้น เมื่อเห็นสัญลักษณ์ม้าป่าก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี รวมถึงในยุคใหม่ก็เริ่มใช้ชื่อ Mustang ในการทำรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายในชื่อ Mach-E แล้วด้วยเช่นกัน ถือว่าสานต่อได้หลากหลายแนวทางอย่างมาก และในปีนี้ก็ครบรอบ 55 ปีของแบรนด์ Mustang ตัวนี้แล้วจากทางค่าย Ford ถือว่ายาวนานพอสมควร และ เราก็ได้มาอยู่กับ FORD Mustang 2.3L Ecoboost รุ่นพิเศษ 55th Anniversary ตัวครบรอบของรุ่นนี้

Ford Mustang 2.3L Ecoboost นั้นจริงๆเป็นสเปกที่ต้องบอกว่าเหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นพละกำลังหรือความเร็วโหดอะไรมากนัก แต่จะได้ทรงของตัวรถที่เน้นสวยงามและการตกแต่งเดียวกับรุ่น 5.0 เลยนั้นเอง แต่ถ้ามองเรื่องของงานออกแบบทั้งหมดจะแตกต่างกันแค่ กระจังหน้า ตัวล้อ และ สัญลักษณ์ GT 5.0 เท่านั้นจริงๆ ซึ่งตัว 2.3L Ecoboost  นั้นจริงๆก็รองรับการใช้งานได้ดีในการขับขี่ในเมืองทั่วไป อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่โหดมากนัก รวมถึงกำลังเหลือๆต่อการขับขี่ และยังมีความดิบๆ เสียงก็ดุดันไม่ใช่น้อยแม้จะเป็นรุ่นเล็กก็ตามครับ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบ  กำลังสูงสุด 290 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ความดิบๆตามสไตล์รถมะกันแบบนี้ครับ แน่นอน่วารุ่น 55 ปีนั้นจะได้จุดที่แตกต่างกับทั่วไปคือ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ รวมถึงการใช้งาน เบาะคู่หน้า RECARO แค่นั้นเลย เสียดายว่าไม่มี Badge ในด้านข้างหรือด้านหลังบอกว่าครบรอบ 55 ปีครับ มีแค่ภายในเท่านั้น ส่วนออฟชั่นฟีเจอร์นั้นยังคงเหมือนกับรุ่นปกติทั้งหมด ใช้งาน ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว คู่หน้า – คู่หลัง 19″ x 9 J พร้อมกับ แอปพลิเคชัน Track Apps สนามแข่ง ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED เปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ และ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam อีกทั้งยังมี หน้าจอระบบสัมผัส Multi-Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple Carplay Android Auto และ ระบบเสียง B&O และใส่ระบบช่วยเหลือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และ ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control และ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System ถือว่ายังคงจัดเต็มมาให้ครบๆแม้จะเป็นรถสปอร์ตก็ตามครับ

สำหรับทางด้านราคา ในรุ่น 2.3 EcoBoost Coupe’ Performance Pack  3,699,000 บาท พร้อมกับ นำเข้าทั้งคัน CBU จากโรงงาน Flat Rock Assembly Plant : Michigan, USA มาพร้อมแพ็กเกจ ” Ford Five Years Premium Care ” รับประกันตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รวมถึง ฟรี ค่าบำรุงรักษา Maintenance ฟรีค่าแรง และ ค่าอะไหล่ ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Asssistance 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี !

EXTERIOR

งานออกแบบภายนอกนั้นทางรุ่น 6 หน้าตานี้จะเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาเป็น Minorchange  แล้วนั้นเองจะเปลี่ยนแปลงในด้านไฟหน้าเล็กน้อยครับ และข้างใน ส่วนชุดแต่งนั้นจะเป็นชุดแต่ง Performance Pack อยู่แล้วจึงได้ความดุดันความสปอร์ตถือว่าลงตัวมากๆครับ รวมถึงล้อที่ให้สีดำแบบนี้รูปทรงสวยงามและเสริมให้ตัวรถนั้นดูสปอร์ตมากขึ้น ทางด้านโลโก้ ม้ายังคงโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิมพร้อมกับรูปทรงตัวที่มีมัดกล้ามสมกับชื่อ Muscle Car และมีความใหญ่มากๆ แต่ระดับความสูงจากพื้นถือว่าสูงอยู่เหมือนกันขับในไทยสบายๆครับ มาพร้อมกับ ยาว x กว้าง x สูง  4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ  2,720 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.32 ก็ถือว่ารูปทรงขนาดตัวรถแอบใหญ่เอาเรื่อง เป็นขนาดเป็นสไตล์ของบรรดา Muscle Car

งานออกแบบภาพรวมนั้นต้องบอกว่าตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าจนถึงรุ่นนี้ Gen 5-6 นั้นถือว่าเป็นรุ่นที่ดึงการออกแบบรูปทรงที่สวยและเตะตามากขึ้นอิงจากตำนานรุ่นแรกเลยทีเดียวมีความเป็นสันเหลี่ยมเป็น Muscle Car แบบแน่นๆทั้งเรื่องของรูปทรงและมัดกล้ามเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบนี้ จะเห็นว่าตัวรถนั้นแอบมีความสูงจากพื้นถนนเยอะพอสมควรเหมือนกันไม่ได้เตี้ยมากนัก ก็ถือว่าเป็นข้อดีในการขับขี่บนถนนเมืองไทยเรา แต่ที่เด่นจริงๆคงเป็นรูปทรงกระโปรงหน้ายาวพร้อมกับ หลังคาลาด การวางบอดี้กว้างทำให้บนท้องถนนตัวนี้จะโดดเด่นอย่างมากเช่นกัน รวมถึงการใช้งานสีแดงตัดกับสีดำทำให้ตัวรถยนต์นั้นดูมีความดุดันมากขึ้นและดูไม่เรียบมากเกินไป ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

เมื่อมองหน้าตรงเราจะเห็นว่าตัวรถมีความดุดัน โหดทั้งเส้นสายกระจังหน้าหรือว่าจะเป็นไฟหน้ากดมุมต่ำทำให้ดูมีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น กระจังหน้าพร้อมกับรูปทรงปากคว่ำและม้าตัวโตๆเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นที่สุดของค่ายนี้และในชุดแต่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งกับชนหน้าบอดี้ และ ฝากระโปรงบอกเลยว่าดูสวยลงตัวมากกว่าเดิม และด้านท้ายนั้นในไทยใจดีใส่ชุดแต่งมาให้ในด้านหลังและสปอยเลอร์ต่างๆทำให้มีความดุดันและไม่โล้นแบบรุ่นทั่วไปเยอะมากเมื่อมองตรงๆทั้งหน้าและท้ายตัวรถจะมีความตีโป่งข้างแบบเด่นๆทำให้ตัวรถนั้นดูบึกบึนมากกว่าเดิมชัดเจนมากครับ ในด้านหลังจะมาพร้อมกับท่อคู่ และ ไฟตัดหมอก พร้อมไฟถอยในด้านล่าง และการตกแต่งชายล่างสีดำเล็กน้อยครับ

เมื่อลองมองดูดีเทลในแต่ละจุดนั้นจะเห็นว่าเส้นสายอะไรนั้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนเปลี่ยนหน้าตาจะมีความซับซ้อนและคมมากขึ้นกว่าเดิมแม้จะเป็นรุ่น 2.3 แต่ก็ทำออกมาได้ประทับใจดูแรงไม่แตกต่างกับรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อยกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงคว่ำเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตระกุลนี้ พร้อมกับโลโก้ม้าขนาดใหญ่ รวมถึงบนฝากระโปรงมีช่องระบายทิศทางลมเสริมเข้ามาทำให้จัดการเรื่องอากาศไหลเวียนได้ดีกว่าเดิม และใส่ช่องดักลมในบริเณใต้ไฟเลี้ยวเสริมเข้ามาอีกเช่นกันรวมถึงลิ้นด้านหน้าสีดำด้านเป็นพลาสติกแอบน่าเสียดายไม่ใช่คาร์บอนครับ และช่องใต้ไฟหน้าด้วยเช่นกันแต่ส่วนใต้ไฟหน้าจะเป็นการตกแต่งสวยๆซะมากกว่านั้นเอง พร้อมกับโคมไฟที่เพรียวบางกว่ารุ่นก่อนเปลี่ยนหน้า

กระจกมองข้างในรุ่นนี้ยังคงไม่มีกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแต่จะเป็นการออกแบบที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวรวมถึงตัวยิงไฟลงพื้นสำหรับเวลากลางคืน ทางด้านล้อนั้นเป็นล้อสีดำจากโรงงานในขนาด 19 นิ้วพร้อมกับยาง Pirelli P Zero ขนาด 255/40 ZR19 และ เบรกคู่หน้า ขนาด 352 x 32 มิลลิเมตร – คู่หลัง ขนาด 330 x 25 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นจุดแตกต่างกับรุ่นพี่ที่จะเป็นขนาดใหญ่ Brembo 6 pots นั้นเองส่วนตัวชายล่างตรงกลางนั้นจะเป็นชุดแต่งสีดำมาตรฐานเป็นพลาสติกสีดำด้านเช่นเดียวกับในด้านหน้า ทำให้มันมีมัดกล้ามเด่นขึ้นและดูสปอร์ตมากกว่าเดิม

ชายด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่าท่อไอเสียยังคงใช้งานท่อไอเสียจริงอยู่แม้จะไม่ได้มีรูปทรงหรือขนาดใหญ่มากนักแต่ความดิบความที่ใช้งานท่อจริงๆเริ่มหายากขึ้นทุกวันในบรรดาค่ายรถยนต์จุดนี้ถือว่าชอบครับ พร้อมกับเซนเซอร์ด้านหลัง และไฟทับทิมในด้านล่างเสริมเข้ามาให้ ส่วนโลโก้ในด้านหลังส่วนบนนั้นจะเป็นรูปม้าป่า แต่ถ้าตัว 5.0 นั้นจะเป็น GT ครับทำให้มันค่อนข้างเป้นจุดหลักๆในการมองว่าตัวไหนรหัสเครื่องไหนนั้นเอง พร้อมกับวงกลม และพื้นหลังสีดำตัดกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวครับ ส่วนชายด้านล่างนั้นจะเป็นไฟถอย 2 ดวงพร้อมกับไฟตัดหมอกตรงกลางเสริมเข้ามา

ไฟท้ายยังคงเป็นเอกลักษณ์ MUSTANG ดั้งเดิมในรุ่นแรกไฟท้ายแนวตั้งทั้ง 3 ขีดมองจากไกลก็ยังทราบเลยว่าเป็น ม้าป่า และแม้ว่า Mustang จะมีหลุดแนวทางออกไปบ้างแต่ก็กลับมาพร้อมกับงานออกแบบที่หายไปในรุ่นหลังๆและพัฒนาต่อมาจนถึงรุ่นนี้ได้ดี พร้อมกับไฟเบรกและไฟเลี้ยวในตัว ไฟเบรค 3 ช่อง และผสมกับไฟเลี้ยวมุมรถมีมิติสวยงามและเป็นไฟท้ายที่สวยมากๆคันนึงในท้องถนนครับ ส่วนไฟหน้ามีความเพียวมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมกับไฟ LED ตัวหลัก และไฟ DRL 3 ขีดเอกลักษณ์ใส่เข้ามาให้ แต่น่าเสียดายว่าเป็นแค่ DRL เท่านั้นส่วนไฟหรี่จะเป็นส่วนขีดเส้นด้านล่างใต้ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกในส่วนล่างเช่นกัน จริงๆน่าจะทำ DRL ให้เป็นไฟหรี่ในตัวน่าจะดีกว่า

ยามค่ำคืนนั้นเป็นจุดที่สวยงามอย่างมากในด้านท้ายรถเมื่อเปิดไฟครบทุกดวง ไฟท้ายโดดเด่นมาแต่ไกลทำงานร่วมกับไฟเบรกดวงที่ 3 ข้างบนพร้อมกับไฟตัดหมอกในด้านล่างทำให้ตัวรถนั้นดูเด่นมากเช่นกัน เรียกได้ว่ายามกลางคืนไฟท้ายทำได้ดีมากๆ ส่วนไฟหน้านั้นอาจจะไม่ได้หวือหวามากเท่าไรนักเป็นไฟตัดหมอกและไฟขีดเส้นส่วนด้านล่างสีขาวพร้อมกับไฟใหญ่ที่รองรับระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam มีความสว่างระดับนึงเลยทีเดียวครับแต่ถ้ามองเทียบกับแสงความคมเทียบกับบรรดารุ่นใหม่ๆจริงๆนั้นไฟหน้าตัวนี้แอบยังไม่คมหรือว่าทะลุได้โหดเท่าไรนักครับ

ทางด้านไฟที่เสริมเข้ามาในด้านข้างตัวรถเวลาปลดล็อกนั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครเหมือนเลยจริงๆ ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ Pony Puddle Lamps ทั้ง 2 ข้างในส่วนใต้กระจกมองข้างของตัวรถ แม้ว่าจะไม่ได้เน้นในเรื่องของความสว่างมากนักแต่เมื่อปลดล็อกแล้วเด่นสะดุดตาแน่นอนครับ แต่น่าเสียดายน่าจะใส่ไฟตรงมือจับหรือส่องพื้นเพิ่มเข้ามาให้อีกครับ

INTERIOR

ภายในนั้นต้องบอกว่าเป็นการออกแบบที่สวยกว่ารุ่นก่อนๆชัดเจนมาก มันเป็นรุ่นที่อิงเอกลักษณ์จาก Mustang 1st gen ได้แบบลงตัว และพัฒนาต่อจากรุ่น เจน 5 ได้แบบคลาสสิกมากขึ้นเสริมด้วยหน้าจอและแอร์ช่องกลางแบบคลาสสิกผสมกับหน้าปัดแบบ Full Digital แต่เส้นสายกราฟิกนั้นยังคงมีความดิบๆเช่นเดิมเป็นงานออกแบบภายในที่ส่วนตัวค่อนข้างชอบทั้งหน้าตาและการใช้งาน และการที่ไปอิงความคลาสสิกรุ่นแรกได้ดีมากๆ แต่แอบบ่นในเรื่องของ วัสดุงานประกอบที่มันเป็นความเมกันมากไปหน่อยจะดิบๆไม่ได้เน้นฟีลลิ่งของการสัมผัส หรือพื้นผิวอะไรเท่าที่ควรครับ ซึ่งจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าบรรดาค่ายยุโรปนั้นจะทำวัสดุ ฟีลลิ่งลวดลายได้ดีกว่าค่ายมะกันแบบชัดเจนมาก

ภายในไม่ต้องเน้นตกแต่งอะไรให้เยอะแต่คงความเป็นมะกันสไตล์ได้อย่างแท้จริงช่องแอร์กลาง เล่นกับวัสดุสีเงินด้านสะท้อนแสงมีมิติสวยงามพร้อมกับอุโมงค์กลางแบบดิบๆวัสดุจริงๆน่าจะใช้งานวัสดุนิ่มหรือ Soft touch มากกว่านี้เพราะตรงอุโมงค์กลางหรือส่วนอื่นๆเป้นวัสดุแข็งทั้งหมดเลยจุดนี้แอบเสียดายในความพรีเมี่ยมของจุดสัมผัสหลายๆที่แต่การออกแบบสีดำตัดกับสีเงินก็เสริมให้ตัวรถดูดีขึ้นเช่นกัน การจัดวางตำแหน่งหน้าจอตรงกลางแอบต่ำไปนิดหน่อยในการใช้งานแต่ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งนั้นก็ถือว่ากำลังมองเห็นได้อยู่ครับรองรับสัมผัสและ Android auto – Apple Carplay ในขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบเสียงค่ายแบรนด์พรีเมี่ยมอย่าง Bang & Olufsen ลำโพง 12 ตำแหน่ง พร้อม Subwoofer / Amplifier เสียงดีงามมาก รวมถึงให้ระบบปรับอากาศ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone

ในรุ่นครบรอบ 55 ปีนั้นจะมีจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่นปกติครับในเรื่องของ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ที่เราเห็นเป็นสีดำลวดลายใหม่พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ เขียนชัดจนในที่นั่งข้างคนขับครับ และเบาะคู่หน้าอันนี้สำคัญเลยเพราะว่ารูปทรงแบบใหม่ในแบรนด์ดัง  RECARO และนั่งสบายมากๆ ส่วนเรื่องของเครื่องเสียงนั้นถือว่าให้มาดีอยู่แล้วในแบรนด์ดัง B&O พร้อมกับ ซัฟและแอมป์แยกบอกเลยว่าคุณภาพ

พวงมาลัยมาพร้อมกับปุ่มเยอะมากๆคันนึงเลยจริงๆทำให้รองรับการควบคุมค่อนข้างครบแล้ว แน่นอนว่ารุ่นนี้รองรับ Adaptive Cruise Control สบายๆครับถือว่าออฟชั่นดีอยู่ในด้านขวาจะเป็นการควบคุมหน้าจอหลักและเข้าโหมดต่างๆ ส่วนในด้านซ้ายนั้นจะเป็นควบคุมเครื่องเสียง และ ระบบควบคุมความเร็ว การปรับระยะห่างจากรถข้างหน้า รูปทรงพวงมาลัยแน่นอนว่าเน้นความคลาสสิก ไม่ได้มีการตัดขอบอะไรตัวรถก็ขึ้นลงได้ง่ายอยู่แล้ว ทรงสวยใหญ่กำลังดีขับถนัดมือครับจุดนี้ไม่มีปัญหาเลยแต่อยากได้วัสดุหนังกลับหรืออะไรที่ดูดุดันมากกว่านี้น่าจะลงตัวเลยแหละ ส่วนหน้าปัดขอชื่นชมว่า FORD เป็นค่ายที่ทำหน้าปัดได้คุ้มที่สุดแล้วในบรรดารถที่เคยเห็นมา มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี หรือ รูปทรงแต่มันเปลี่ยนไปได้ทั้งหมด ทั้งหลากหลายโหมดแบบคุ้มค่ามากๆ มีโหมดนับถอยหลังสนามแข่งหรือว่าจะเป็นดูวัดรอบเด่นๆ ดูความร้อน ของลูกสูบต่างๆหรือจะเป็นน้ำมันเรียกได้ว่าละเอียดไม่ต้องแต่งจอเพิ่มอะไรเลยแม้แต่น้อย และรองรับการปรับแต่งสีได้เยอะมากๆ แยกเป็น 2 โซนหลักๆในหน้าปัดครับ แต่เส้นสายตัวเลขจะออกดิบๆนะ

ส่วนตัวชอบงานออกแบบทั้งหมดทั้งตัวเกียร์หรือว่าการเสริมสีเงินรอบๆคันแต่จุดที่ไม่ค่อยเน้นของบรรดาค่ายรถมะกันจะเป็นเรื่องของความประณีต หรือ วัสดุของที่ใช้งานนั้นไม่ค่อนพรีเมี่ยมหรือสัมผัสดีเท่าไรนัก เป็นพลาสติกแข็งๆเยอะมากและลวดลายหรือพื้นผิวมันดูราคาถูกไปพอสมควร รวมถึงสวิตช์ต่างๆของไฟเพดานพวกนี้ไม่ค่อยสมราคานัก แน่นอนว่าการใช้งานมันไม่มีปัญหา แต่ความรู้สึกกับรถราคาหรือระดับนี้น่าจะเน้นในเรื่องนี้มากกว่านี้ครับ เช่นตัวอุโมงค์กลางที่เห็นที่มาพร้อมกับที่วางแก้วนั้นเป็นวัสดุพลาสติกขึ้นลายทั้งหมดไม่ได้มีความนุ่มอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ

ทางด้านเบาะด้านหน้ามาพร้อมกับเบาะ RECARO รูปทรงสวยงามมีความหนานุ่มนั่งสบายและทรงดี บอกเลยว่าทรงเบาะนั้งสบายมากๆคันนึงในบรรดาคู่แข่ง มีความกระชับแต่ก็รองรับการขับขี่ทั่วไปได้สบายครับ เบาะคู่หน้ามาพร้อมกับ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง ครับและดันหลังอะไรได้ด้วยนะ แต่พนักผิงยังคงปรับมือเพราะต้องหลบให้คนขึ้นนั่งด้านหลังนั้นเอง ถือว่าขึ้นลงอะไรนั่งสบายมากๆคันนึงและพื้นที่วางขาเหลือเยอะมาก แต่ Headroom นั้นน้อยพอสมควรและที่คาดเข็มขัดนั้นแน่นอนว่าไม่มีตัวยื่นออกมาให้อาจจะลำบากนิดหน่อยแม้จะมีล็อกสำหรับใส่สายแต่ก็ไม่อยู่เท่าไร

เบาะด้านหลังนั้นถือว่าเล็กมากๆไม่สามารถนั่งได้สำหรับแอดมินหรือแม้แต่วัยรุ่นเนื่องจากพื้นที่เหนือศรีษะนั้นเอียงและเตี้ยมากๆส่วนตัวแอดมินนั่งเองนั้นต้องเอียงหัวนั่งจริงๆครับและพื้นที่วางขานั้นน้อยมากเช่นกันแนะนำว่าเป็นที่วางกระเป๋านั้นจะดีที่สุดและเป็นเรื่องปกติเลยในเรื่องของบรรดารถยนต์ Coupe พวกนี้ครับและหลังคาแบบ Fastback

ห้องสัมภาระนั้นถือว่าเยอะและลึกมากๆ ความจุมากถึง 408 ลิตร รองรับการใส่กระเป๋าเดินทางหรือใส่ของได้ดีอยู่ครับจุดนี้ และจะเห็นว่ามีการพับเบาะได้รวมถึงในด้านข้างเราจะเห็นตู้ซับใส่เข้ามาให้แน่นๆเลยเรื่องเสียงเลยโดดเด่นเป็นพิเศษ และในด้านล้างยังคงให้ล้ออะไหล่เสริมเข้ามารองรับการใช้งานแม้ว่าหน้าตาจะธรรมดาไปก็ไม่เสียหายครับ

ENGINE

เครื่องยนต์ตั้งนี้แม้จะเป็น Ecobost 2.3 แต่ก็มีพละกำลังได้ดี มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบ  กำลังสูงสุด 290 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ในส่วนของอัตราเร่ง 0-100 นั้นอาจจะไม่ได้หวือหวาประมาณ 7 วิครับ แต่ตัวรถจะเน้นไปในทางที่การส่งกำลังไปล้อหลังแบบดิบๆแรงบิดมาเยอะๆทำให้เกิดอาการท้ายปัดหรือออกตัวล้อฟรีได้ง่าย ก็เป็นส่วนที่ยังคงให้การขับขี่นั้นมีความสนุกอยู่บ้างและเสียงเครื่องก็กลางๆครับ ถ้าเอาไปเปลี่ยนท่อคือจบเลย และ สามารถเลือกโหมดการขับขี้แบบสนามได้ทั้ง Track – Drag ต่างๆ และการเปลี่ยนเกียร์เมื่อเปิดโหมดพวกนี้คือกระชากดึงสนุกมากจริงๆ แม้จะเป็นตัว 2.3 แต่ก็เซ็ทออกมาได้กระชากสะใจเช่นกัน เปลี่ยนเกียร์ทีแรงบิดส่งไปที่ล้อ ช่วง เกียร์ 1-4 บอกเลยว่าเปลี่ยนเกียร์ที มีเสียงล้อฟรีได้เลยครับบอกเลยสุดมากๆ

การขับขี่ในรุ่นนี้แน่นอนว่าแม้จะเป็นเครื่องยนต์ Ecoboost ก็ตามรุ่นนี้มาพร้อมกับ ช่วงล่างด้านหน้า อิสระ McPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และใน ช่วงล่างด้านหลัง อิสระ Integral-link พร้อมคอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง พร้อมกับ เฟืองท้ายแบบ Limited Slip ทางด้าน ระบบเบรก คู่หน้า 4 pots เส้นผ่านศูนย์กลาง 46 มิลลิเมตร และ ระบบเบรก คู่หลัง เส้นผ่านศูนย์กลาง 45 มิลลิเมตร ก็ถือว่าสเปกอื่นๆก็ถือว่าทำได้ดีตามระดับของตัวรถ อาจจะไม่ได้ใหญ่โตเท่ารุ่น 5.0 แต่ก็เพียงพอต่อการขับขี่การใช้งานทั่วไปแล้วนั้นเองสำหรับ Ecoboost ตัวนี้จานเบรกด้านหน้าจะมีขนาด 352 มิลลิเมตร  แต่ด้านหลังนั้นจะคล้ายกับตัว 5.0 ครับไม่ได้หนีกันซักเท่าไรนัก แต่จะเห็นเลยว่าห้องเครื่องนั้นจะค่อนข้างโล่งๆไม่ได้แน่นเท่าไรเพราะตัวบอดี้มันออกมารองรับกับ 5.0 ได้กำลังดี แต่ถ้ามาใส่เครื่องเล็กก็อาจจะโล่งๆไปซักหน่อย

DRIVING

การขับขี่จริงๆต้องบอกเลยว่าตอนแรกไม่ได้คาดหวังกับตัว 2.3L ซักเท่าไรเพราะว่ามันดูไม่ค่อยมีความดุดันหรือเดือดๆแบบตัว 5.0 ครับทำให้ตอนแรกอาจจะคิดว่ามันไม่ได้ขับสนุกอะไรมากนัก แต่พอได้ลองแล้วบอกเลยว่าการขับขี่เซ็ทออกมาได้ดีกว่าที่คิดเยอะพอสมควร อัตราเร่งก็ไม่ได้แย่ แถมยังมีความดุดันเวลาเปลี่ยนโหมดการขับขี่ หรือว่าเปลี่ยนเกียร์ๆต่างทำออกมาได้ลงตัวแบบจัดเต็มพอสมควรเลยครับ แต่ถ้าอยากได้ความสุดยังไงก็ต้องไป 5.0 อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยครับ อย่างแรกที่สัมผัสได้เวลาเข้าไปนั่งขับคือตัวรถนั้นมีความใหญ่โตพอสมควร และ การขับขี่จริงๆสายมุดอะไรอาจจะไม่ได้เหมาะเท่าไรนักตัวรถจะแอบใหญ่ๆ ทำให้มันไม่ได้คล่องตัวเท่าที่ควร และ การขับขี่สนุกหรือว่าการเข้าโค้ง เปลี่ยนเลนต่างๆนั้นเรียกได้ว่าลืมภาพจำ รถมะกันเก่งทางตรงไปได้เลยตัวนี้ขับสนุกขึ้นเยอะมากๆ

ช่วงล่างตัว ECOBOOST ตัวนี้จะเซ็ทออกมาได้นุ่มและขับในเมืองได้ดีกว่า 5.0 แต่ถึงแม้จะเซ็ทมานุ่มและหนึบก็ตามแต่ถ้ามองเทียบกับบรรดา A5 – S4 พวกนั้น หรือแม้แต่ C43 เทียบกันแล้วตัว MUSTANG ก็ยังคงมีความดิบ ความแข็งมากที่สุดอยู่ดีนั้นเองเป็นจุดที่นั่งแล้วรู้เลยว่ามันมีความกระเด้ง กระดอนมากกว่าชัดเจน ขับในถนนเมืองไทยยิ่งชัดเจน แต่ก็ไม่แข็งเท่า 5.0 นะครับตัวนี้ เรียกได้ว่ามีความแข็งมากๆคันนึงแต่ก็ยังอยู่ในระดบที่มีความพรีเมี่ยมมากอยู่ไม่ได้ดิบไปซะทีเดียวทำให้ขับทั่วไปได้ระดับนึง และการเกาะถนน การดูดติดถนน แน่นอนว่าขับหลังกับรถแนวนี้การเซ็ทออกมาดีขึ้นจากเดิม เข้าโค้งมั่นใจ ควบคุมได้ดีมากขึ้น และยังมีอาการท้ายปัดๆให้เห็นบ่อยครับถ้าเล่นกับมัน และแอบยวบๆนิดนึงในช่วงเข้าความเร็วสูง หรือวิ่งทางตรงเกิน 160 พวกนี้จะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันไม่นิ่งเท่าไร แต่ถ้ามองในแง่รถ มะกัน มันจัดการช่วงล่าง กระจายน้ำหนัก การขับขี่ได้พัฒนาสู้ยุโรปได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้วครับ และที่ชอบมากๆคือพวงมาลัยเซ็ทมาคม และหน่วงกำลังดี ตอบสนองได้ดีทั้งการขับเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนต่างๆจัดเต็มได้

ซึ่งถ้าให้มองเทียบกับตัวอื่นๆต้องอย่าลืมว่า MUSTANG ทั้งใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งนี้การเข้าโค้ง การมุด หรือ ขับต่างๆนั้นมันจะมีความใหญ่ของมันเป็นจุดที่ทำให้แตกต่างกับตัวอื่นๆในคู่แข่งด้วยกัน ส่งผลทั้งการควบคุมต่างๆเป็นต้นครับ รวมถึงอัตราเร่งด้วยเช่นกันตัวนี้เร่ง 0-100 แตะ 7 วิได้เลยทำให้มันไม่ได้ไวสนุกมากนักแต่ปลายก็ไหลมาๆเรื่อยๆรวมถึง การเปิดโหมด TRACK ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ลากไปรอบสุดมากกว่าเดิม เปลี่ยนเกียร์แล้วล้อฟรีแต่ละช่วงเกียร์ได้แบบโหดๆ และ มีแรงดึงได้ดีระดับนึงพอสนุก แต่น่าเสียดายว่าเสียงเครื่องมันธรรมดาไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก รวมถึงการเก็บเสียงการเก็บอะไรต่างๆ เสียงลม ถนน ยังพอมีเข้ามาบ้างไม่ได้เงียบหรือเนี้ยบแบบค่ายยุโรปซักเท่าไร ส่วนทางด้านการขับขี่ จะมีโหมดทั้งหมด 5 โหมด และ ปรับพวงมาลัยได้ทั้งหมด 3 โหมด Comfort พวงมาลัยเบา ขับทั่วไป และ Normal น้ำหนักในระดับกลาง และ Sport หนืดและมีความหน่วงที่สุดในการใช้งานความเร็วสูงๆแต่ก็ไม่ได้ต่างกันชัดเจนมากนักครับ ในภาพรวมนั้นเราจะรู้สึกว่าตัว 2.3 ก็ไม่ได้อืดหรือว่าน่าเบื่อไปซะทีเดียวครับ ในการเร่งถ้าเราไปกระตุ้นมันแรงๆก็สามารถพาหลังติดเบาะได้เช่นกันในการเร่งแซงหรือว่าการเร่งช่วงตีนต้นต่างๆ แต่ถ้าถามว่าเทียบกับคู่แข่ง หรือว่าตัว 5.0 แน่นอนว่ามันแตกต่างกันอย่างชัดเจนมากๆ ซึ่ง Mustang จะเด่นเรื่องความรู้สึกในการขับขี่ ที่มีความดิบ ท้ายปัดได้ง่ายๆ ช่วงล่างแข็งๆนิดหน่อย บ้าพลังในบางจังหวะและบอดี้ใหญ่น่าเกรงขาม

CONSUMPTION

อัตราการสิ้นเปลืองสำหรับตัว Ecoboost 2.3 นั้นก็เป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกับตัว 5.0 แน่นอนว่าเรื่องของการกินน้ำมันดีแน่นอนครับการใช้งาน 2.3L Ecoboost ทำให้เด่นๆในเรื่องนี้มากๆในการขับขี่ในเมืองหรือว่าต่างจังหวัดนั้นก็ช่วยได้เยอะเช่นกัน ทางเราเลยขอทดสอบประมาณ 3 แบบการขับขี่ซึ่งเป็นการขับจริงๆ ไปเที่ยวและขับแบบดุดันทดสอบแบบโหดๆครับ ซึ่งเท่าที่ลองนั้นขับขี่แบบทั่วไปในโหมดปกติ สามารถทำความเร็วได้ 100-120 ไม่เกินนี้พร้อมกับไม่ได้เร่งแซงอะไรมากนักทำไปได้ 10.4 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าสบายๆครับ แต่ถ้าขับแบบโหดๆเลยเร่งแซงบ่อย เหยียบหนักๆออกตัวล้อฟรี ท้ายปัดบ่อยๆนั้นในการขับขี่ทางไกล ความเร็ว 140+ ทำให้การกินน้ำมันพุ่งไป 7 กิโลเมตร ต่อ ลิตรเลยทีเดียว แต่ถ้าขับแบบ พ่อแม่ขับ ทั่วไปสบายๆบอกเลยว่ามีแต่ 11-12 กิโลเมตรต่อลิตรได้ทันทีครับ แต่ถ้าแอดมินขับ เฉลี่ย 5-8 วันจะได้ประมาณ 9 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่ากำลังดีเทียบกับขนาดตัวของมัน และพละกำลัง การขับขี่ แรงดึงอะไร เมื่อนับว่าเป็น Mustang ตัวนี้บอกเลยว่าสบายๆและอัตราสิ้นเปลืองแบบนี้รับได้ครับ

FORD MUSTANG 2.3 ECOBOOST 55TH ANNIVERSARY 

” MUSTANG ที่มีความดิบ ขับสนุก แต่เซ็ทมาให้ใช้งานขับ Daily Use ได้แบบสบายๆ “

2.3L Ecoboost ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียวเมื่อต้องการรีดพลังก็ยังเหลือๆในการส่งพลังมาให้เราขับสนุกต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี รวมถึงในรุ่นนี้ก็ทำให้การขับขี่ทั่วไปไม่ได้ดิบเหมือนรุ่นพี่มีความพรีเมี่ยม มีความนุ่มเสริมเข้ามาอยู่บ้างเช่นกัน อัตราเร่งต่างๆเพียงพอต่อการใช้งานในเมืองทั่วไปได้ แต่อาจจะไม่ได้ไวทันใจเท่าที่ควรทั้งเรื่องของ ขนาดตัวรถและน้ำหนักเมื่อขับจริงๆ เหมาะแก่การขับทางไกลยาวๆ และเร่งแซงพอสนุกซะมากกว่าครับ พร้อมกับเสียงเครื่องที่กำลังดี แต่ก็ไม่ได้ดังสะใจมากนักเป็นรถยนต์ที่เน้นทรงและงานออกแบบเป็นหลักพร้อมกับ เอกลักษณ์การขับหลังยังคงเสริมเข้ามาให้พอสนุกในบางครั้งนั้นเอง ถ้ามองว่าเราเน้นการขับขี่ บอดี้ใหญ่ๆ ท้ายออกได้ง่ายเทียบกับราคา และ รูปทรงที่ดูสวยอมตะ รวมถึงความเท่โดดเด่นตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน แต่ถ้ามองเรื่องของ วัสดุ งานประกอบ ฟีเจอร์ออฟชั่นอะไรนั้นอาจจะไม่ได้เน้นเท่าไร กล้องรอบคัน หรือ ฟีเจอร์ภายใน ฟีลลิ่งวัสดุพวกนี้ไม่ได้เน้นเลยจริงๆครับ ทำให้มันต้องเป็นคนที่ชอบและรักการขับขี่ รัก MUSTANG ของจริง จึงจะตอบโจทย์ และไม่ได้เน้นอัตราเร่งไวจัดด้วยนั้นเอง จึงเป็นรถยนต์ที่ต้องรักและชอบอะไรหลายๆอย่างในคันนี้และได้สัมผัสและรับได้ในหลายๆเรื่องของมันไปได้ด้วย

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares