MASERATI เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคสมัยก่อน อีกทั้งในไทยเองถือว่าเป็นแบรนด์ที่พรีเมี่ยม มีระดับเลยทีเดียวครับเป็นแบรนด์รถยนต์จากประเทศอิตาลีที่มีความคลาสสิก และโดดเด่นในเรื่องของงานออกแบบพอสมควรเลยครับ หลายๆคนอาจจะมองว่ามันจับต้องยากแต่ จริงๆแล้วถือว่า แบรนด์นี้ลุยตลาดได้ดีขึ้นมากพร้อมกับราคาเริ่มต้นที่จับต้องได้ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะพอสมควร ในเรทราคา 6 ล้านปลายๆเท่านั้น อีกทั้งยังได้ประสบการณ์การขับขี่ที่อ้างอิงมาจากรถสปอร์ตได้เลยเพราะแบรนด์นี้ตั้งแต่ก่อตั้งนั้นทำรถสปอร์ตมาก่อนเรียกได้ว่าเป็น DNA ของค่ายก็ไม่เกินไปครับ อีกทั้งที่เรามักจะไม่ค่อยเห็นในไทยนั้นเป็นเพราะโควต้าแต่ละปีนั้นมีแค่ไม่กี่คันเท่านั้นทำให้ แบรนด์ยังคงรักษาความพรีเมี่ยม และโดดเด่นบนท้องถนนได้ดีเป็นอีกจุดเด่นของค่ายนี้นั้นเองครับ สำหรับครั้งนี้เรามาอยู่กับ GHIBLI เป็นรถยนต์ตระกูล Sport Sedan ระดับพรีเมี่ยมที่โดดเด่นพอสมควรครับ ต้องบอกก่อนว่า GHIBLI นั้นแต่ก่อนจะเป็นรถยนต์ COUPE 2 ประตู แต่มาในรุ่นที่ 3 มีการปรับเปลี่ยนเป็น 4 ประตูเพื่อที่จะตอบโจทย์การใช้งานและเข้าถึงลูกค้าในการใช้งาน Daily Use ได้มากขึ้นนั้นเองจึงออกมาเป็น Ghibli แบบที่เราเห็นในรีวิวบทความนี้ และเป็นเครื่องยนต์ Diesel ด้วยถือว่ามีความแปลกใหม่พอสมควรครับ สำหรับ Ghibli Diesel Gran Lusso คันนี้ ในราคาเริ่มต้น 6.89 ล้านบาทเท่านั้น และได้สัมผัสความพรีเมี่ยมจาก MASERATI ถือว่าราคาดีมากๆครับในการเปิดตัวครั้งนี้ และ เป็นแบรนด์มีระดับรวมถึงตัวแบรนด์เองนั้นดูพรีเมี่ยมกว่าราคาไปเยอะมาก อีกทั้งโมเดลแต่ละรุ่นออกแบบมาลงตัว ดีไซน์อมตะและขายได้นานมากๆกว่าจะเปลี่ยนรุ่นในแต่ละโมเดลด้วยเช่นกัน และในไทยแต่ละปีนั้นมีขายแค่ 25 คันทำให้มันมีความพรีเมี่ยม ความหายากบนท้องถนน ทำให้เป็นแบรนด์ที่ไม่ซ้ำกับใครเท่าไรด้วยนั้นเอง

MASERATI GHIBLI DIESEL GRAN LUSSO ทางด้านสเปกหรือว่ารุ่นย่อยของ MASERATI GHIBLI นั้นมีมาให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย Maserati Ghibli เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 350 แรงม้า และ Maserati Ghibli Diesel เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 275 แรงม้า รวมถึงตัวแรง Maserati Ghibli S เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 430 แรงม้า แต่รุ่น Diesel นั้นจะ เปิดตัวมาที่ ราคาเริ่มต้น 6,890,000 บาทเท่านั้น แต่ทางที่เรารีวิวนั้นจะเป็นรุ่น MASERATI GHIBLI  DIESEL GRAN LUSSO จะอยู่ที่  7,590,000 บาท ครับจะมี อุปกรณ์ที่ติดตั้งเข้ามา คือ ระบบครูสคอนทโรลแบบแปรผันความเร็ว ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบเตือนจุดอับสายตา ระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดยไม่เจตนา และระบบกล้องมองภาพรอบคัน ที่เพิ่มเติมเข้ามาจากรุ่นปกติ ส่วนดีไซน์นั้นจะเหมือนกันครับในภาพรวม แต่ในรุ่น S นั้นจะเปลี่ยนกันชนให้ดู สปอร์ตมากขึ้นนั้นเองที่แตกต่างกันหลักๆในรุ่นที่ได้อ่านกันนั้นจะเป็นเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล V6 ขนาด 3.0 ลิตร  พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 2,000 – 2,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง จับคู่เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ และมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหน้าตาใหม่ ทั้งไฟหน้า MATRIX High Beam และ ปรับกันชนหน้าหลังใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่องดักลม ครับ และฟีเจอร์ช่วยเลือกอีกมากมายที่ใส่เข้ามาในรุ่นนี้ด้วย ระบบการเตือนการชนข้างหน้า กล้องรอบคัน หรือจะเป็นแจ้งเตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับเข้าสู่เลนให้ทันที และ เตือนจุดบอดเป็นต้นครับ และ ภายในก็ยังเน้นวัสดุหนังแท้ทั้งหมด รวมถึงภายในสี ทูโทนดำแดง พร้อมกับโลโก้ ตรีศูล เด่นๆไว้ตรงพนักพิงหัวก็ให้มาครับ รวมถึงประตูทั้ง 4 บานเป็นระบบไฟฟ้าดูดให้สนิทได้เลยไม่ต้องออกแรงปิดประตูครับใส่มาให้ด้วยเช่นกัน

EXTERIOR

ภายนอกในรุ่นนี้ต้องบอกว่าแม้จะออกมาตั้งแต่ปี 2010 แล้วก็ตามแต่ดีไซน์รูปทรงของตัวรถต้องบอกว่าไม่ตกยุคเลยแม้แต่น้อยแม้จะมีอายุร่วม 10 ปีแล้ว และในรุ่นนี้นั้นเป็นการปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ในบางส่วนเช่นในกันชนหน้า กระจังหน้า ไฟหน้า กันชนท้าย ทั้งหมดครับถือว่าเปลี่ยนน้อยมากๆ แต่ก็เพิ่มความทันสมัยของตัวรถได้ดีเลยแหละ เพราะต้องบอกกันก่อนว่าค่ายนี้แต่ละโมเดลออกมาคือขายยาวนานมาก และแต่ละโมเดลนั้นบางทีไม่ได้ทำต่อเนื่องเลยทำให้การออกแบบแต่ละรุ่นนั้นมีความใส่ใจในงานออกแบบเน้นมากๆ ทำให้ดีไซน์มันอมตะและดูสวยนานจริงๆครับจุดนี้ต้องยอมรับค่ายนี้เลยทีเดียว ดีไซน์ภาพรวมนั้นมีความเตี้ย แบนและมีกระโปรงหน้ายาว และเส้นสายชัดเจนมีบ่าสวยงามทำได้ลงตัวมากเลยครับ เส้นสายมัดกล้ามชัดเจนและการที่กดหน้าต่ำเห็นซุ้มล้อหน้าทำให้มันดูดุดันขึ้นเยอะมากครับ

ทรงการออกแบบของตัวรถนั้นการที่ทาง Maserati พยายามเน้นด้านหน้าให้มีความยาวคล้ายกับรถยนต์สปอร์ตส่งผลให้ทรงของตัวรถนั้นมีความโดดเด่นกว่า Sedan ทั่วไปแบบชัดเจนครับด้านหน้าที่กดต่ำจนเตี้ยแบน ดันซุ้มล้อด้านหน้าให้มีความสูง และ เห็นทรงเป็นมัดกล้ามส่งผลให้เวลาเจอแสงเงานั้นดูมีความลึกนูนได้ชัดเจนและทรงของไฟหน้า กระจังหน้าส่งให้รถมีความดุดันชัดเจน ด้านหลังนั้นมีความสั้นและเน้นเส้นสายบาด้านข้างทำให้มีความแบนมากขึ้นและทรงรถภาพรวมคล้ายกับรถยนต์ Supercar มีกลิ่นอายมาผสมอยู่ในด้านหลังเมื่อมองไกลๆ และในด้านข้างเราจะเห็นซุ้มล้อหน้าหลังนั้นมีความเด่น ดูมีความดุดันมากๆตัวรถค่อนข้างเตี้ย ฝากระโปรงหน้ามีความยาวส่งผลให้ภาพรวมของรถดูกระชับกระเชง มีความเป็นรถยนต์ 2 ประตูแบบรุ่นก่อนๆแต่ยังออกแบบให้ใช้งานได้4 ประตูได้แบบลงตัว

หน้าตรงทำให้เราเห็นเอกลักษณ์ของ Maserati แบบชัดเจนขึ้นทั้งตัวกระจังหน้าที่มีความใหญ่เด่นทรงดุดันพร้อมกับ โลโก้ ตรีศูลชัดเจน และในรุ่นล่าสุดนี้มีการปรับกระจังหน้าใหม่ กันชนด้านล่างใหม่ทั้งชุดทำให้มีความทันสมัยขึ้นช่องดักลมล่างนั้นมีความใหญ่ดุดันมากขึ้น แน่นอนว่ามีความต่ำมากๆเมื่อเทียบกับตำแหน่งที่ติดตั้งป้ายทะเบียนของคันนี้ครับ ด้านหน้าเป็นส่วนที่สวยลงตัวมากที่สุดในบรรดารถยนต์ Sport Sedan ในระดับเดียวกันดูหรู พรีเมี่ยม และมีความดุดันไปในตัวส่วนตัวค่อนข้างชอบงานออกแบบด้านหน้าค่ายนี้มากกว่าคู่แข่งพอสมควร ส่วนในด้านท้ายนั้นต้องบอกว่าไฟท้ายยังคงคล้ายแบบเดิมครับ และ ตัวทรงไฟท้ายยังไม่ค่อยสปอร์ตหรือดุดันเท่าที่ควรนักเมื่อเทียบกับด้านหน้าตัวรถ แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนกันชนล่างปรับใหม่ให้เข้ากับตัวรถมากขึ้นจากรุ่นเดิมชายล่างจะเป็นสีดำทั้งหมด แต่รุ่นนี้มีเล่นสีตัวรถเข้ามาเสริมขอบข้างซ้ายขวา และตรงกลางทำให้ดูดีขึ้นมากและมาพร้อม 4ท่อจริงสวยงามถือว่าด้านท้ายดูหนาแน่น และเส้นบ่าชัดมากแต่น่าเสียดายน่าจะทำไฟท้ายหรือเส้นสายให้ดุดันเข้ากับด้านหน้าจะดีมาก

ล้อคันนี้มาพร้อมกับล้อลาย 19 นิ้วมาพร้อมกับยางขนาด 245/45/19 และลวดลายเล่นสี 2 สีสลับกันครับแต่ถ้ารุ่น Sport นั้นจะเป็นล้อลาย 19 นิ้วโทนสีเดียวจริงๆแอบชอบล้อตัว 19 มากกว่านิดหน่อยในแง่ของดีไซน์ครับตัวนี้ ยางขอบกำลังดีไม่ได้บางมากเกินไป รองรับกับถนนเมืองไทยได้ดีทีเดียว ซับแรงและขับง่ายครับ และขนาดตัวล้อนั้นกำลังพอดีกับซุ้มล้อพอสมควรกำลังลงตัวไม่เล็กและไม่ใหญ่ และระยะอะไรความสูงกำลังสวยเลยทีเดียว และจะเห็นเอกลักษณ์การเขียนชื่อรุ่น Gran Lusso ในส่วนขอบล่าง และ จะเห็นช่องลม 3 ช่องที่เป็นเอกลักษณ์ประจำค่ายไว้จริงๆตรงเหนือซุ้มล้อหน้าครับ ทุกคันต้องมีจุดนี้เลยทีเดียว และอีกจุดคือโลโก้ตรงบริเวณเสา C หลังประตูหลังนั้นเอง

กระจังหน้าเป็นจุดเด่นของค่ายนี้มานานครับในยุคหลังด้วยการออกแบบที่เด่นๆดึงลงต่ำ และ มีความใหญ่พอสมควรในรุ่นนี้ได้ปรับทรงให้มีความดุดันมากขึ้นเน้นเส้นสายแนวตั้ง และโลโก้ให้เด่นมากขึ้นรวมถึงช่องกันชนล่างก็ปรับให้มีใหญ่จะเห็นรายละเอียดในส่วนของช่องดักลมล่าง ว่ามีขีดๆแนวนอนผสมกันไปครับ และเส้นสายขอบล่างก็รับกันด้วยเช่นกัน ทางด้านโลโก้นั้นเราจะเห็นว่ามันเป็นแผ่นเรียบๆทั้งหมด เหมือนมีอะไรปิดไว้เพราะตรงนี้จะเป็นเซนเซอร์สำหรับการจับระยะคันข้างหน้ารวมถึงการตรวจจับระบบความปลอดภัยทั้งหมดนั้นเองครับ และ จะเห็นกล้องหน้ามาให้ด้วยอยู่บนโลโก้คันนี้ ใช้สำหรับระบบกล้องรอบคัน 360 องศา และจะเห็นติ่งจะงอยเป็นเอกลักษณ์ของค่ายไว้อยู่เช่นกัน และทรงด้านหน้านั้นเมื่อมองด้านข้างจะเห็นความแหลม และ ทรงคล้ายๆกับปากฉลามอยู่นิดหน่อยส่วนของกระจัง

ภาษาโลโก้คล้ายกับตัวอักษรเขียนด้านหลังนั้นยังคงใส่เข้ามาในหลายๆรุ่นของค่ายแทนโลโก้ ตรีศูลครับ เพราะใน Ghibli รุ่นก่อนจะเป็นโมเดลนี้จะยังคงใช้โลโก้แบบเดิมแต่พอเข้าสู่ยุคใหม่ทั้งหมดนั้นจะเป็น ตัวอักษรแบบนี้ในทุกรุ่นเลยนั้นเองครับและยังคงมีจุดติ่ง 3เหลี่ยมตรงกลางรถทั้งด้านหน้า และ หลังเป็นเอกลักษณ์ด้วยเช่นกันครับ ในกันชนหลังนั้นเราจะเห็นงานออกแบบที่เปลี่ยนไปชัดเจนจากรุ่นก่อน มีการออกแบบให้โทนสีตัวรถเข้ามาคลุมถุงด้านข้างและดูดุดันขึ้นมาอีกทั้งยังมีการใส่สีตัวรถเข้ามาตรงกลางระหว่าง 4 ท่อไอเสียทำให้มันดูดุดันสปอร์ตมากขึ้น และ มีลูกเล่น และ 4ท่อจริงทั้งหมดครับสำหรับค่ายนี้เสียงบอกเลยว่าสะใจ และหนักแน่นแบบผู้ดีมากๆแม้จะเป็นดีเซลก็ตาม และเส้นสายบ่าข้างหลังนั้นยังคงเล่นกับแสงเงาได้ดีเช่นเดิมและกระจกประตูหลังนั้นจะพอดีกับกระตูเลยไม่มีกระจกต่อมาครับ

ไฟหน้าในรุ่นนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบทั้งหมดในส่วนของโคมภายในรวมถึงเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาครับ ไฟหน้าในรุ่นนี้มาพร้อมกับทรวดทรงเดิมแต่ใส่ระบบ MATRIX LEDเข้าในในส่วนของไฟสูงทำให้ไม่แยงตาคันข้างหน้าพร้อมกับเปลี่ยน โคมหลักให้มัความเล็กและมีความเหลี่ยมมากขึ้นทำให้สายตานั้นมีความดุดันขึ้นจากเดิมพร้อมกับไฟมุม LED สีส้มและไฟเลี้ยว ไฟ DRL เป็น LED ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงชิ้นสำคัญของรุ่นนี้ ทางด้านไฟท้ายนั้นน่าเสียดายว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ยังคงเป็นทรงเดิมพร้อมกับงานออกแบบเดิมทั้งหมด เป็น LED ผสมกับหลอดปกติในบางส่วนครับพร้อมกับ LED แบบไฟเส้นในส่วนของไฟท้าย และไฟเลี้ยวกระจกมองข้างนั้นมีมาให้พร้อมกับไฟส่องพื้น รวมถึง กล้องรอบคันก็จะใส่เข้ามาในส่วนนี้ครับ และพับปรับด้วยไฟฟ้าเป็นมาตรฐาน

ยามค่ำคืนนั้นถ้าเราปลดล็อกตัวรถ ไฟส่องสว่างทั้งหน้า และหลังจะติดทั้งหมดรวมถึงรุ่นนี้ไม่ได้ใส่ไฟตรงมือขับประตูมาให้ครับแอบน่าเสียดาย แต่ยังดีที่ใส่ไฟส่องประตู และพื้นมาให้ตรงกระจกมองข้าง ตัวไฟนั้นจะทำหน้าที่ส่องยิงมาตรงประตูตามภาพข้างบนเลยเป็นแสงสีขาวสว่างพอสมควร ก็ถือว่าไม่ค่อยเห็นไฟแนวนี้เท่าไรนัก ปกติจะยิงลงพื้นหรือใส่ไว้ตรงมือจับนั้นเอง ส่วนไฟหน้าไฟท้ายนั้นจะติดทั้งหมดตามภาพให้เห็นแสงสว่างรอบๆเวลาจอดที่มืดๆไว้ด้วย

ไฟหน้าไฟท้ายยามค่ำคืนนั้นจะค่อนข้างสวยเลยทีเดียวไฟหน้ามีความสว่างและชัดเจนอย่างมากจนไม่ต้องมีไฟตัดหมอกมาเสริมเพิ่มเติม ส่วนเวลาเลี้ยวนั้นก็จะมีไฟช่วยเวลาเลี้ยวใส่เข้ามาเช่นกัน และไฟเลี้ยวอะไรชัดเจนสวยงามยามค่ำคืน ตัวไฟหน้ามี Cut Off ที่สวยงามแสงคม โทนสีแสงขาวกำลังดีใช้งานยามค่ำคืน หรือฝนตกได้ดีมาก ไฟ MATRIX LED นั้นต้องบอกว่าได้ใช้งานเวลาขับไปต่างจังหวัดได้ดีมากๆ รวมถึงระบบทำงานได้ไวพอสมควรเลย ทางด้านไฟท้ายนั้นมีไฟตัดหมอกหลังมาให้พร้อมกับไฟแบบเส้นสวยงามเลยแหละ แต่น่าเสียดายว่าไม่ได้เปลี่ยนงานออกแบบจากเดิมเท่าไร ยกเว้นในรุ่น Hybrid ที่จะเปิดตัวเร็วๆนี้นั้นจะเปลี่ยนแปลงงานออกแบบทั้งหมดแล้วด้วยครับ

ยามค่ำคืนของตัวรถนั้นต้องบอกว่าสวยงามอย่างมาก ในงานออกแบบทั้งไฟหน้าไฟท้ายรวมถึงตัวรถที่เป็นมัดกล้ามสะท้อนเล่นกับแสงไฟได้ดีมากๆ จะเห็นสันบ่าของตัวรถชัดเจนครับ และไฟท้ายเป็นเส้นกรอบสวยงามทำให้ด้านท้ายนั้นเด่นขึ้นก็ถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีงานออกแบบเป็นเอกลักษณ์ที่สุดค่ายนึงในบรรดารถยนต์ระดับนี้มีความพรีเมี่ยม คลาสสิกในตัว ดูดุดันเป็นแบรนด์ที่ขอยอมรับในเรื่องของงานออกแบบแม้จะออกมามากกว่า10ปีแล้วก็ตามครับ ขับไปไหนมาไหนจะมีคนที่พอรู้เรื่องรถหรือแม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรถก็ตามจะต้องมองตาม ดูเด่นบนถนนอย่างมากเพราะว่าด้วยจำนวนที่น้อยมากๆในการขายแต่ละปีรวมถึงงานออกแบบและตัวแบรนด์ที่ดูแพงเกินราคาด้วยเช่นกัน

INTERIOR

งานออกแบบภายในนั้นยังคงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไรนักเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า หรือรุ่นก่อน การปรับเปลี่ยนหน้าตานั้นเอง แต่ถ้ามองในรายละเอียดเล็กๆทั้งในเรื่องของหน้าจอ ปุ่มการควบคุมส่วนล่างต่างๆนั้นมีการเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น และเรียบง่ายมากขึ้นครับแต่หน้าปัด พวงมาลัยอะไรนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไรรวมถึงการออกแบบตั้งแต่ยุค 2010 นั้นเลยทำให้ภายในนั้นอาจจะไม่ได้ทันสมัยหรือหวือหวาเมื่อเทียบกับสมัยนี้ครับ แต่ยังคงความหรูพรีเมี่ยมอยู่ในการใช้วัสดุต่างๆ การใช้หนังทั้งหมดรวมถึงวัสดุบุนุ่มทุกจุดเลยนั้นเอง และใส่นาฬิกาอนาล็อกเข้ามาให้ด้วยตรงกลางคอนโซลครับ แต่ถ้าเทียบกับภายในยุคนี้หลายๆค่ายตัวนี้ต้องบอกว่ายังไม่ได้ล้ำยุคเท่าที่ควร

ก่อนจะเข้าไปดูในเรื่องของงานออกแบบภายในนั้นเราจะสามารถสังเกตจุดเด่นอีกจุดของรถยนต์คันนี้ คือตัวกุญแจที่มีความพรีเมี่ยม และมีขนาดน้ำหนักที่ดูหนาแน่น พรีเมี่ยมทั้งเรื่องของการใช้งานวัสดุที่ดูดี ขึ้นรูปงานเนียนสวยงามและดูใส่ใจในการออกแบบอย่างมาก รวมถึงการออกแบบนั้นทาง MASERATI ใส่ใจกุญแจทำให้มันมีน้ำหนักกว่าทั่วไปให้รู้สึกถึงความพรีเมี่ยมมื่อวาง หรือหยิบมาใช้งานครับอีกทั้งรูปทรงอะไรนั้นสวยงามมากจริงๆ สมกับแบรนด์อย่างมากครับจุดนี้ การใช้งานก็รองรับทั้งกดเปิดไฟ/ปลดล็อก/ล็อกรถ/ เปิดฝาท้ายได้ทั้งหมดครับแต่ในการใช้งานจริงนั้นต้องบอกว่าไม่ค่อยจะมีโอกาสเอามาใช้งานเท่าไรเพราะเป็นระบบ Smart Entry ทั้งหมดแล้วเช่นกัน

แม้จะไม่ได้มีหน้าจอเยอะแยะหรือว่าล้ำยุคมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เมื่อสัมผัสพบเจอทันทีที่เขาไปนั่งคือความพรีเมี่ยมในการใช้งานวัสดุการตกแต่งรวมถึงการใช้งาน ตำแหน่งที่นั่งที่เตี้ยใกล้เคียงกับรถยนต์สปอร์ตทำให้ความรู้สนุกเวลานั่งขับมีความเตี้ยติดกับถนนพอสมควร ส่งผลให้ความรู้สึกเวลาขับขี่นั้นไม่เหมือนกับรถยนต์ Sedan ทำให้ตรงกับความตั้งใจของทาง MASERATI ที่พยายามทำให้รถยนต์นั้นมีความใกล้เคียงกับ Super Car นั้นเองครับห้องโดยสารนั้นแม้จะดูหลังคาภายนอกเตี้ย แต่เมื่อเข้ามานั่งกลับพบว่าออกแบบได้ดี การที่กดที่นั่งต่ำทำให้มีพื้นที่ใช้งานเยอะมากๆทั้งด้านหน้าและด้านหลังนั่งได้สบายไม่อึดอัด พื้นที่วางขา หรือว่าจะเป็นเหนือศรีษะทำออกมาตอบโจทย์ใช้งานอย่างลงตัว พวงมาลัยนั้นมาพร้อมทรงกลมเต็มรูปแบบไม่มีการตัดขอบอะไร รวมถึงปุ่มควบคุมทุกอย่างไว้บนพวงมาลัย และที่ชอบคือปุ่มควบคุมเครื่องเสียง หรือว่าจะเป็นเปลี่ยนแปลงอะไรพวกนี้จะอยู่หลังพวงมาลัยเวลาใช้งานสะดวกอย่างมากเลย

หน้าจอการใช้งานมีการเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่รองรับสัมผัสแบบเต็มรูปแบบ และเป็นหน้าจอแบบเต็มอัตราส่วนมากกว่าเดิม รองรับการควบคุมทุกอย่างในตัวรถ รวมถึงการเปลี่ยนอุณหภูมิต่างๆด้วยเช่นกัน รองรับการทำงานทั้งระบบนำทางติดรถ หรือจะเป็น Android Auto – Apple Carplay แบบใช้สายได้ทั้งหมดครับ ส่วนแผงด้านล่างนั้นเป็นการควบคุมแบบดั้งเดิม ใช้งานปุ่มปกติสำหรับใครที่ไม่คุ้นชินกับหน้าจอเท่าไรนั้นเอง ทางค่ายก็ยังใส่เข้ามาให้ด้วยเป็นแบบปุ่มทั่วไป แต่งานออกแบบส่วนปุ่มหรือวัสดุนั้นทำได้ธรรมดาไปอย่างมากเมื่อเทียบกับตัวรถ และตัวคันเกียร์นั้นมีความสูงมากๆที่แปลกตากับยุคใหม่ๆที่หลายๆค่ายจะทำให้เล็กและสั้น แต่คันนี้ยังคงมีความสูงยาวพอสมควรแอบดูโบราณไปนิดหน่อยครับแต่ก็เป็นแบบ Joystick นะครับและเข้าเกียร์ P โดยการกดลงไป ส่วนปุ่มควบคุมเครื่องเสียงก็ใส่มาให้อยู่ในด้านหลังคันเกียร์ด้วยเช่นกันครับ รวมถึงเบรกมือไฟฟ้า และ เปลี่ยนโหมดต่างๆ

การเข้าออกห้องโดยสารแม้จะเป็นรถที่ค่อนข้างเตี้ย แต่ด้วยประตูที่เปิดใช้งานได้กว้างทำให้การเข้าออกนั้นสบายกว่าที่คิดไว้รวมถึงตัวเบาะที่จะถอยต้อนรับเวลาเข้ารถทำให้ขึ้นลงได้สะดวก แม้พวงมาลัยนั้นจะไม่ได้ตัดขอบล่างก็ตามครับตัวเบาะสีแดงตัดกับสีดำทั้งหมดนี้เป็นออฟชั่นเสริม ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้รวมถึงการเลือกหนังที่มีคุณภาพความนุ่มมากกว่าตัวพื้นฐานด้วยครับ ตัวเบาะคู่หน้านั้นมีความโอบกระชับดีอย่างมากต่อการขับขี่ทางไกล รวมถึงการนั่งนานๆก็รองรับทั้งพนักพิง ศีรษะรวมถึงบริเวณหลังได้อย่างดีเบาะปรับไฟฟ้า พร้อมกับระบบหนุนด้านหลังทำได้ดีและมีการใส่โลโก้ตรีศูลเข้ามาตรงที่พิงศีรษะด้วย เป็นเบาะที่นั่งสบายอย่างมากในเรื่องความนุ่มกำลังดี และโอบกระชับทั้งในการขับขี่ความเร็วสูง นั่งขับในเมืองครับถือว่าออกแบบมารองรับได้หลากหลายทีเดียว ไม่ไหลแม้จะเข้าโค้งหนักๆก็ตาม บริเวณพื้นที่ส่วนวางขาอะไรทำได้ดีไม่มีการติดขา หรือคอนโซลไม่ได้เบียดขาแม้แต่น้อยครับ ถือว่าจัดการพื้นที่ได้ดี

ด้านหลังนั้นต้องยอมรับกันตามตรงว่าถ้าใครที่เน้นนั่งหลังหรือเป็นรถผู้บริหารอาจจะต้องดูกันดีๆเพราะรุ่นนี้ทำออกมาตอบโจทย์สำหรับคนชอบขับซะมากกว่าครับทำให้พื้นที่นั่งหลังอาจจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็นั่งได้ 2-3 คนกำลังดีสบายๆครับ เนื่องจากหลังคาที่เตี้ยและตัวรถต่ำทำให้ อุโมงค์กลางของตัวรถนั้นมีความสูงขึ้นมาเยอะจนคนนั่งกลางอาจจะไม่ถนัดเท่าไรนักนั้นเอง แต่ถ้ามองพื้นที่เหนือศีรษะนั้นพอไหวมีพื้นที่อยู่ 1 กำปั้นครับไม่ได้เยอะมากสำหรับคนสูง 180 ส่วนพื้นที่วางขานั้นกำลังดีมีพื้นที่ 1-2 กำปั้นได้เลย แต่ถ้าเน้นความโอ่โถงนั้นตัวนี้ไม่ตอบโจทย์เท่าไรครับ ตัวเบาะนั้นมีความหนานุ่มดีอย่างมากนั่งสบายโอบกระชับได้ดีเลยทีเดียว พร้อมกับพับเบาะได้ด้วย แต่พนังพิงจะไม่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้นะครับเป็นแบบ Fix เลย รุ่นนี้มีที่บังแดดหลังมาให้แต่เสียดายในราคานี้ไม่มีม่านข้างมาให้ครับอาจจะด้วยเป็นกระจกแบบ Frameless ทำให้ไม่มีตัวยึดกับม่านบังแดดด้านข้างสำหรับตอนหลังนั้นเองครับ

พนังพิงศรีษะด้านหลังนั้นจะยังคงใส่โลโก้เข้ามาสวยงามพอสมควรครับ รวมถึงมีตำแหน่งพอดีอย่างมากแต่จะไม่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้เลยเนื่องจากพื้นที่ และ การออกแบบนั้นเองครับแต่ถือว่าออกแบบมากำลังดีต่อคนนั่งหลังพอสมควร อีกทั้งในด้านหลังยังคงมีแอร์ตอนหลังมาให้แต่ในรุ่นนี้จะไม่มีการปรับอะไรมาให้สำหรับตอนหลังนะครับรวมถึงไม่มีช่องเสียบอะไรมาให้เลย ถ้าเทียบกับยุคนี้แล้วถ้าส่วนนี้มีที่เสียบ USB มาให้ จะเป็นอะไรที่ทันสมัยและได้ใช้งาน

ภายในยามค่ำคืนนั้นต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ที่ภายในยามค่ำคืนค่อนข้างมืด และไม่มีไฟ Ambient เลยแม้แต่น้อยครับซึ่งค่อนข้างแปลกตากว่ารุ่นอื่นๆพอสมควรในยุคนี้ที่หลายๆค่ายพยายามใส่ไฟเข้ามาให้เยอะมากๆในการตกแต่งทั้งเปลี่ยนสีอะไรต่างๆแต่รุ่นนี้กลับมีความเรียบง่ายสุดๆ เมื่อยามขับขี่นั้นจะมืดอย่างมากถือว่าเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องของการขับขี่จริงจังอย่างมาก แต่ถ้าใครที่ชอบความสวยงามยามค่ำคืน ตกแต่งไฟสวยๆนั้นรุ่นนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ ส่วนตัวแล้วแอบเสียดายจุดนี้พอสมควรเลยแหละ แต่ถ้าเวลาเปิดไฟใช้งานก็มีทั้งไฟส่องเท้า ไฟในห้องโดยสารอะไรมาให้ครบทั้งหน้าและหลัง เวลาเปิดประตูพวกนี้ แต่ถ้าเวลาขับรถนั้นจะมืดแบบในภาพแรกสุดเลยนั้นเอง

ยามค่ำคืนบริเวณห้องโดยสารนั้นจะเห็นว่ามีความสว่างใช้งานได้จริงทั้งหมดเมื่อเปิดประตู ทั้งไฟส่องเท้าและส่วนอื่นๆแต่น่าเสียดายไฟตกแต่งแค่นั้นเวลาใช้งานจริงตอนขับนั้นมืดมากๆเลยในรุ่นนี้ครับ ไฟในห้องโดยสารนั้นเป็นโทนสีขาวทั้งหมด ใช้ LED ทั้งหมดรวมถึงไฟส่องบริเวณที่วางเท้าในด้านหน้าด้วยเช่นกันครับมีมาให้ครบทุกชุดเลยในคันนี้ ก็ถือว่าเน้นความหรูหราชัดเจนในการใช้งาน ไม่เน้นความหวือหวามากนักเน้นตกแต่งวัสดุพรีเมี่ยม ลายไม้ด้านตัดกับแสงไฟปกติ ไม่มีไฟ Ambient อะไรเท่าไรนักทำให้คนขับได้จดจ่อกับท้องถนนให้ได้มากที่สุดก็เป็นไปได้ในแนวคิดนี้

ENGINE

เครื่องยนต์ในรุ่นที่เราได้อ่านในบทความรีวิวครั้งนี้จะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซลนะครับ ซึ่งใช้งาน เครื่องยนต์ดีเซล V6 ขนาด 3.0 ลิตร 2,987 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 พละกำลังสูงสุด 275 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 2,000 – 2,600 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง จับคู่เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ถือว่ามีความแรงพอสมควรแม้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลก็ตาม การขับเคลื่อนรุ่นนี้จะเป็นล้อหลังทั้งหมดครับ แน่นอนว่าพละกำลังการขับขี่นั้นถือว่าไว้ใจได้เลยทีเดียว การเปลี่ยนเกียร์อะไรทำได้ไวและนุ่มนวลยิ่งในช่วงออกตัวหรือว่าจะเป็นการทำความเร็วสูงสามารถเปลี่ยนและพุ่งทะยานได้ไวอย่างมากจนไม่นึกว่านี่เรากำลังขับเครื่องยนต์ดีเซลหรือไม่อย่างไรครับ ตัวเครื่องนอกจากพละกำลังที่ดีแล้วนั้นเรื่องของเสียงเครื่องยนต์หรือว่าเสียงท่อนั้นเป็นจุดเด่นของทาง MASERATI มาแค่ไหนแต่ไร ทำเสียงท่อ 4 ท่อออกมาได้ดุดันผู้ดีอย่างมาก และมีความหนักแน่นสะใจในโหมดสปอร์ตครับถือว่าค่ายนี้ยังทำได้ประทับใจคนที่รักการขับขี่ได้อย่างดี

แน่นอนว่าเครื่องยนต์ดีเซลแม้จะไม่ได้เร้าใจเท่าเบนซินแต่มันเหมาะสำหรับการใช้งานชีวิตประจำวันได้ดีจะขับแบบผู้ดีก็ทำได้หรือว่าจะสายซิงก็เปิดโหมด sport คันนี้ก็สามารถดึงเอกลักษณ์ของค่ายออกมาได้แบบจัดเต็ม ในยุคแรกๆ MASERATI จะค่อนข้างขับยาก เพราะเป็นรถยนต์ที่เป็นแนวสปอร์ตจัดๆเลย แต่ในครั้งนี้มันทำออกมาให้ขับง่ายขึ้น ตอยสนองได้ดีและควบคุมได้ง่าย แต่ยังแฝงความสปอร์ตดิบๆไว้ลึกๆครับ การขับขี่โดยรวมต้องบอกว่า Maserati Ghibli นั้นถือว่าเป็นรถยนต์ Sport Sedan ที่ขับได้สนุกมากคันนึงและขับแล้วมีความสนุกอย่างมากในโหมด sport สามารถพาเราซิ่งพร้อมกับช่วงล่างแบบแน่นๆ เกาะถนนได้ดีรวมถึงสามารถพาทะลุ 120 ได้แบบไม่ทันตั้งตัวได้เลยครับในเครื่องยนต์ตัวนี้  การเปลี่ยนเกียร์อะไรไวทันใจและต่อเนื่องเนียนๆทำให้การขับขี่ทางไกลนั้นสบายอย่างมาก พวงมาลัยนั้นมีความคม และแม่นยำเกือบหน้าตาและรูปร่างของตัวรถไปอีกขั้น รวมไปถึงการเก็บเสียงที่เก็บเสียงถนน ลมอะไรได้ดีชัดเจนมีความเงียบแบบผู้ดี แต่ยังคงให้เราได้ยินเสียงท่อจากท้ายรถเข้ามาอยู่ด้วยเช่นกันครับ จากที่ได้ทดสอบขับต้องบอกว่าขับสนุกจริงๆครับทั้งช่วงล่าง พละกำลัง และการควบคุมมันไปด้วยกันแบบไม่น่าเชื่อว่าเรากำลังขับรถยนต์ 4 ประตูรูปร่างใหญ่แบบนี้อยู่การควบคุมน้ำหนักมันกระฉับกระเฉงมากๆ ต้องบอกว่าคันนี้เหมาะสำหรับ รถครอบครัวที่คุณพ่อ สายซิ่ง ชอบการขับขี่สนุกแต่ยังอยากพาครอบครัวไปเที่ยวได้แบบลงตัวอย่างมากครับ

CONSUMPTION

อัตราการกินน้ำมันนั้นเนื่องจากคันนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลทำให้ในการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นมีความประหยัดอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันอื่นๆ และแม้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแต่มันก็ไม่ทำให้ผิดหวังใน สมรรถนะของตัวรถเลยแม้แต่น้อย ในการใช้งานจริงนั้นทดสอบการขับขี่ในโหมดปกติในการขับขี่ในเมือง เจอรถติดรวมถึงการใช้งานทั่วไปนั้น MASERATI GHIBLI DIESEL คันนี้สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองไปได้ประมาณ 10 KM/L ต่อการใช้งานในเมืองทั่วไปครับเมื่อมองว่าเป็น Diesel นั้นถือว่าทำได้ประทับใจพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนการใช้งานขับขี่ในโหมดปกตินอกเมืองแบบรถไม่ติดนั้นคันนี้จะสามารถทำได้ 12 KM/L เลยทีเดียวครับ แต่ถ้าเมื่อไรเราใช้งานโหมด SPORT แล้วนั้นและสลับกับการใช้โหมด Manual นิดหน่อยเวลาเล่นเกียร์ +/- แน่นอนว่าอัตราสิ้นเปลืองเวลาลากรอบหรือโหมดนี้ในการขับขี่เร็วๆนั้นจะกินน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจากที่คำนวณนั้นจะได้ประมาณ 8 KM/L ถือว่าถ้าใครสายซิงหรือขับขี่แบบโหดๆหน่อยจะได้ประมาณนี้ไม่ต่ำกว่านี้ครับผม สำหรับการขับขี่คันนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้ทั้งหมดเลย แต่ถ้าใช้งานทั่วไปนั้นจะได้ประมาณแตะ 10 KM/L ได้ไม่ยากครับสำหรับคนที่ใช้งานการขับขี่ทั่วไป

MASERATI GHIBLI DIESEL GRAN LUSSO 

” รถ Sedan สำหรับคนชอบการขับขี่สนุกแบบรถ Sport แต่พาครอบครัวไปเที่ยวได้ด้วย ! “

เป็นรถที่ใช้งานแล้วค่อนข้างติดใจจริงๆทั้งเรื่องของการขับขี่ ช่วงล่าง พละกำลังเครื่องยนต์ดีเซล รวมถึงการควบคุมที่ไม่เหมือนรถยนต์ 4 ประตูเลยแม้แต่น้อยการขับขี่มันกระชับและลงตัวอย่างมาก ไม่คิดว่าด้วยรูปทรงของตัวรถจะทำการขับขี่ได้ดีแบบนี้มาก่อนต้องบอกเลยว่า MASERATI ไม่ทำให้ผิดหวังสำหรับแบรนด์ที่ทำรถแข่งมาก่อนยังคงสามารถดึง DNA สายซิ่งมาสู่รถยนต์แบบนี้ได้แบบเต็มที่ทำให้การขับขี่นั้นสนุกไปอีกขั้น และตอบสนองได้ดีเกินคาด ถือว่าเป็นรถยนต์ที่อยากให้มาทดสอบลองขับแล้วจะพบความประทับใจจริงถ้าคนที่ชอบการขับขี่และรักการขับขี่แบรนด์นี้ต้องมองเป็นในตัวเลือกสำหรับรถยนต์ระดับนี้ครับ และด้วยการออกแบบที่สวยงาม ดูสวยนานทำให้คนที่ขับนั้นไม่รู้สึกตกรุ่นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งมีความหายากในท้องถนนด้วยจำนวนแต่ละปีนั้นน้อยมากๆด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ตอนสนองในแง่ของภาพลักษณ์การขับขี่ และ สมรรถนะได้ดี รวมถึงจอดรถยนต์ Super car ได้อีกด้วย ด้วยตัวแบรนด์ที่ดูแพง ดูพรีเมี่ยมแต่แท้จริงแล้วราคาเริ่มต้นแค่ 6.99 ล้านบาทเท่านั้นถือว่าจับต้องได้ง่ายอย่างมากครับ แต่หลายๆคนอาจจะไม่ทราบกันในเรื่องราคานี้ แต่มันก็มีจุดที่ขัดใจ เช่นด้วยที่ตัวรถออกมานานแล้ว ในเรื่องของความล้ำสมัยในส่วนของภายในนั้นยังไม่จัดเต็มเท่าที่ควร รวมถึงพื้นที่เบาะหลังอาจจะไม่โอ่โถงเท่าไรนักด้วยครับ

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้รีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares