พาชมคันจริง FERRARI SF90 Stradale รุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้ทำการทำการเปิดตัวแบบออนไลน์ในไทย วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 ทีมงาน Tech-hangout ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสัมผัสตัวจริงกับคันที่คอนฟิกออฟชันจัดเต็ม แพ็กเกจ Assetto Fiorano ที่ สนนราคารวมกว่า 63.5 ล้านบาท จากราคาตั้งต้น 40.9 ล้านบาท และความเจ๋งของรุ่นนี้เรียกได้ว่า Road Car ที่แรงที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยทำมา รวมถึงด้านการดีไซน์ยังได้รับรางวัล Best of the Best ที่สุดแห่งการดีไซน์จาก Red dot Award ประจำปี 2020 และมีการพัฒนาประสิทธิภาพยนตรกรรมหลายๆอย่างแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน มีดีอะไร และจะสวยมากแค่ไหน ขอเชิญทุกท่านร่วมรับชมครับ

เริ่มต้นด้วยชื่อรุ่น SF90 Stradale ได้ถูกตั้งมาอย่างมีนัยยะสำคัญคือ SF ย่อมาจาก Scuderia Ferrari ชื่อรถแข่ง F1 ของทางเฟอร์รารี่ ส่วนเลข 90 นั้นคือการเฉลิมฉลองครอบรอบ 90 ปี ที่ก่อตั้งทีมแข่ง Scuderia Ferrari และคำว่า Stradale มาจากภาษา Italian ที่แปลว่า Road หรือ ถนน ที่โดยรวมชื่อเป็นการผสมผสานและเชื่อมโยง สมรรถนะรถแข่งเฟอร์รารี่ไปสู่การขับขี่รถยนต์บนท้องถนน

EXTERIOR 

ในส่วนด้านท้ายของรุ่นนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงโฉมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาคือตัวไฟท้ายนั่นเอง แน่นอนว่าใน FERRARI ยุคก่อนๆนั้นเราจะเห็นเป็นไฟกลมทั้งหมดในทุกๆรุ่นไม่ว่าจะเป็นแบบกลมใหญ่เล็กหรือแบบเดี่ยวแบบคู่ ก็ตาม ถ้าไม่นับตัว Limited แบบ SP2 แน่นอนว่าเป็นการเปลี่ยนมาใช้ไฟรูปแบบใหม่ทั้งหมด รุ่นนี้จึงถือเป็นเหมือนการปฏิวัติการออกแบบของค่ายนี้จริงๆ และ ระบบ Spoiler แบบ Active สามารถกดลงได้เมื่อขับตามความเร็วต่างๆ ช่วยกดท้ายให้เกาะถนนมากขึ้นไปอีกใน เวลาเปลี่ยนเลนต่างๆ และ พวกท่อไอเสียนั้นจะเป็น Black Ceramic ที่สามารถเลือกได้ครับว่าจะเป็นสีไหน และ ท่อนั้นมีความสูงมากจริงๆเมื่อเทียบกับสัดส่วนของตัวรถ และ ตัว ที่รีดอากาศหลังจะเห็นว่ามันมีหน้าตาเป็นคาร์บอนก็แน่นอนว่าเป็นแพ็กเกจพิเศษนั้นเองครับ

ด้านงานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างที่บอกไปในข้างต้น ทั้งไฟหน้า รูปทรง เส้นสายที่แปลกตาขึ้น และเน้นในเรื่องของ DOWNFORCE และ AERODYNAMIC แบบเน้นๆ จุดส่วนถ่วงต่ำเครื่องวางกลางและฐานล้อกว้างอีกทั้งยังห้องโดยสารเยื้องมาด้านหน้ามากขึ้นและกดลงต่ำมาก อีกทั้งจะเห็นว่ามีช่องดักลมเกือบทุกจุดรอบคัน ทั้งด้านหน้า ซ้ายล่าง และซ้ายขวา ครับ และต้องบอกว่าทำให้มันได้ DOWNFORCE เกิดขึ้นบนตัวถังราวๆ 390 กิโลกรัม ถือได้ว่าเยอะมาก มาในส่วนของไฟหน้านั้นจะเป็น MATRIX LED แบบรถสมัยใหม่ที่ใช้งานกัน รูปทรงการออกแบบแปลกตาพอสมควรที่มาพร้อมกับไฟ DRL 3 เส้นสวยงาม ในส่วนบริเวณโลโก้ตัวนี้จะยังคงเอกลักษณ์ในแบบFerrari และ กุญแจที่เป็นตัวโลโก้ ขนาดเดียวกันเป๊ะๆ และจะเห็นว่าตัวลายเส้นคาดของตัวรถรุ่นนี้เป็นการทำสีทั้งหมดไม่ใช้พ่นทับอีกชั้นหรือว่าสติ๊กเกอร์ซึ้งทำให้ไม่เนียนแต่เป็นการทำสีที่ออกจากโรงงานการผลิตโดยตรงซึ้ง ในด้านหน้านั้นจะค่อนข้างแปลกตาจาก Ferrari รุ่นอื่นๆแบบชัดเจน แต่ก็ยังมีกลิ่นอายอยู่บ้างถ้ามองหน้าตรงเส้นตัว V สวยงามเลย

เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้านั้นจะเห็นได้ว่าในส่วนที่เก็บของ มีขนาดพื้นที่เก็บค่อนข้างเล็กพอสมควรเลย พร้อมกับ ตัวมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ใช้ในการขับเคลื่อนล้อหน้าแยกต่างหาก และวัสดุนั้นจะเป็น LEXAN และข้างล่างนั้นจะเป็น สเปกและรายละเอียดต่างๆของตัวรถนั้นเอง ตัว LEXAN นั้นหลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจมันคือ พลาสติก โพลีคาร์บอนเนต ที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูงมากๆ แต่ยังน้ำหนักเบาและเอามาใช้งานในหลายๆส่วนของตัวรถเช่นกัน

ในส่วนของตัว SCUDERIA SHIELD ด้านข้างนั้น ส่วนนี่จะไม่ได้ให้มากับตัวรถ แต่ต้องบอกว่า Ferrari ทุกคันควรมีเพราะเสมือนเป็นเอกลักษณ์ของทาง Ferrari ก็ว่าได้ สวนราคาตัวนี้โดยประมาณ 150,000 บาทและไฟหน้าไฟท้ายแบบชัดๆ โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลักๆคือรูปทรงที่สวยงามรวมถึงการใช้งานไฟ LED ทั้งหมด โดยไฟหน้านั้นจะเป็นแบบ MATRIX LED ที่มีความสว่างโดยไม่รบกวนคันข้างหน้า และที่สุดคือส่วนของไฟท้ายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้ง รูปทรงที่แปลกตาและไฟเลี้ยวตรงดวงนอก ไฟเบรก สวยงามใหม่แปลกตาขึ้นอย่างลงตัวเลยที่เดียว

ตัวล้อรุ่นนี้จะเป็นล้อขนาด 20 นิ้ว คาร์บอนไฟเบอร์ ทั้งหมด แต่ที่เห็นนี้จะเป็นออฟชันเสริมที่มีราคา 2.7 ล้านบาท และ ตัวเบรกนั้นจะเป็น คาร์บอนเซรามิคมาให้ ส่วนสีนั้นจะเป็นราคา 120,000 บาท เปลี่ยนสีดำจากเดิมนั้นเอง กระจกมองข้างก็มีการออกแบบดีไซน์ใหม่ ให้ดูขึ้นบางละเส้นสายเน้นเรื่องเวลาขับเร็วๆและไหลเวียนอากาศได้ดี และจะเห็นว่าตัวหลักคานั้นจะเป็นโทนดำทั้งหมดคล้ายกับ LA FERRARI ก่อนหน้านี้ อีกทั้งเส้นสายตรงประตูนั้นเราจะไม่เห็นที่เปิดแบบรุ่นก่อนๆแล้วแต่จะซ่อนเนียนอยู่ด้านบนนั้นเอง วิธีเปิดเพียงกดลงไปตามปกติถือว่าทำได้ดีกว่าตัวรุ่นก่อนหน้าเลยที่เดียวและใน จุดนี้ ต่อเนื่องมาถึงด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่ามีช่องดักลมขนาดใหญ่สำหรับห้องเครื่องต่างๆ และแน่นอนว่าชิ้นตรงนี้จะเป็นคาร์บอนด้วยแน่นอนว่าและเป็นออฟชันเสริมเช่นกัน

เครื่องยนต์นั้นจะเป็น V8 4.0 TWINTURBO ที่ได้รับรางวัลมากมาย และเจ้าเครื่องนี้มีกำลัง 780 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับ Motorไฟฟ้าที่มีกำลัง 220 แรงม้า โดยทำงานร่วมกันกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นครั้งแรกอีกครั้งของค่ายนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่ใส่เข้ามาเป็นครั้งแรก ทำให้มันสามารถความเร็ว 0-100 ได้ 2.5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากจริงๆใช้เวลา 2.5 วินาทีสำหรับช่วง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามด้วย 6.7 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์ Dual-Clutch แบบ 8 จังหวะ และให้แรงบิดมากกว่า แรงบิดสูงสุดถึง 900 นิวตันเมตร แต่ทั้งนี้ทั้งหมดแม้จะแรงขึ้นแต่ทำน้ำหนักให้เบากว่าเดิมแบบชัดเจน แน่นอนว่าด้านในข้างหลัง 2 ข้างนั้นจะเป็นฝาถังน้ำมัน และ ฝาสำหรับเสียบปลั๊ก ชาร์จไฟนั้นเอง ในรุ่นนี้จะเป็นหัว TYPE 2 มาตรฐานรุ่นใหม่ๆ ในการใช้งาน EV MODE ไฟฟ้าล้วนๆคันนี้ทำออกมาได้เอาเรื่องมากๆในการที่สามารถขับได้ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขับได้มากถึง 25 กิโลเมตรเทียบระยะทางแน่นอนว่าเยอะกำลังดีเพราะตัวแบตเตอร์รี่นั้นถือว่าไม่ได้ใหญ่มากด้วยและตัวรถที่เน้นประสิทธิภาพมันเลยจะเน้นทำงานควบคู่กันมากกว่านั้นเอง

INTERIOR 

ด้านพื้นที่ภายในนั้นถือว่ามีออกแบบพื้นที่ใช้งานได้ลงตัวไม่ว่าจะเป็นตัวเบาะจะเป็นแบบคาร์บอนทั้งหมดรวมถึงวัสดุในส่วนอื่นๆแต่ถ้าตัวรุ่นปกติจะเป็นเบาะอีกแบบพร้อมระบบไฟฟ้า ถือได้ว่างานออกแบบของรุ่นนี้นั้นลงตัว และล้ำยุคโดยเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนจากรุ่นก่อนๆมาใช้งานแบบเทคโนโลยีจัดเต็มทั้งหมด และวัสดุในด้านหลังก็เป็นคาร์บอนเช่นกันครับถือว่าในรุ่นตกแต่งพิเศษนี้คาร์บอนแน่นๆในแต่ละส่วน และทำให้ดูเบา ลดน้ำหนักได้เยอะพื้นที่เก็บของจริงๆรถแนวนี้จะไม่ค่อยมีเท่าไรนักครับ มีแค่ด้านหลังเก็บของนิดหน่อยได้แต่กระเป๋าเป้คงไม่ไม่พอแน่ๆและจะเห็นว่าวัสดุตรงนี้ก็ยังเป็นคาร์บอนทั้งหมดเลย และทั้งหมดนี้ทำให้มันสามารถลดน้ำหนักไปได้เยอะ

ภายในในรุ่นนี้เปิดประตูการก้าวเข้าออกนั้นไม่ได้ยากแบบที่คิดในการออกแบบภายในนั้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ทั้งหมดของค่ายนี้ ทิ้งงานออกแบบเดิมๆที่เราคุ้นเคยเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัวครับแผงประตูนั้นเราจะเห็นว่าเป็น คาร์บอนทั้งชิ้นและมีปุ่มเปิดปิดประตู เป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด แน่นอนว่าการวาง Layout ยังแอบมีรูปทรงของรุ่นก่อนๆอยู่บ้างและจะเห็นว่าตัวหน้าจอของฝั่งคนนั่งก็มีมาให้ใต้ตรงโลโก้สำหรับดูข้อมูลความเร็วเป็นต้น

ที่วางกุญแจที่เป็นโลโก้นั้นดีไซน์สวยงามและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนๆจะเป็นกุญแจสีแดงแบบทั่วไปในรุ่นก่อนๆที่จะเสียบก่อนและค่อยกดปุ่มครับถือว่าดีไซน์สวยและดูดีขึ้นมาก ส่วนคอนโซลกลางนั้นเราจะเห็นว่ามันเป็น เกียร์แบบใหม่แล้วไม่ใช่คันเกียร์แบบที่คุ้นเคยแต่ยังคงเอกลักษณ์แบบคลาสสคิคมาให้ในการปรับเปลี่ยนเกียร์ และมีที่วางกุญแจมาด้วยที่รูปทรงแปลกตาดูสวยงามมาก และวางซ่อนเนียนไปกับคอนโซลเลย ส่วนคอนโซลกลางนั้นจะเป็นช่องแอร์ที่ปรับแอร์เท่านั้นครับแบบระบบสัมผัสทั้งหมดเลยทั้งเลื่อนปรับได้ง่ายๆครับ ทั้งเรื่องความร้อนและพัดลม

พามาดูพวงมาลัยกันหน่อยในส่วนของพวงมาลัยยังคง คอนเซ็ปต์ตามองถนน มือจับพวงมาลัยแบบ รถสูตร 1 ได้ดีและแน่นอนคือการสั่งการใช้งานทุกอย่างยังคงอยู่บนพวงมาลัย ทั้งไฟเลี้ยวแบบกด การปรับทุกอย่างนั้นอยู่บนพวงมาลัยทั้งหมด รวมถึงปรับใช้งานแบบระบบสัมผัสเต็มรูป แบบ ยกเว้นปุ่ม ที่ยังคงเอกลักษณ์ Manettino บิดๆแบบเดิมครับ ส่วนการสตาร์ทนั้นแป้นปุ่มตรงกลางพร้อมแตะค้างเพื่อสตาร์ทเครื่อง ทางด้านเสียงของรุ่นนี้ใน ส่วนตัวพวงมาลัยนั้นสามารถปรับได้แบบมือแบบ4 ทิศทางเลย และเมื่อมาส่วนด้านบนก็จะเป็นไฟแบบระบบสัมผัสเช่นกัน และพวงมาลัยตัวคันจริงจะเป็นพวงมาลัยขวา ต่อกันที่เรือนไมล์นั้นเราจะเห็นว่าเป็นแบบ Full digital ทั้งหมดแล้วหน้าตาสวยงามากและมีรายละเอียดสวยงาม จอหลักเป็นโมเดล 3 มิติที่เห็นเส้นการขึ้นโครงของตัวรถสวยงามมากขึ้นจริงๆ

สำหรับตัวเบาะที่นั่งนั้นต้องบอกว่าเดิมๆนั้นจะเป็นระบบไฟฟ้ามีเมมโมรี่ที่ดูหรูหราแต่เมื่อปรับเป็นชุดแต่งแล้วนั้นจะเป็นเบาะแบบนักแข่งปรับมือโดยเป็น เบาะคาร์บอนทั้งหมดและรูปทรงค่อนข้างกระชับ จริงๆถือว่าเป็นงานออกแบบยุคใหม่  และวัสดุภายในห้องโดยสารนั้นจะเป็นแบบ คาร์บอนผสมหนังทั้งหมดในการขับขี่นั้นถือว่ามุมมองอะไรโปร่งกว่าที่คิดไว้แต่ถ้ามองในมุมของตัวรถ SuperCar นั้นขับได้สบายและพื้นที่การจัดวางตำแหน่งต่างๆทำได้ดีแต่ถ้าเป็นพวงมาลัยขวาตัวขายจริงในเรื่องของการขับที่วางเบรคและคันเร่งนั้นอาจจะต้องเอียงเท้าไปข้างซ้ายมากกว่าปกติเท่าที่เจอกัน

PRICE

เจ้าตัว FERRARI SF90 STRADALE ในรุ่นที่พรีวิวนั้นจะเป็นออฟชั่นที่น่าจะใส่มาแบบจัดเต็มที่สุดปรับทั้งวัสดุทั้งหมด สีการตกแต่งทั้งหลาย ทำให้มีราคาสูงขึ้น รวมถึงช่วงล่างและภายในภายนอกตัวรถทั้งหมด แน่นอนว่ารุ่นนี้ก็ยังถือว่าทำราคาได้ดีครับถ้าเทียบกับประสิทธิภาพของมัน อีกทั้งเรื่องของเทคโนโลยี การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ร่วมทั้งการออกแบบที่เเน้นเรื่อง AERODYNAMIC อย่างมากอีกทั้งยังเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของ FERRARI จริงๆ และยิ่งน่าสนใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีอะไรน่าติดตามเมื่อ FERRARI ได้กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในนวัตกรรมของค่ายและรถรุ่นต่อๆไปก็จะยิ่งน่าสนใจขึ้นเยอะมากแน่นอน และสำหรับในครั้งนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง CAVALLINO MOTOR ที่ได้ให้โอกาสทางเพจมาร่วมสัมผัสเจ้าตัว SF 90 STRADALE ในครั้งนี้ด้วยนะครับ

สำหรับพรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares