FITBIT เปิดตัวทั้ง VERSA 3 INSPIRE 2 และ ซีรียส์ใหม่รุ่นล่าสุด SENSE ที่มาเป็นตำแหน่งเรือธงสูงสุดของทางค่าย ที่จัดเต็มมากขึ้น ทั้งงานออกแบบ ฟีเจอร์ คุณภาพ และวัสดุขอบสแตสเลสสีเงาสวยงามครับ อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์แรกๆของทาง FITBIT ไม่ว่าจะเป็น การวัดความเครียด EDA การใส่ฟีเจอร์วัดความร้อนของผิว หรือจะเป็นการแจ้งเตือนชีพจร รวมถึงมี ECG วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และ อีกมากมายที่ใส่เข้ามาด้วยเช่นกันครับ ถือว่าเป็นไม่กี่รุ่นที่ใส่เข้ามาครับ และ ยังมาพร้อม ไมค์ และ ลำโพงในตัวเป็นครั้งแรกที่ใส่เข้ามาและรองรับคำสั่งเสียงอีกทั้ง มี GPS ในตัวด้วยครับทำให้ใช้งานได้สบายๆไม่ต้องพกมือถือไป และ งานออกแบบมีความสวยหรู และพรีเมี่ยมมากขึ้น

FITBIT SENSE เปิดตัวมาพร้อมกับ การใช้งานหน้าจอ AMOLED 1.58 นิ้วรองรับความสว่างสูงสุด 1000NITS ใช้กระจก Gorilla Glass 3 ตัวเรือนทำจากสแตนเลสขัดเงา สำหรับวัด ECG ได้ด้วยและ มาพร้อมสายซิลิโคนแบบ Infinity Band ถอดเปลี่ยนสายได้อย่างสะดวก มี GPS สำหรับติดตามการออกกำลังกายในตัว อีกทั้งยังได้รับมาตรฐานกันน้ำที่ 5 ATM หรือกันน้ำลึกได้ 50 เมตร และจัดเต็มเป็นรุ่นแรกที่มี ระบบติดตามสุขภาพ เช่น เครื่องมือวัดความเครียด, EDA Scan app, ติดตามอุณหภูมิผิวหนัง และการแจ้งเตือนชีพจร ตรวจสอบความเสี่ยงภาวะหัวใจสั่น ซึ่งเป็นคุณใหม่ที่เพิ่งมีอยู่ใน Fitbit Sense รุ่นแรก พร้อมกับ แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 6 วัน รองรับ Fast Charging  ด้วยครับ ทางด้านการแจ้งเตือนรองรับปกติเช่นเดิม แต่ครั้งนี้มีลำโพง ไมค์ในตัว สามารถใช้คำสั่งเสียงได้ ALEXA Google และ แน่นอนว่า รองรับการคุยผ่านนาฬิกาได้ในอนาคตครับทำให้รับสายผ่านนาฬิกาได้เลยนั้นเอง  และ ผู้ใช้งานที่ซื้อ Fitbit Sense จะได้รับการเปิดใช้งาน Fitbit Premium ฟรี นานถึง 6 เดือน อีกทั้ง เรื่องของ FITBIT PAY  นั้นรองรับใช้งานเช่นกัน แต่สำหรับภาษาไทยนั้นยังไม่มีการรองรับเลยครับ
FITBIT SENSE เปิดตัวมาพร้อมกับราคา 11,990 บาท พร้อมกับสี Carbon และ Lunar White

UNBOX

ตัวกล่องนั้นถือว่ามีการออกแบบใหม่แตกต่างจากรุ่นก่อนๆพอสมควรเลยทั้งการเปิดหรือว่าการจัดการภายในตัวสินค้านั้นมีการวางแบบใหม่ สวยงามและดูแพงมากขึ้นจากรุ่นก่อนๆอีกทั้งจัดวางอะไรดูพรีเมี่ยมจากเดิมเยอะด้วยเช่นกัน

  • FITBIT SENSE
  • สายขนาด L
  • คู่มือ
  • สายชาร์จ แบบแม่เหล็ก พร้อม USB-A

ที่ชาร์จนั้นจะเป็นแบบแม่เหล็กทรงใหม่และใช้งานง่ายมากขึ้นจากที่รุ่นก่อนๆตัว VERSA นั้นจะเป็นแบบที่หนีบรอบเครื่อง แต่ในรุ่นนี้มีการใช้งานแม่เหล็กแปะตรงข้างหลังเครื่องใช้งานได้ง่ายและค่อนข้างสะดวกมากกว่าเดิมเยอะครับ

DESIGN 

งานออกแบบถือว่าเป็นจุดหลักๆที่เปลี่ยนแปลงเทียบกับรุ่นก่อนๆหรือว่า VERSA แน่นอนว่าความโค้งมนนั้นมีมากขึ้นและการใช้งานวัสดุนั้นเป็นจุดหลักๆของทาง SENSE ที่ทำให้มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของผิวสัมผัส ฟีเจอร์การสแกนหรือจะเป็นดีไซน์เมื่อมองทำให้มีความเงามันวาวสวยงามแบบพวก นาฬิกาแพงๆการใช้สแตนเลสปัดเงานั้นมีส่วนช่วยได้เยอะมาก ทั้งนี้หน้าจอก็มีขนาดใหญ่ 1.58 นิ้วเต็มตามากขึ้นและมีขอบโค้งมนสวยงามมากขึ้นด้วยเช่นกันครับ แต่ถ้าเรามองเทียบกับ VERSA 3 ต้องบอกกันตรงๆว่ามันคือบอดี้เดียวกัน แต่แตกต่างกับในเรื่องของวัสดุขอบเครื่อง และเซนเซอร์ที่ทาง SENSE ให้มากกว่าเยอะทั้ง วัดอุณหภูมิผิว EDA ECG และรวมถึง  Multi-path optical heart rate sensor ซึ่งทำให้เป็นจุดแตกต่างที่ใหญ่มากๆ แต่ถ้างานออกแบบนั้นเรียกได้ว่าเหมือนกันเลยแหละ

งานออกแบบมีความกระชับ กระทัดรัดกำลังดีต่อการใช้งานและฝาหลังนั้นเป็นแบบปัดเงาสวยงาม เข้าได้ดีกับขอบเครื่องในด้านหน้าด้วยเช่นกัน และทำให้ตัว SENSE นั้นสวยงามมากขึ้นครับอีกทั้งตัวหน้าจอก็สวยงามเช่นกันเต็มตากำลังดีเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ ส่วนน้ำหนักและขนาดนั้นไม่ได้หนีจากเดิมมากนัก มาในขนาด 40.48 x 40.48 x 12.35มม. พร้อมกับน้ำหนักในรุ่นนี้จะอยู่ที่ 45.9-48.2g กำลังดีไม่ได้หนักอะไรมากเมื่อใส่ใช้งานออกกำลังครับ

ตัวสายนั้นมีการออกแบบตัวล็อคอะไรใหม่ใส่ใช้งานง่ายมากขึ้น และมีความกระชับมากขึ้น วัสดุเนื้อสายนั้นเหมือนกับรุ่นก่อนๆครับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักเป็นซิลิโคนนิ่มและมีความทรงตัวได้ดีในการใส่ใช้งานและไม่แพ้ง่ายด้วยครับแต่ยังไงก็แนะนำให้ถอดออกมาล้างหรือทำความสะอาดบ่อยๆถ้าออกกำลังกายมา ส่วนตัวล็อคกับบอดี้นั้นเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นและแน่นอนว่าต้องใช้สายเฉพาะเช่นกัน ใช้สายร่วมกันกับตัว FITBIT VERSA 3 ได้ทั้งหมดเลย

ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นจะเป็นปุ่มรองรับแรงกดที่เป็นบอดี้เดียวขึ้นรูปทั้งหมดแต่ปุ่มนั้นจะเป็นเซนเซอร์รองรับแรงกดข้างในและสั่นตอบสนอง คือจะไม่ใช่ปุ่มจริงๆครับเป็นหลักการเดียวกับ Apple Watch รุ่นใหม่ๆเช่นกันทำให้เรื่องของการกันน้ำทำได้ดีขึ้น และจะเห็นช่องไมค์สำหรับสั่งงานหรือใช้คำสั่งเสียงได้ ส่วนทางด้านขวานั้นจะเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง แต่น่าเสียดายว่ายังไม่มีฟีเจอร์ไหนรองรับการทำงาน ต้องรออัพเดทกันต่อไปอีกทีนึงครับตัวลำโพง

เซนเซอร์ในด้านหลังนั้นถือว่าจัดเต็มมากๆ ทั้งที่มากกว่าตัว VERSA คือ วัดชีพจรได้ดีมากขึ้นด้วยเซนเซอร์ Multi-path optical heart rate sensor และ Multipurpose electrical sensors compatible with ECG app & EDA app รวมถึง Skin temperature sensor หรือ ตัววัดอุณหภูมิผิวของเรา อันนี้ถือว่าแปลกใหม่ครับ และขอบเครื่องสแตนเลสก็เข้ามาช่วยในส่วนนี้ทำให้การวัดอะไรนั้นล้ำหน้าและเด่นกว่าหลายๆตัวรวมถึงดีกว่า VERSA

SPEC

  • หน้าจอ  ขนาด 1.58-inch touchscreen AMOLED ความละเอียด 336 x 336 ความสว่างสูงสุด 1000 NITS ใช้งาน กระจก GORILLA GLASS 3
  • MEMORY 4GB (2.5GB available for music storage) 7 days of motion data, daily totals for past 30 days
  • วัสดุ aluminum case, ตัวเรือน stainless steel ring สำหรับ ECG
  • SENSOR Electrical sensors compatible with ECG & EDA app / Skin temperature sensor
    / Optical heart rate sensor /
  • Built-in GPS + GLONASS/ Gyroscope /Altimeter /3-axis accelerometer/Ambient light sensor /Wi-Fi (802.11b/g/n 2.4GHz)/ NFC /Vibration motor/
  • แบตเตอรี่สูงสุด 6 วัน Fitbit Sense และสูงสุด 12 ชั่วโมงด้วย GPS ต่อเนื่อง
  • ลำโพง (75dB SPL @ 10 ซม.) พร้อม ไมค์โครโฟน
  • กันน้ำ 5ATM  กันน้ำ 50 เมตร โหมดว่ายน้ำติดตามรอบในสระ
  • ฟังก์ชั่น ECG ตรวจจับคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การวัด ECG ในไทยยังใช้งานไม่ได้ *
  • ฟังก์ชั่นวัดอุณหภูมิร่างกายผ่านทางผิวหนัง
  • ฟังก์ชั่นแจ้งเตือนเมื่อหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ / ช้ากว่าปกติ
  • ฟังก์ชั่นจับอัตราการหายใจ(ต่อนาที) ขณะนอนหลับ
  • ฟังก์การติดตามความเครียดแบบใหม่แบบเจาะลึก
  • แอพ EDA Scan เพื่อติดตาม Electrodermal Activity
  • ฟังก์ชั่นการติดตามความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)
  • เปลี่ยนเซนเซอร์วัด HR ตัวใหม่เป็น PurePulse 2.0 optical HR sensor แม่นยำกว่าเดิม
  • รองรับคำสั่งเสียง ALEXA และ ( GOOGLE รออัพเดท * )
  • รองรับการใช้งาน Bluetooth ในการรับสาย คุนโทรศัพท์ รออัพเดท *
  • รองรับการใช้งาน iOS Android
  • ขนาด  40.48 x 40.48 x 12.35mm น้ำหนัก 45.9-48.2g
  • ราคา 11,990 บาท

SOFTWARE 

ในหน้าแรกจะเป็น 5 ส่วนหลักๆคือส่วนของ โปรแกรมในการออกกำลังกาย และสามารถเข้าไปดูในแต่ละส่วนได้รวมถึงดูรายละเอียดได้ทั้งหมดในแต่ละหัวข้อแบบละเอียดมากๆครับ ส่วนในหน้าต่อไปจะเป็นส่วนของข้อมูลสถิติต่างๆครับ และ  Community ทั้งหมดเพื่อนต่างๆนั้นเอง และสำหรับทาง FITBIT PREMIUM นั้นจะเป็นฟีเจอร์ที่ให้ทางรุ่น SENSE นั้นมาใช้งานกันฟรีๆ 6 เดือนเป็นเสมือน โค้ชส่วนตัวเองเราจะคอยแนะนำดูแลแบบใกล้ชิดซึ่งได้ใช้งานกันฟรีๆเลยนั้นเองถือว่าคุ้มค่ามากๆครับและหน้าสุดท้ายนั้นจะเป็นส่วนการแนะนำ COVID-19 ข้อมูลต่างๆ

สำหรับการวัด Oxygen นั้นจะต้องทำการนอนก่อนถึงจะสามารถวัดอะไรได้นะครับและแสดงออกมาเป็นกราฟให้ดูแบบในภาพด้านซ้ายสุด และส่วนของการตั้งค่าอื่นๆนั้นรองรับการตั้งค่าเหมือนรุ่นก่อนๆทั่วไปเลย ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ การแจ้งเตือนอะไรทั้งหลายครับ รวมถึงการตั้งค่า Wifi ข้อมือที่ใส่ หรือจะเป็นการเชื่อมต่อทั้งหมดครับ และ ยังมีหน้าของแอพของเรา หน้าจอ คำสั่งต่างๆ อีกทั้ง ในหน้าขวาสุดจะเป็นการจัดการการแจ้งเตือนว่าแอพไหนบ้าง แจ้งยังไง และ ตอบกลับด่วนอะไรยังไงบ้าง หรือจะเป็นการตอบกลับด้วยเสียงได้แต่ยังคงไม่รองรับภาษาไทยในการพูด

ในตัวของหน้าปัดก็หลากหลายมากกว่าเดิมและสวยงามขึ้นมีให้เลือกทั้งของจากทาง Fitbit และเจ้าอื่นๆที่ทำกันให้เลือกใช้งานทั้งแบบฟรีและเสียเงินครับ และสำหรับฟีเจอร์การใช้งาน SpO2 นั้นจะต้องโหลด Clock Faces มาใช้งานก่อนถึงจะสามารถจับได้นะครับก็แอบแปลกใจนิดหน่อยเพราะว่าน่าจะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานในการใช้งานมากกว่า

ในหน้าของแอพนั้นก็มีหลากหลายขึ้นเรื่อยๆและสามารถโหลดได้สบายๆ ใช้งานบ่อยๆหรือจากทาง Official ทั้ง Starbucks และ Spotify ก็ทำงานได้ดีมากๆครับ การควบคุมเพลงซึ่งสามารถใส่เพลงลงไปในตัว FITBIT SENSE ด้วยเช่นกันครับและฟังเพลงผ่านหูฟังที่เชื่อมกับ SENSE ได้เลยไม่ต้องผ่านมือถือ เป็นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างเยอะและเพียงพอต่อการใช้งาน แน่นอนว่าการพกนาฬิกาไปวิ่งได้และฟังเพลงไปได้ในตัวเอง

และแน่นอนว่าในส่วนของข้อมูลสถิติแบบละเอียดก็คงมีมาให้และละเอียดสมชื่อ Fitbit ครับเป็นแบรนด์ที่เด่นในเรื่องของการ Track มากๆและเก็บข้อมูลต่างๆได้ดีและละเอียดพอสมควรครับ  รายละเอียดการนอนหลับต่างๆให้มันชัดขึ้นและดูรายละเอียดได้ค่อนข้างดีครับ สำหรับใครที่อยากดูรายละเอียดแบบชัดขึ้น และสรุปเป็นอาทิตย์ให้ใช้งานดูกันครับ การแทรคก็สามารถเก็บข้อมูลได้ปกติครับ มี GPS ในตัว เลยต้องไม่ต้องพกมือถือไปนะครับสะดวกขึ้นมากๆ

SCREEN 

ทางด้านหน้าจอต้องบอกว่าเป็นการอัพเกรดที่ดีมากๆคือเรื่องของงานออกแบบที่เต็มขอบสวยงามมากขึ้นและสู้แสงได้ดีครับ ปรับมาใช้งานหน้าจอแบบ AMOLED นั้นส่งผลอะไรดีๆเยอะมากทั้งเรื่องของความสวยงาม ความดำสนิทของตัวหน้าจอทำให้กลืนไปกับขอบเครื่อง อีกทั้งยังทำให้ประหยัดแบตได้ดีกว่าเดิมรวมถึงการสัมผัสนั้นรู้สึกว่าดีกว่าเดิมด้วยเช่นกันครับ สามารถสู้แสงได้สบายๆด้วย 1000NITS  และมาพร้อมกับ หน้าจอมาในขนาด 1.58 นิ้ว ครอบทับด้วย Gorilla Glass 3 อันนี้ยังคงไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าเท่าไรครับในส่วนของวัสดุกระจกในด้านหน้า แต่โค้งมนมากกว่าเดิมทำให้ดูสวยและทันสมัยขึ้นเยอะ และจัดวางหน้าจอตรงกลาง ไม่มีโลโก้แล้วมันดูดีกว่าเดิมเยอะเลย

แน่นอนว่าในส่วนของหน้าจออีกจุดนึงที่เป็นข้อดีของการปรับมาใช้งาน AMOLED ก็คือสามารถใช้งานหน้าจอติดตลอดเวลาได้หรือที่คุ้นกันว่า Always On Display และสามารถรองรับการใช้งานแบบสีๆได้ทั้งหมดสวยงามและพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนๆและสามารถโหลดหน้าตาแบบอื่นๆได้จากในแอพและรองรับได้เยอะมากครับอีกทั้งยังไม่ได้กินแบตเท่าไรด้วย เป็นหน้าจอที่พัฒนาขึ้นแบบรู้สึกได้ทั้งเรื่องของมุมมองในการใช้งาน การใช้งานกลางแจ้งและการสัมผัสที่ดีขึ้นด้วยเช่นกันในหน้าจอแบบใหม่นี้

SMARTWATCH FEATURE

หน้าตาอะไรต้องบอกว่ามีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยอะไรมากขึ้นแน่นอนอีกทั้งในตัวหน้าจอของรุ่นนี้ยังคงมาพร้อมกับ OLED รองรับระบบสัมผัสแบบเต็มรูปแบบเลยนั้นเองและ Always On นั้นมีความสวยงามและแสดงผลได้ดีมากขึ้นจะเห็นได้จากรูปภาพข้างบนและเทียบกับหน้าจอ Always On ในภาพขวาสุดครับจะเห็นว่าแสดงผลดีกว่าเดิมเยอะ

หน้าจอหลักๆในภาพซ้ายคือ Always On และตรงกลางคือเมื่อเราแตะหน้าจอหรือหมุนข้อมือมาดูครับส่วนในการปัดมาด้านซ้ายนั้นจะเป็นเข้าหน้าหลักในการใช้งาน หรือเรียกว่าหน้ารวมแอพทั้งหมดในการเลือกใช้งานหลากหลายแบบ

การจัดวางหรือการจัดเรียงแอพนั้นงานออกแบบการเรียงยังคงไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนๆมากนักครับ 4 แอพใน 1 หน้ารองรับการใช้งานสัมผัสเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอได้ดี รวมถึงหน้าจอของจริงมีความสวยสดและดำสนิทสมราคาทั้งหมด และหน้าตาสีสันในแอพอะไรได้รับการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะและโดยรวมดูทันสมัยมากขึ้นและลื่นไหล

ในหน้าหลักถ้าเราเลื่อนลงมาจากขอบบนนั้นเราจะเห็นในส่วนของหน้าการแจ้งเตือนทั้งหมดสามารถเลื่อนดูได้ อีกทั้งถ้าปัดมาขวาจากขอบซ้ายนั้นจะเป็น Quick Setting ที่จะแสดงการปรับตั้งค่าแบบใหม่ โหมดห้ามรบกวน โหมดกลางคืน แสงสว่างอัตโนมัติ หรือจะเป็นการเปิดปิดหน้าจอ Always On หรือ การหมุนข้อมือแล้วจอติด รวมถึงการควบคุมเครื่องเสียงครับ และ เมื่อกดปุ่มข้างๆ 2 ครั้งจะเข้าตั้งค่าด่วน หรือ แอพด่วนทั้ง FITBIT PAY – ALEXA – MUSIC – ตั้งค่าหลักทั้งหมดครับสามารถใช้งานได้ตามอิสระ ถือว่าหน้าตานั้นเปลี่ยนแปลงทันสมัยขึ้นเยอะเลย

ALEXA ยังคงไม่รองรับภาษาไทย และ Google ยังไม่มีอัพเดทมาในตอนนี้นะครับ ส่วน EDA Scan ใช้านได้สบายๆเอามือทาบไปบนหน้าปัดได้เลยค้างไว้ป็นเวลาประมาณ 2 นาทีครับ รวมถึงตัวนับก้าวนั้นก็สามารถแทรคได้ตลอดเวลา รวมถึงสรุปข้อมูลในแต่ละวันได้เลยในหน้านี้จะเลื่อนดูเป็นแต่ละส่วนๆได้สบายครับไม่มีปัญหาในการใช้

ในฟีเจอร์การออกกำลังนั้นจะมี GPS Tracking ในตัวอยู่แล้วทำให้สะดวกมากขึ้นและกดเลือกในหน้าปัดได้เลยไม่ต้องใช้งานมือถือ อีกทั้งโหมดการออกกำลังกายนั้นมีให้เลือกเยอะแยะขึ้นมากและหน้าตาสวยงาม และไม่หน่วงแบบรุ่นก่อนๆแล้วอีกทั้งการสรุปอะไรก็ทำได้ดี และเรื่องของความแม่นยำนั้นค่ายนี้ถือว่าไว้ใจและข้อมูลใช้งานได้จริงเลย

และอีกส่วนที่ต้องบอกว่าเจ๋งมากๆคือ coach ที่เปรียบเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวในการออกกำลังกายหรือทำตามครับมีภาพ อนิเมชั่นแบบเคลื่อนไหวได้พร้อมกับบอกเลยว่าทำประมาณกี่นาทีและมีสอนท่าทางต่อไป อันนี้คือจุดเด่นอีกตัว

SPOTIFY

มันมาแล้วแบบ Official แน่นอนว่ารอมานานครับ เพราะหลายๆคนคงใช้งานกันบ่อยและสามารถเปลี่ยนเพลง  เปลี่ยนอัลบั้ม เลือกอัลบั้มได้เลยถือว่าค่อนข้างดี เพราะหลายๆคนเวลาวิ่งก็อาจจะควบคุมผ่านตัวนาฬิกาเลยและหน้าจอก็สามารถค้างหน้านี้ได้ไม่หายไปไหนเวลาวิ่งและเปลี่ยนเพลงก็ยกมาเปลี่ยนได้เลยไม่ต้องเข้าแอพซ้ำ และสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเสียงจะออกไปที่เครื่องไหน หรือ หูฟังอันไหน รวมถึงหน้าตาการใช้งานนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว

สามารถปรับระดับเสียงได้ ผ่าน SENSE CONTROL บนตัวนาฬิกา เป็นแอพแยกในนาฬิกานะครับ ต้องเชื่อม Blutooth กับ SENSE CONTROL จะทำให้ควบคุมระดับเสียง และะ เปลี่ยนเพลงได้อีกจุดนึง รวมถึงไว้ควบคุมเพลงบนตัวนาฬิกาที่ใส่เข้าไปครับ 

EDA , ECG , SPO2

เซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA (Electrodermal Activity) เพียงวางฝ่ามือลงบนหน้าปัดของเครื่องเพื่อวัดระดับความเข้มข้นของเหงื่อบนผิว และเก็บข้อมูลความคืบหน้าด้านสุขภาพจิต พร้อมด้วยฟีเจอร์ Stress Management Score คะแนนจาก 1-100 โดยคะแนนสูงหมายถึงภาวะร่างกายที่มีสัญญาณความเครียดน้อย และการให้คำแนะนำในการจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหัดหายใจ และเครื่องมือช่วยทำสมาธิในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ ECG ที่ใช้สำหรับตรวจจับคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ, ตรวจสอบความเสี่ยงภาวะหัวใจสั่น หรือ Atrial Fibrillation (AFib), เซนเซอร์วัดอุณหภูมิของร่างกายผ่านผิวหนัง,

ซนเซอร์วิเคราะห์ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง หรือ SpO2 ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เราไม่ค่อยเห็นในบรรดา Smartwatch ตัวอื่นๆครับ แต่อย่างที่บอกไปว่า ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นในไทยยังต้องรอการอัพเดท ผ่านข้อกำหนดอีกครับ เลยยังไม่สามารถใช้งานได้ แต่ EDA นั้นสามารถใช้งานได้เลย วางฝ่ามือลงไปประมาณ 2 นาทีครับ และ ทำแบบเต็มรูปแบบได้ด้วยจะใช้เวลานานกว่า สวน SpO2 นั้นก็รองรับใช้งาน แต่ต้องไปโหลด Watchface ที่รองรับก่อนนะครับถึงจะอ่านค่าใช้งานได้ โดยรวมเป็น Smartwatch ที่จัดเต็มที่สุดในแง่ของฟีเจอร สุขภาพและเซนเซอร์ทั้งหมดเลย

GPS BUILT IN 

แน่นอนว่าการที่ใช้งาน GPS ในตัวนั้นทำให้รองรับการใช้งานโดยที่เราไม่ต้องพกพามือถือออกไปด้วยถือว่าค่อนข้างสะดวกและในรุ่นนี้ก็ได้ติดตั้งมาให้เรียบร้อยครับทำให้สามารถใช้งานหรือว่าออกกำลังกายข้างนอกโดยที่พกพาแค่ตัวนาฬิกาในการออกกำลังและกลับมาซิงค์ข้อมูลทีหลังได้ และในบรรดา Smartwatch เรียกได้ว่าการมี GPS เป็นฟีเจอร์พื้นฐานและเหมาะสำหรับสายออกกำลังกายที่เน้นเรื่องนี้มากๆครับ

ALEXA + GOOGLE ASSISTANT 

ในการใช้งานคำสั่งเสียงก็เป็นฟีเจอร์หลักๆที่ใส่เข้ามาแต่รองรับแค่ AMAZON ก่อนนะครับและทาง Google จะมีอัพเดทมาให้ภายหลังครับ ในตัว Alexa เองนั้นก็ทำอะไรได้หลากหลายเหมือนกันนะครับแต่ตอนนี้รองรับแค่ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆก่อนนะครับ ยังไม่รองรับภาษาไทย ส่วนคำสั่งจากที่ลองนั้นก็แม่นอยู่ครับ สามารถใช้งานเช็คนัดหมายอะไรต่างๆ ตั้งปลุก ตั้งเวลาถอยหลัง เช็คสภาพอากาศ ถามเรื่องสถิติการออกกำลังทั้งหลายครับ ก็ถือว่าใช้ได้แต่ยังไม่หลากหลายเท่าไรนัก ไม่สามารถใช้คำสั่งโทรเข้าออก หรือ เปลี่ยนเพลงได้ ในตอนนี้ครับ จริงๆในไทยนั้นคนใช้ยังไม่แพร่หลายมากนักครับสำหรับเจ้า Amazon Alexa และลำโพงยังไม่ทำงานนะครับต้องรออัพเดทอีกที ถึงจะพูดคุยได้เต็มรูปแบบ  และถึงจะใช้งาน Google Assistant ได้ ในการใช้งานคำสั่งเสียงนั้นสามารถกดค้างไว้ที่ปุ่มซ้ายมือและมันก็จะขึ้นมาครับ จากที่ลองเสียงนั้นรองรับได้ชัดเจนดีครับสำเนียงบ้านๆก็ยังค่อนข้างเป๊ะ แต่เรื่องความหลากหลายอาจจะยังไม่เยอะเท่าไร ส่วนเมื่อกดมุมขวาบนก็จะเป็นการเช็คคำสั่งย้อนหลังว่าเราสั่งตั้งเวลาอะไรไปบ้าง หรือ ตั้งเตือนอะไรไปบ้างนั้นเองครับ หลังจากที่ลองนั้น ก็ถือว่ารองรับได้ดี เช่นลองสั่งว่า / Set reminder For me Please ก็จะขึ้นมาว่าจะให้เตือนอะไร ก็กดตอบไป และ เมื่อตอบเสร็จมันจะถามมาอีกว่าเตือนเมื่อไรก็แจ้งวันเวลาไปเลยครับ แต่ทุกครั้งต้องกดตอบก่อนไม่สามารถคุยยาวได้ แต่ถ้าเราสั่งแบบครบๆเลยในครั้งเดียวก็ทำได้เช่นกัน บอกไปเลยว่า ตั้งเตือนอะไรในวันไหนและกี่โมง ก็จะตั้งได้เลย แต่น่าเสียดายแค่ไม่มีเสียงออกมาต้องรออัพเดทนะครับในส่วนลำโพง

NOTIFICATION

ส่วนการแจ้งเตือนถือว่าทำได้ดีในแง่ของความไว และมีการเปลี่ยนหน้าตาสวยงามมากขึ้นสีสันอะไรดูดีมากกว่ารุ่นก่อนๆครับ แต่ปัญหาหลักมันไม่รองรับภาษาไทยเลยครับ เพราะค่ายนี้มันขาดแค่ตรงนี้ไม่งั้นจะลงตัวและกล้าแนะนำให้มากกว่านี้ แต่หลายๆคนอาจจะไม่ได้ซีเรียสเท่าไร แต่ถ้าหากถามคนที่ต้องคอยดูแจ้งเตือนตลอดเวลานั้นค่อนข้างหงุดหงิดเอาเรื่องเลยแหละ แต่เวลาแสดงก็จะแยกสีแอพทั้ง Line Facebook Page manager รวมถึงสามารถตั้งค่าตอบกลับด่วนได้ด้วยอันนี้คือทำได้ดีครับ แยกเป็นแอพๆชัดเจน และตอบกลับด้วยเสียงได้ ส่วนเวลามีคนโทรมานั้นก็จะแสดงชื่อ หรือ เบอร์ และกดรับสาย หรือ วางสายได้เลยผ่านตัวนาฬิกาครับ แต่น่าเสียดายว่าไม่รองรับการคุยผ่านตัวนาฬิกาเลยครับ ต้องรออัพเดทอีกครังถ้าฟีเจอร์นี้มาน่าจะลงตัว

FEELING 

การใช้งานนั้นหน้าปัดอะไรถือว่ามีการตอบสนองได้ดีถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนๆทั้งเรื่องของการสัมผัส ความไวในการสัมผัสหรือจะเป็นความรู้สึกในการใช้งานจริงๆนั้นส่วนตัวให้ดีกว่ารุ่น VERSA ที่เคยทดสอบมาทั้งหมดจอมีความสวยคมชัดและดีไซน์เต็มตามากขึ้นสัมผัสติดนิ้วได้ไวและไม่หน่วงแบบรุ่นก่อนๆแล้ว UI นั้นทำได้ดีมากขึ้นและใช้งานง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ก็แอบเสียดายในเรื่องของการรองรับอะไรหลายๆอย่างต้องรออัพเดท และไม่รองรับภาษาไทยซักทีทำให้มันยังไม่ได้เต็มที่มากนักในแง่ของความรู้สึกในการใช้งานภาพรวมของตัว FITBIT SENSE รุ่นนี้ในแง่ของฟีเจอร์

แต่ถ้ามองในเรื่องของความรู้สึกในการสวมใส่บ้าง ในรุ่นนี้ยังคงโดดเด่นในเรื่องของขนาด น้ำหนัก งานออกแบบที่ยังคงเน้นใส่ออกกำลังกายได้ดีไม่มีหนักหรือว่าเกะกะข้อมือ รวมถึงตัวสายนั้นมีความกระชับงานออกแบบใหม่สวยงามและมีความแน่นหนามากขึ้นเป็นสายซิลิโคนที่ใส่สบายตัวนึง แต่ยังไงแอบชอบแบบสายผ้ามากกว่าในแง่ของความใส่แล้วดูสบายและใส่ไปไหนมาไหนได้ดีกว่า แต่ถ้าเน้นออกกำลังนั้นสายที่ให้มาแบบนี้ย่อมจัดการได้ดีกว่าแน่นอน ส่วนตัวชอบการใส่รุ่นนี้มากขึ้นจากรุ่นก่อนๆตัวสายรัดได้ดี ใส่ได้ง่ายและมีความนุ่ม รวมถึงขนาดอะไรกำลังดีเลยทีเดียวแต่ปุ่มในการข้างๆนั้นเป็นระบบรองรับแรงกดอาจจะต้องปรับตัวกันหน่อย แต่ถ้าเคยใช้รุ่นก่อนๆของค่ายนี้ก็ถือว่าสบายไม่แตกต่างกันมากนักครับ แต่จะเน้นงานออกแบบกระชับมากขึ้นดีไซน์เรียบสวยมากขึ้นพรีเมี่ยมมากขึ้นด้วย

FITBIT SENSE 

” เรือธง ฟีเจอร์แน่น งานออกแบบสวยล้ำดูดี พร้อมคำสั่งเสียง ลำโพง GPS ในตัว ! “

งานออกแบบรุ่นนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นอีกรุ่นที่มีงานออกแบบพรีเมี่ยมสวยงามและลงตัวกว่ารุ่นก่อนๆ การใช้ขอบสแตนเลสนั้นนอกเหนือจากจะทำให้พรีเมี่ยม สวยหรูแล้วยังส่งผลต่อการวัดอะไรได้ดีขึ้นหรือการใช้งาน ECG นั้นเอง และเป็น Smartwatch ตัวแรกที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ที่เยอะมาก เป็นเจ้าแรกๆของโลกที่ใส่ ทั้งการจับอุณหภูมิผิว ที่จะตรวจสุขภาพในการเป็นไข้อะไรได้ด้วย รวมถึงมี ECG มาให้ พร้อมกับ SpO2 และ EDA ในการวัดความเครียดเข้ามารวมถึงฟีเจอร์พื้นฐานอีกมากมายที่ใส่เข้ามาให้ด้วยครับ ทำให้ถ้าใครเน้นเรื่องของการออกกำลัง สุขภาพแบบจัดเต็มรุ่นนี้ทำได้ดีอับดับต้นๆแล้ว และข้อมูล ความแม่นยำของเซนเซอร์การตรวจจับนั้นเกินหน้าตาค่ายอื่นๆมากๆ แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งานเป็น Smartwatch ยังไม่เด่นเท่าไร ตราบใดที่ FITBIT ไม่ใส่ภาษาไทยมาให้ ยังไม่ให้คะแนนในส่วนนี้เท่าไรนัก รวมถึงฟีเจอร์หลายๆอย่างต้องรอการอัพเดทกันอีกที ทั้งลำโพง Google อีกมากมาย ซึ่งถ้าใครไม่ได้เน้นอะไรแบบนี้มากถือว่าแนะนำให้การเป็น โค้ชส่วนตัว หรือ วัดสุขภาพแบบจัดเต็มเน้นๆข้อมูลแน่นๆ FITBIT ไม่เคยทำให้ผิดหวัง และเป็นค่ายที่ทำการเก็บ DATA ได้ละเอียดและเอาไปใช้งานได้จริงอันดับต้นๆเลยครับ

ข้อดี

  • งานออกแบบสวย และดูดีมากๆตัวนึงในตอนนี้
  • หน้าจอสวยทำได้ดี สัมผัสดี ไม่หน่วงแบบตัวก่อน
  • คุณภาพงานประกอบ วัสดุทำได้ดี
  • แบตถือว่าเพียงพอ 4-5 วันในการใช้งานแบบเต็มๆ เปิด Always On
  • คุณภาพในการวัด Heart Rate และ เซนเซอร์มีคุณภาพ แม่นยำ
  • GPS มาให้ในตัวพร้อมใช้งาน
  • มีลำโพง และ ไมค์ ติดตั้งมาให้ใช้งานแล้ว
  • ตรวจจับการนอนทำได้ดี ละเอียดและลึก
  • มีเซนเซอร์วัด อุณหภูมิผิวหนังเจ้าแรกๆ และ คอยเช็คโอกาศที่จะเป็นไข้
  • สาย งานออกแบบ การถอดเข้าทำได้ดี
  • มาพร้อมรองรับ NFC และ FITBIT PAY
  • ฟีเจอร์ ECG EDA SpO2 และ อื่นๆนั้นมาครบและเยอะที่สุดในตอนนี้

ข้อสังเกต

  • ยังคงไม่มีการรองรับภาษาไทย และยังคงไม่มีกำหนด
  • Software UI ในการใช้งานยังแปลกๆ
  • ฟีเจอร์หลายๆส่วนยังคงต้องรอการอัพเดท ทั้ง Google และ รองรับคุยผ่านนาฬิกา *
  • ECG ในไทยยังต้องรอการอัพเดท *
  • ลำโพงยังไม่สามารถใช้งานได้เลยต้องรออัพเดท *
  • SpO2 ต้องใช้ Watchface แยกต่างหาก

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review By Nineztr

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares