Huawei ได้ทำการเปิดตัวเรือธงประจำปลายปีในรุ่น Mate 30 Pro ไปแล้วในประเทศไทยท่ามกลางกระแสที่โดนแบนเกี่ยวกับ Google ครับและแน่นอนว่าก่อนจะไปอ่านกันต้องเข้าใจกันก่อนเลยว่าในตอนนี้ Google ยังไม่สามารถใช้งานได้นะครับแต่อนาคตไม่แน่อาจจะใช้ได้กันปกติแล้ว และในรีวิวนี้เราจะรีวิวในการใช้งานจริงๆ แบบไม่ได้รูท หรือลงอะไรพิเศษครับ คือลองกันสดๆไปเลยถ้าถ้าคนซื้อไปแบบลงอะไรไม่เป็น ได้แค่ลง APK อะไรพวกนั้นจะเป็นยังไง ส่วนในรุ่นนี้ต้องบอกว่ามันลงตัวในหลายๆเรื่องทั้งการออกแบบ กล้องหลัง รวมถึงฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามา จะเป็นยังไงไปชมกันเลยครับ

Huawei Mate 30 Pro นั้นเปิดตัวมาด้วยจุดเด่นที่จัดเต็มไปหมดตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาหลายๆส่วน ทางด้าน CPU มาพร้อม Kirin 990 และ  RAM 8GB STORAGE 256  หน้าจอมาพร้อมกับ 6.53 นิ้ว OLED, Horizon Display 2,400 x 1,176 resolution รองรับการชาร์จไร้สาย 27W และ ชาร์จย้อนกลับ มาพร้อมกับความจุ 4,500mAh และ SuperCharge 40W และที่ใส่เข้ามาเป็นครั้งแรกคือ Gestures control สำหรับการควบคุมผ่านอากาศด้านหน้า ด้วยมือ แต่เรื่องกล้องนั้นยังคงจัดเต็ม และ งานวีดีโอนั้นพัฒนาขึ้น รุ่นนี้จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Huawei ที่สามารถถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60fps และสามารถถ่าย slow-mo ได่ถึง 7,680fps ที่ 720p อีกทั้งยังถ่าย time lapse ที่ 4K ได้โดยมี HDR+ และในการถ่ายแบบแสงน้อยการถ่ายวิดีโอสามารถเปิด ISO สูงสุดได้ถึง 52,000 เยอะมากครับ กล้องภาพนิ่งนั้นจะเป็น  Super Sensing 40MP จากรุ่น P30 Pro แล้วมันยังได้เลนส์กว้าง 40MP เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย โดยมันถูกเรียกว่า cine camera ซึ่งทั้งคู่จะใช้เซนเซอร์ ToF แบบ 3D สำหรับเรนเดอร์ bokeh ในการถ่ายวิดิโอ กล้องหลังตัวที่สามจะมีความละเอียด 8MP ที่ซูมแบบ optical ได้ 3x (ระยะโฟกัส 80mm) และซูมแบบ hybrid ได้ 5x ส่วนของกล้อง 2 ตัวที่มีความละเอียด 40MP นั้นทั้งคู่มีขนาดกล้องที่ใหญ่และรูรับแสงที่เปิดกว้าง โดยตัวหลักจะมีเซนเซอร์ 1/1.7″ (f/1.6) และตัว cine camera มีเซนเซอร์ 1/1.54″ (f/1.8)

Huawei Mate 30 Pro ในประเทศไทยนั้นเปิดตัวมาด้วยเป็นรุ่นรองรับ 4G ให้แรม 8GB ความจุ 256GB แถม ประกันเครื่อง 2 ปี เปิดตัว 28,990 บาท มาพร้อมสี Space Silver และ Black 

UNBOX

  • ตัวเครื่อง Mate 30 Pro
  • หูฟัง USB-C
  • ที่ชาร์จรองรับ 40W
  • สายชาร์จรองรับ 40W USB-C
  • คู่มือที่จิ้มซิม
  • เคสใสแข็ง แต่ในภาพไม่มีนะครับ **

DESIGN

ทางด้านการออกแบบนั้นต้องบอกว่าในรุ่นนี้จากที่เห็นภาพหลุดคือไม่สวยเลย พูดกันตรงๆไม่ชอบคือการมีวงแหวนรอบๆกล้องที่ใหญ่เหมือนฝาเครื่องซักผ้าครับ แต่พอเห็นของจริงมันกลับทำได้ดีเพราะด้วยวัสดุการเล่นสีของมันเนื่องจากในภาพเรนเดอร์นั้นมันอาจจะไม่เงาสวยเล่นแสงได้ดีเท่าของจริง เลยเห็นขอจริงมันกลับลงตัวขึ้นเยอะ ส่วนความบางเบานั้นก็ถือว่ากลางๆรับได้และหน้าจอขอบโค้งสุดๆทำให้การจับถือทำได้ยากไปนิดต้องระวังตามขอบพอสมควรครับ แต่เรื่องวัสดุที่เอามาใช้งานนั้นทำได้ดีและสมมาตรในหลายๆมุมของตัวเครื่องเลย อันนี้ค่อนข้างทำได้ดี

หน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเต็มๆขอบโค้งสุดๆ แต่มันยังมีติ่งหน้าจออยู่ โดยหน้าจอนั้นมาที่ ห 6.53 นิ้วที่โค้งด้านข้างถึง 88 องศาที่ Huawei เรียกว่า Horizon Display โดยเป็นหน้าจอแบบ OLED (1,176 x 2,400px) นอกจากนี้ปุ่มด้านข้าง เพิ่มลดเสียง ยังถูกเปลี่ยนเป็นแบบ virtual เลยด้วยครับจะเป็นยังไงไปดูกันต่อ

ขอบด้านล่างนั้นทำได้บางขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้บางสุดแบบขอบข้างๆครับ ปุ่มควบคุมนั้นใช้งานแบบ Gesture ทั้งหมดแล้ว เลยทำให้มันสุดขอบได้สบายๆครับ

ส่วนขอบหน้าจอส่วนบนนั้นจะเห็นว่าข้างๆติ่งนั้นทำได้บาง แต่ตรงตัวติ่งหน้าจอนั้นเองยังเกะกะอยู่เล็กน้อย แต่ที่ต้องมีเพราะมันต้องใส่ สแกนใบหน้าและกล้องหน้า 32MP รวมถึงตัวเซนเซอร์การจับ Gesture ควบคุมผ่านอากาศนั้นเอง ลำโพงสนทนาไม่มีเพราะเป็นการฝังเอาไว้ใต้จอครับ

ขอบเครื่องด้านขวายังคงมีปุ่ม Power อยู่ครับแต่ซ่อนไปสุดขอบมากๆสีแดงสดๆ แต่ที่หายไปคือปุ่มเพิ่มลดเสียง ซึ่งจะใช้งานแตะขอบหน้าจอแทนครับในการสั่งงานหรือแตะขอบเครื่องนั้นเองและรูดขึ้นลงได้เลยทั้ง 2 ข้างเลยนั้นเอง

ในด้านนี้จะเห็นว่าไม่มีอะไรเลย หน้าจอออกมาสุดขอบจริงๆ ปุ่มเพิ่มลดเสียง ซึ่งจะใช้งานแตะขอบหน้าจอแทนครับในการสั่งงานหรือแตะขอบเครื่องนั้นเองและรูดขึ้นลงได้เลยทั้ง 2 ข้างเลยนั้นเอง ในขอบส่วนบน หน้าจอเท่านั้นนะครับ

ในด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของซิมแบบ DualSIM และรองรับ Nmcard ของ Huawei ในการเพิ่มความจุ และ รูไมค์ รู USB-C รวมถึงลำโพงหลักของเครื่องอยู่ในด้านล่างครับ ในรุ่นนี้จะเป็นลำโพงเดี่ยวแล้วนั้นเอง

ในด้านบนนั้นจะไม่มีรูหูฟังอะไรทั้งนั้นแต่จะเป็น รูไมค์ และ รู IR สำหรับการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นเองครับ และชอบที่การออกแบบมันสมมาตรและเรียบๆ ทำให้รุ่นนี้สามารถวางเครื่องแนวตั้งได้แบบสบายๆ

กล้องหลังนั้นจะเป็นการออกแบบทรงวงกลม และวางกล้อง 4 มุม แต่ส่วนไฟแฟลชนั้นจะแยกออกไป รวมถึงตัวเซนเซอร์วัดแสงต่างๆนั้นจะไปวางข้างบน และมีเขียนระยะเลนส์ และแปะชื่อ Leica นั้นเอง ส่วนไฟแฟลชนั้นไม่ใช่ Xenon นะครับเป็นแค่แฟลชปกติเลย เสียดายมากๆ คิดว่าจะรูปทรงแบบนั้นจะได้ไฟแฟลช Xenon มาซะแล้ว กล้องหลัก Super Sensing 40MP 1/1.7″ (f/1.6)  / เลนส์กว้าง 40MP cine camera  1/1.54″ (f/1.8) ซึ่งทั้งคู่จะใช้เซนเซอร์ ToF แบบ 3D สำหรับเรนเดอร์ bokeh ในการถ่ายวิดิโอ กล้องหลังตัวที่สามจะมีความละเอียด 8MP ที่ซูมแบบ optical ได้ 3x (ระยะโฟกัส 80mm) และซูมแบบ hybrid ได้ 5x

ฝาหลังนั้นจะเห็นว่ามันมีการเล่นสีแสงที่เงาสวยงามมากๆครับและไล่เฉดเบาๆ สีเงินอมม่วง และตรงรอบกล้องนั้นจะเป็นการเล่นปัดลายวงกลมรอบกล้องก็เล่นกับแสงได้ดี วัสดุงานประกอบอะไรทำได้เนียนและสวยครับ ไม่หนาไม่หนักเกินไปด้วย ส่วนการสแกนนิ้วนั้นจะไปอยู่บนหน้าจอทั้งหมดแล้ว การวางกล้องแบบนี้แอบนึกถึงรุ่นเก่าๆแบบ Nokia

SPEC

  • หน้าจอแสดงผล Flex OLED ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด
    2400 x 1176 
    พิกเซล อัตราส่วน 18.4:9 รองรับ HDR10
  • CPU Kirin 990 Octa Core  2.86 GHz
  • GPU Mali-G76 MP16
  • RAM 8GB
  • STORAGE 256GB (UFS 3.0)
  • กล้องหลัง 4 ตัว เป็น เลนส์ Ultrawide 40 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 // Super Sensing  40 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.6 + OIS // Telephoto  8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 +OIS  /เลนส์ 3D Depth Sensing
  • ISO 409600 // ถ่ายวิดีโอ 4K 60fps รองรับ HDR+ / Slow-mo 7680fps
  • กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
  • ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย EMUI 10
  • **ไม่มี Playstore / Google Service 
  • กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
  • สแกนนิ้วบนหน้าจอ + ฟีเจอร์สแกนใบหน้า
  • แบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh รองรับ Fast Charge 40W, Fast Wireless Charge 27W + Reverse Wireless Charging

PERFORMANCE

ทางด้านประสิทธิภาพนั้นรุ่นนี้ต้องบอกว่าแรงอีกรุ่นที่ใช้งาน CPU Kirin 990 Octa Core  2.86 GHz +GPU Mali-G76 MP16 แน่นอนว่าเรื่องความแรงนั้นทำได้ดีอยู่แล้วทำคะแนน Geekbench ไปที่ 768 2964 และ ในด้านหน่วยความจำเป็น UFS 3.0 ทำการอ่านเขียนไปที่ 1462 / 228 ครับ เขียนจะน้อยหน่อย ส่วน Antutu ทำได้ 425416 และในด้านของความปลอดภัยอะไร Divevine ไม่มีการโชว์เลย และ ลงแอพ Netflix อะไรก็เปิดไม่ได้นะ

SYSTEM UI

ทางด้านหน้าตา ยังดีว่ายังใช้งาน Android 10 ครับเลยยังพอใช้งานได้ไม่เลวร้ายไปซะทีเดียว แต่ที่ชอบคือ UI หน้าตา EMUI ไม่รกแล้วแต่ตัวแอพไอคอนก็ยังแอบจีนๆอยู่บ้างครับ ไม่มีเลขมุมแอพ ไม่มี Appdrawer และ การแจ้งเตือนไม่เด้งเลยครับถ้าใช้งานพวก Facebook หรือ แอพอื่นๆที่ลงเพิ่มคือไม่เห็นแจ้งเตือนเลยไม่เด้งเลย

หน้าตา Quick setting ลากลงมา อะไรปกติครับมีการเปลี่ยนหน้าตาไอคอนที่เรียบและสวยงามขึ้น รองรับการปรับแต่งมากมาย และสามารถใช้งาน 2 หน้าจอได้ครับสามารถเลือกแอพอะไรได้ปกติเลย แบ่งหน้าจอได้เอาข้อนิ้วลากแบ่งหน้าจอ หรือ เวลากดเคลียร์แอพและกดแบ่งหน้าจอได้ครับ

คีย์บอร์ดนั้นยังคงใช้ของ SwiftKey ครับรองรับภาษาไทยปกติ เมนูไทยมีในเครื่องปกติครับ หน่วยความจำ 128GB นั้นเหลือใช้งาน 110GB ประมาณ ซึ่งตัวขายจริงจะ 256GB นะครับ**  และ RAM 8GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ 4GB ครึ่งๆของที่ให้มาครับ

การสแกนนิ้วบนหน้าจอ สแกนใบหน้านั้นให้มาครบสามารถทำงานได้ดีทั้งคู่ แอปสามารถโคลนอะไรได้ปกติ และ Gesture รองรับเหมือนเดิมทั้งตอนปิด หรือ เปิดหน้าจอ การใช้ข้อนิ้วเคาะก็ยังมีมาให้ครบๆครับเหมือนรุ่นก่อนหน้า

Gesture ในอากาศตัวนี้มาใหม่ !! รองรับการทำงานสั่งงานด้วยมือ ทำได้ 3 อย่างหลักๆคือ แคปหน้าจอ / เลื่อนขึ้น / เลื่อนลง โดยจะใช้งานได้ตอนแสงสว่างเพียงพอ แต่ถ้ามืดๆกลางคืนนั้นหมดสิทธ์ และรองรับปากกาด้วยนะของ M-Pen ครับใช้ได้ทั้งหมดเลยเอาของ Mateก่อนหน้ามาใช้ก็ได้เช่นกัน รวมถึงตัวควบคุมก็ปรับเปลี่ยนได้3แบบครับ

แอปพื้นฐานที่ให้มาก็ทั้งควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือจะเป็น Notes รวมถึงการวัดแบบ AR ก็รองรับด้วยเช่นกันครับ

THEME 

ธีมตัวนี้รองรับการเปลี่ยนปรับแต่งหลากหลายมีทั้งเสียตังค์และไม่เสียเงินปรับได้หลักๆคือ ฟอนต์ หน้าตาแอป พื้นหลัง และ Always On Display ครับซึ่งถือว่าในรุ่นก่อนๆนั้นปรับอะไรได้ไม่เยอะในหน้าจอนี้แต่ครั้งนี้ก็ปรับได้หลากหลาย

APP APK PURE ใช้โหลดแอพหลักๆ ใช้ Google Maps ได้ แต่ …….

มันไม่มี Playstore !!! ไม่มีแอพให้โหลดเลยแล้วทำยังไง ? ก็สามารถโหลด APK ได้อยู่เพราะมันยังใช้ Android อันนี้ถือว่าเป็นข้อดีเลยแหละ กดลงอะไรได้เกือบทุกแอพที่มีเลยแหละ แต่มันก็ไม่ได้สบายไปซะทีเดียวเพราะการลง

  • APK นั้นมีความเสี่ยงคือเราไม่รู้ว่ามันแฝงอะไรมาบ้าง !
  • APK พัฒนาเพื่อรองรับ GMS ทำให้แอปโหลดได้ลงได้แต่เข้าไม่ได้ ไม่รองรับมีเยอะมาก
  • ใครซื้อแอพหรือซื้ออะไรในแอพไว้ มาเครื่องนี้คือหายหมดนะครับเพราะมันไม่มี Google บัญชีของเรา! 
  • แอพที่โหลดมาแต่ใช้ข้อมูลของ Google เช่นแอพนำทาง หรือพวกสั่งของ Grab พวกนี้จะใช้งานแผนที่ไม่ได้
  • All Member หรือ Netflix และแอปอีกหลายๆตัวก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึง Line และ ROV  // AIS Play // True ID // IFLIX ก็ไม่ได้เช่นกัน 
  • แต่พวกแอป Facebook / IG / Spotify / Joox / WhatsApp พวกนี้สามารถใช้งานได้ปกติครับ
  • Youtube สามารถใช้งานได้ผ่านพวก Tubemate ครับ
แต่ยังพอมีหวังนิดหน่อยคือ Google Chrome / Google Maps ใช้งานได้แต่ไม่ครบทุกฟีเจอร์
ซึ่งอันนี้เราลองแบบไม่ปรับแต่ง ลงอะไรเองนะครับ คือซื้อมาใช้งานกันเลยแบบไม่ต้องไปลง GMS อะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าใครลงเองพอทำได้ก็จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ 

APP GALLARY ติดเครื่อง แทน Playstore 

ในส่วนของ APP Gallary นั้นต้องบอกว่ามันมาแทน Playstore แต่ต้องขอพูดกันตรงๆเลยว่ายังค่อนข้างห่างไกลมากๆ แอปยังน้อย และ แอปที่ใช้งานทุกวันนั้ยังหาไม่ได้เลยครับ ทั้งพวก Social / ฟังเพลง / Netflix อะไรพวกนั้นไม่มีเลย รวมถึงตัวแอปเกมก็ไม่เจอเลยนั้นเองต้องพูดเลยว่า แอปที่นิยมในไทยนั้นยังน้อยมากๆ จะมีแค่ Lazada KBank Tiktok ที่ยังพอมีมาให้ครับ แต่อนาคตนั้นยังคงมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและทาง Huawei เองก็ทราบจุดนี้ครับ

SCREEN 

ทางด้านหน้าจอนั้นมาพร้อมหน้าจอ 6.53 นิ้วที่โค้งด้านข้างถึง 88 องศาที่ Huawei เรียกว่า Horizon Display โดยเป็นหน้าจอแบบ OLED FHD+ (1,176 x 2,400px) นอกจากนี้ปุ่มด้านข้างยังถูกเปลี่ยนเป็นแบบ virtual หน้าจอรองรับ HDR ปกติครับในเรื่องของคุณภาพนั้นไม่มีปัญหาอะไรแต่อย่างใดสามารถรองรับมุมมองได้ดีสีสันสวยงามและมีมิติ แต่ยังเป็น FHD+ 60Hz อยู่นั้นเองเมื่อเทียบราคายังแอบธรรมดาไปหน่อย แต่ก็ได้หน้าจอแบบขอบโค้งสุดๆ 88 องศามาให้ใช้งานกันทำให้ขอบเครื่องนั้นดูบางและไร้ขอบ แต่การใช้งานต้องระวังกันนิดหน่อย และตัวฟิล์มอาจจะหายากและติดยากกันพอสมควรครับ  การสัมผัสอะไรไวแบบปกติของค่ายนี้แต่ติดนิ้วยังไม่เท่าไรครับ

ALWAYS ON DISPLAY 

ก็มีมาให้แล้วรองรับการปรับแต่งได้หลากหลายมากขึ้นเยอะ และสามารถติดตลอดเวลาได้เห็นได้ชัดเจนและปรับแต่งแบบของตัวเองได้หรือจะหาซื้อใน ธีมก็ได้เช่นกัครับ ส่วนหน้าจอนี้จะสามารถสแกนนิ้วได้เมื่อมีสัญลักษณ์ติดขึ้นมา

VOLUME BUTTON 

ปุ่มเพิ่มลดเสียงนั้นหายไปแล้ว หลายเป็นปุ่มบนหน้าจอแทน มีมาให้ทั้ง 2ข้างแล้วแต่เราจะใช้ข้างไหนครับ และใช้งานได้แค่ส่วนขอบด้านบนเท่านั้นนะ ซึ่งในการใช้งานนั้นไม่ยาก เราสามารถแตะ 2 ครั้งในส่วนขอบข้างที่จะใช้ แล้วใช้นิ้วรูดขอบเครื่องได้เลยว่าจะลดเพิ่มเสียง และเมื่อใช้งานแนวนอนก็ใช้ตำแหน่งเดียวกันกันในภาพปกติครับ ในการใช้งานจริงๆก็ต้องปรับตัวเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้ยากหรือเอ๋ออะไรครับ แต่จะลำบากนิดหน่อยถ้าต้องลดเสียงไวๆหรือเวลาจอดับ

FINGERPRINT 

การสแกนนิ้วนั้นในรุ่นนี้ใช้สแกนนิ้วหน้าจอเหมือนรุ่น P30 Pro และยังคงเป็นโทนสีเขียวครับ ส่วนด้านการสแกนนิ้วนั้นเป็นสแกนนิ้วแบบหน้าจอแบบ  Optical  เหมือนในรุ่นอื่นๆการใช้งานนั้นถือว่าทำได้ไวเหมือนกันนะเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในระบบเดียวกันแม้อาจจะไม่ใช่แบบ Ultrasonic ซึ่งจะแตกต่างกันในด้านความเร็ว และ การใช้งานแบบมือเปียกนั้นเองครับ ถือว่าเป็นจุดที่ดีและใช้งานได้โอเคกว่าที่คิดเลยแหละ ใช้งานได้ขณะจอปิดและสามารถแตะได้เลยครับไม่ต้องกดปุ่มเปิดเครื่องก่อน ส่วนความไวนั้นยังคงทำได้ดี แต่รู้สึกว่าไม่ได้แตกต่างกับรุ่น P30 Pro ก่อนหน้าชัดมากนัก

SHUTTER BUTTON 

อันนี้ก็ถือว่าเป็นจุดดีที่ใช้งานขอบหน้าจอแบบโค้งสุดขอบ เพราะมันสามารถมีปุ่มชัตเตอร์แบบที่เราคุ้นเคยได้ตรงขอบหน้าจอครับทำให้เวลาเราถ่ายนั้นก็เอานิ้วแตะขอบหน้าจอได้เลย และปุ่มนี้สามารถเลื่อนไปตำแหน่งอื่นๆได้เลยแล้วแต่เราชอบครับ และการทำงานนั้นทำได้ไวเหมือนกับปุ่มปกติเลย แต่แค่ไม่มีระบบสั่นอะไรตอบสนองเท่านั้นเอง

Air Gesture Sensor

ในการควบคุมสั่งงานด้วยมือแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เป็นฟีเจอร์ที่หลายๆค่ายใส่เข้ามาในปีนี้ ทั้ง Pixel / LG ครับแต่ละรุ่นก็ทำงานแตกต่างกันไป ในรุ่นนี้ก็ใช้เซนเซอร์ตรวจจับพิเศษ แต่ก็ใช้งานในที่แสงน้อยลำบากพอสมควร ยิ่งถ้าที่มืดนั้นจะไม่ทำงานเลยครับ ส่วนการสั่งงานนั้นต้องบอกว่ายังน้อยไปมากกก แต่ก็รองรับทุกแอปครับ และทุกประเทศ ไม่เหมือนของ Pixel ที่เน้นบางแอปและบางประเทศ เพราะการทำงานคนละแบบกันเลย

ในส่วนของ Huawei นั้นจะทำได้ 3 แบบ คือ

  • แคปหน้าจอ โดยการ แบมือและกำมันก็จะถ่ายหน้าจอได้
  • เลื่อนลง แบมือเข้ามือถือและปัดลง มันจะเลื่อนให้เลย
  • เลื่อนลง คว่ำมือใส่หน้าจอ และ ปัดขึ้น มันก็จะปัดหน้าจอขึ้นให้ โดยที่เราไม่ต้องแตะหน้าจอ

จะเห็นสัญลักษณ์ว่ามันทำงานได้ไหมนั้นเองครับแต่ขอบอกกันตรงๆว่าฟีเจอร์ยังน้อยมากกกกก ใช้งานได้จริงน้อยมาก ใช้บ่อยสุดคือแคปหน้าจอครับ จริงๆอยากให้มีเปลี่ยนเพลง ปัดซ้ายขวา ซูมเข้าออก หรือ คำสั่งเสียงได้ท่าทางที่เยอะขึ้นจะดีกว่านี้มากๆครับ

SOUND 

นเรื่องของเสียงนั้นเป็นอีกจุดที่ทางค่ายนี้อาจจะไม่ได้เน้นอะไรมากครับทั้งในด้านลำโพง และ หูฟัง ในรุ่นนี้ไม่มีรู 3.5มม.แล้วครับมาพร้อมหูฟังแบบ Type-C และผมไม่เห็นตัวแปลงมาให้นะครับในรุ่นนี้ ส่วนเรื่องของเสียงนั้นในเรื่องของ Software กันก่อนมีตัวปรับเสียง Dolby Atmos มาให้ครับสำหรับเสียงดูหนัง เล่นเกมต่างๆเสียงยังคงคล้ายๆรุ่มเดิมไม่ได้โดดเด่นมากนัก เสียงกลางๆ กำลังขับกลางๆครับ เบสพอมีฟังสนุก เสียงร้องชัด เสียงแหลมเด่นและแอบจัดไปหน่อย การที่ตัดรู 3.5มม.ออกไปนั้นก็น่าเสียดายไปนิดหน่อยแต่คงจะพยายามดันไร้สายเข้ามามากขึ้นครับ แต่ถ้าสายฟังเพลงนั้นก็สามารถหา DAC ตัวแปลงอะไรมาต่อเพิ่มได้สำหรับฟังเสียง 3.5มม. และ คุณภาพเสียงจะดีขึ้นแล้วแต่ DAC ที่เข้ามาต่อได้เลยครับก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับสายฟังเพลง

ทางด้านหูฟังในรุ่นนี้เป็นหูฟังทรงเดียวกับในตัว Mate 20 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับทั้งรูปทรงรวมถึงคุณภาพเสียงนั้นเป็นแบบเดียวกันเลย มีตัวควบคุมมาให้ในการรับสาย ไมค์ รวมถึงเพิ่ม-ลดเสียงครับ  สายทั้ง 2 ข้างยาวเท่ากัน หูฟังตัวนี้เสียงออกกลางๆ เบสไม่แน่น เสียงโทนสูงแหลม โปร่งๆ ไม่ได้เด่นในเรื่องฟังเพลงมากนัก แต่ดีตรงที่ใส่สบายเวลาออกกำลังหรือไปข้างนอกวิ่งพวกนี้ ไม่ร้อนหูแบบพวก inear ค่อนข้างเบา และไม่แน่นเกินไป คุณภาพเสียงเลยลองลงมาเน้นใช้งานคุยโทรศัพท์หรือคนที่ไม่ได้เน้นอะไรมากก็พอไหว หรือใช้เวลาออกกำลังก็จะทำได้ดีครับผมฟังนานๆไม่ล้าเท่าไรแต่แอบไม่ชอบมันติดแหลมไปนิดครับในส่วนของหูฟังแถมในกล่อง

SPEAKER

ลำโพงในรุ่นนี้น่าเสียดายมากๆมันมาแค่ลำโพงเดี่ยว น่าจะเป็นที่ต้องการลดขอบด้านบนให้มันบางๆเลยต้องทำใจตัดมันออกไปครับผม ลำโพงในรุ่นนี้เป็นลำโพงเดี่ยวที่ ทำได้ดังอยู่ แต่เมื่อมาเทียบสมัยนี้ที่ทุกค่ายต่างเน้นลำโพง บ้าลำโพงใส่จัดเต็มกันมาเรื่อยๆ ความดังสะใจกันเรื่อยๆเลยทำให้ Mate 30 Pro ลำโพงด้อยกว่ารุ่นอื่นแบบชัดเจน ทั้งเรื่องของความดัง และ ตอนแยกซ้ายขวา หรือ เวทีเสียงอาจจะสู้ไม่ได้ครับ แต่ก็พอใช้งานทั่วไปได้ เวลาเสียงเรียกเข้าฟังเพลง แต่ถ้ามีเสียงมิติเสียงเยอะๆ หรือ เล่นเกม ดูหนังนั้นจะดรอปลงเยอะมากๆเสียงจะอู้ๆไม่เหมือนตัวอื่นครับ

GPS

ในเรื่องของ GPS การใช้งานมันก็ดีขึ้นเยอะมากครับจากที่แต่ก่อนนั้นค่ายนี้ชอบโดนบ่นกัน จากที่ลองทดสอบใช้งานจริงรวมถึงในแอพนะครับ ถือว่าทำได้ดีมากๆไม่ค่อยเจอค่ายไหน จับได้ เท่ากับจำนวนที่เจอแบบนี้มาก่อนเลยนะถือว่าโหดมากๆจำนวนที่จับได้เจอ 52 จับได้ 39 และ เจอ 52 จับได้ 49 ประมาณนี้ สถานะเหลือง+เขียวค่อนข้างดีและนิ่งครับในการนำทางจริงๆนั้นไม่เจอปัญหาหลุดอะไร นำทางจัดได้ว่าโอเคและไม่ใช่จุดอ่อนแล้วนะครับ ถือว่าไว้ใจได้แล้วในการนำทาง สบายๆเลยครับจับได้เยอะมากๆเท่ากับจำนวนที่เจอเลยแหละ แต่รุ่นนี้มันไม่มี GMS ทำให้การใช้นำทางใน Maps นั้นจะหน่วงและจับได้ช้ากว่าปกติ ในการเปิดแอพแรกๆครับ แต่ถ้าใช้ไปซักพักก็ปกติ

BATTERY

ตัวแบตนั้นแน่นอนว่า KIRIN นั้นทำมาได้ดีตลอดๆในรุ่นก่อนหน้าครับ และด้วยการใช้  990 ตัวใหม่ยิ่งช่วยในเรื่องนี้ได้สบายและแน่นอนตัวจอ FullHD+ ก็มีส่วนช่วยด้วยรวมถึงความจุแบต 4,500 จัดหนักจัดเต็มใช้ยังไงก็ไม่หมดง่ายๆ และครั้งนี้รองรับ 40W ทำให้ชาร์จไวมากๆ และ ไร้สายก็ไวมากๆ 27W ครับทำให้สามารถใช้ทั้งวันได้แบบสบายๆ แอดมินใช้ทั้งหมด 12 ชั่วโมง หน้าจอเปิดไปทั้งหมด 4 ชั่วโมง เน้นใช้งานคือ เล่นเกม โซเชียล และ นำทาง หนักๆเลย จริงๆจากที่ลองมาหลายๆตัวเรื่องของอายุการใช้งานแบตค่ายนี้ไว้ใจได้เสมอจากที่ลองๆมาในหลายๆรุ่น Kirin  ค่อนข้างประหยัดแบตพอสมควรครับในรุ่นหลังๆ แต่รุ่นนี้แอบลงไวกว่าตัว P30 Pro ก่อนหน้าแบบรู้สึกได้ครับ

GAMING 

ตัวเกมถ้าเดิมๆเลยแบบไม่ได้ลง Google Service นั้นจะไม่สามารถเล่น ROV Freefire หรือ Fornite ได้นะครับ เเน่นอนว่าในเรื่องของการเล่นรุ่นนี้หลังจากที่ได้ทดสอบต้องบอกว่าเล่นเกมได้ลื่นไหลสบายๆ เเต่ข้อสังเกตุของมือถือรุ่นนี้ก็คือจะไม่รองรับในส่วนของ Google Service ซึ่งเเน่นอนว่ามีผลอย่างแน่นอนเพราะว่าหลายเกมเท่าที่ทดสอบในมือถือรุ่นนี้จะไม่รองรับ อย่างเช่น ROV จะไม่สามารถเล่นได้ ส่วนในเรื่องของอุณหภูมิตัวเครื่องต้องบอกว่าคุ้มความร้อนได้ดีมากๆ เท่าที่ทดสอบสูงสุดจะอยู่ประมาณ 40 องศา ส่วนแบตเตอรี่ในการเล่นเกม 30 นาที จะกินเเบตไป 7% ครับ

CAMERA 

ในเรื่องของกล้องหลังนั้นในรุ่นนี้พัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิมยังคงใช้กล้อง 40MP ตัวเทพของค่ายอยู่แต่เสริมมาด้วยเลนส์มุมกว้าง 40MP เข้ามาอีกตัวครับ แบ่งเป็น กล้องหลักมุมกว้างปกติ ความละเอียด 40MP f/1.6 พร้อม OIS  SuperSensing Camera และเสริมด้วย กล้องมุมกว้างพิเศษ ความละเอียด 40MP 1/1.8  กล้องซูม 3X ความละเอียด 8MP f/2.4 พร้อม OIS และ เซนเซอร์ Time-of-Flight TOF สำหรับวัดระยะลึก แน่นอนว่ารุ่นนี้จะไม่มีกล้องซูมเทพแบบ P30 Pro แล้วครับ เลยทำให้ซูมสูงสุด 30X เท่านั้น ส่วนในเรื่องของฟีเจอร์การถ่ายก็ยังคงให้มาค่อนข้างครบและในเรื่องของการถ่ายกลางคือ รวมถึงการถ่าย Portrait ก็มีฟีเจอร์ให้ค่อนข้างครบ และการพัฒนาโหมดกล้องนั้นก็ทำได้ไม่เวอร์ไม่หลอกตาแบบรุ่นก่อนแล้ว และ มีปุ่มชัตเตอร์ขอบเครื่องมาด้วยในครั้งนี้ครับผม

SELFIES

ในส่วนของกล้องหน้า 32MP มาคู่กับ 3D camera และ มาพร้อมกับรูรับแสง F2.0 แต่ยังคงเป็นติ่งหน้าจออยู่ครับในเรื่องของกล้องหน้านั้น ถ้าหากใครจำกันได้ค่ายนี้หน้าเนียนเวอร์และขาวเวอร์ๆตลอดแต่ครั้งนี้ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่หลอกตาน่ากลัวเท่าไร แต่ก็ยังคงมีความเนียนอยู่เยอะพอสมควรถ้าเทียบกับกล้องอื่นๆครับ แต่ก็อยู่ในระดับที่สมจริงระดับนึงและเนียนไม่หลอกตาแม้จะปิดโหมดหน้าสวยแล้วก็ตาม ส่วนมุมมองกล้องกำลังดีในการถ่ายภาพนิ่งครับผม

VIDEO 

การถ่ายวีดีโอในรุ่นนี้รองรับได้เยอะกว่าเดิมและน่าจะเยอะสุดแล้วตั้งแต่ Huawei ทำมาครับครั้งนี้รองรับ 4K 60FPS30FPS //FHD 60FPS  30FPS และ สามารถถ่ายมุมกว้างได้ทุกความละเอียด และซูมสูงสุด10X และกันสั่นทำงานทั้ง OIS+EIS ช่วยกันครับ ส่วนเรื่องเสียงอาจจะยังไม่เด่นมากนักสำหรับการบันทึกเสียงหรือฟีเจอร์เสียงครับ แต่เรื่องภาพนั้นมีทั้งแต่งโทนภาพ เบลอหลัง ดูดสีให้มาครบๆเลย และกันสั่นพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่ยังไม่เนียนมากนักเมื่อเทียบเรือธงตัวอื่นครับ ส่วนกล้องหน้าเสียดายว่ายังได้แค่ FHD เท่านั้นและมุมแคบมาก แต่ข้อดีคือเปิดหน้าเนียนได้โดยไม่ลดความละเอียดครับ ต้องบอกว่าพัฒนาขึ้นเยอะแต่บางจุดยังสู้เรือธงบางตัวไม่ได้นิดหน่อย

HUAWEI MATE 30 PRO 

“มันคือมือถือที่ดีและลงตัวมากๆในปีนี้ ถ้ามันมี Google ! น่าเสียดายจริงๆ..”

อนาคตไม่แน่นอนครับแน่นอนว่ามีข่าวกันว่าจะรองรับ Google ในอนาคตก็ต้องติดตามกันไปแต่ตอนนี้มันน่าเสียดายมากๆเพราะกล้าพูดว่าถ้ามันรองรับ Google นั้นมันจะเป็นมือถือที่ลงตัวมากๆอันดับต้นๆของ Android ในช่วงปีหลังนี้จริงๆ ใช้งานและชอบมากในหลายๆส่วน แต่ส่วนหลักที่ปัญหาเลยคือ Google ครับ ในตอนนี้เป็นช่วงแรกที่ต้องปรับตัวกันไปและอาจจะลำบาก แต่อนาคตนั้นทาง Huawei ก็พัฒนาของตัวเองให้รองรับมากขึ้น และ Google ก็อาจจะคุยกันได้ และ อาจจะทำให้ใช้งานได้ดีกว่านี้นั้นเองครับ ซึ่งถ้ามันใช้งานได้จะลบข้อเสียหลักๆไปได้เลย อันนี้รอดูกันไปครับ แต่ในภาพรวมทั้ง กล้อง การออกแบบ แบต ความแรง ระบบต่างๆ ฟีเจอร์มันลงตัวและใช้งานได้ดีมากจริงๆ เป็น Huawei ที่ทำออกมาลงตัวมากในหลายๆจุดครับและพัฒนาขึ้นแบบชัดเจนเลยแหละ

ข้อดี

  • เรื่องการออกแบบความสวยงามทั้งหน้าจอและฝาหลังทำได้ดี
  • CPU KIRIN 990  ทำงานได้ดี ไม่ร้อน และ ไม่กินแบต
  • หน้าตา EMUI 10 เรียบร้อย สวยขึ้นลงตัวขึ้น
  • แบตอึด และ ชาร์จได้ไวทั้งสาย และ ไร้สาย
  • กล้องหลังยังคงทำได้ดีสมชื่อ และ ภาพสวยลงตัวกว่าเดิมไม่เวอร์มากนัก
  • กล้องหลัง ระยะเทเล 3X 5X ดีงามมากๆ
  • กล้องหน้าทำได้ดี โทนสีผิวต่างๆดีขึ้น
  • งานวีดีโอพัฒนาแบบชัดเจน รองรับ 4K 60Fps และ 7820FPS
  • ประกันตัวเครื่อง 2 ปี ในไทย

ข้อสังเกต 

  • ไม่มี Google Services คือปัญหาใหญ่ของรุ่นนี้ กระทบไปหมด **
  • แอปหลักๆเช่น Youtube / Netflix / Line เกม ROV พวกนี้ ใช้งานไม่ได้ **
  • หน้าจอไม่สมกับเรือธงในเรื่องความละเอียด
  • ปุ่มเพิ่มลดเสียง ต้องปรับตัว และมีใช้ยากนิดหน่อยในบางจังหวะ
  • ลำโพงเดี่ยว ยังสู้เรือธงตัวอื่นยาก
  • กล้องหน้า ไม่รองรับ 4K

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares