HUAWEI WATCH จัดว่าเป็น Smartwatch ที่ทำออกมาได้ดีและลงตัวไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2 ก่อนหน้าหรือรุ่นแรก จุดเด่นของมันจริงๆที่ใช้งานมาต้องบอกว่าเรื่องของฟีเจอร์ แบต และภาพรวมนั้นไม่ธรรมดาและราคาก็จับต้องได้สมกับคุณภาพที่ได้ อีกทั้งแบรนด์นี้ก็ยังคงพัฒนาสินค้า AIoT แบบเน้นๆขึ้นเรื่อยๆและมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ ฟีเจอร์ การควบคุมหรือว่าครั้งนี้ที่พัฒนาขึ้นในทุกๆส่วนแล้วด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ HARMONY OS 2.0 อีกครั้งแบบเต็มระบบในตัว นาฬิกาบอกเลยว่าไม่ธรรมดา และยังคงใช้งานร่วมกับมือถือทั่วไปได้สบาย ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบหลักๆหรูหราสวยขึ้น ปุ่มควบคุมแบบใหม่ และ ฟีเจอร์สุขภาพใหม่ๆทั้งหมด ทั้งการวัด ชีพจร , ออกซิเจนในเลือด ,การวัดอุณหภูมิผิวหนัง,การตรวจจับการล้ม เป็นต้น และฟีเจอร์หน้าจอ งานออกแบบสวยขึ้น พร้อมกับตัวเรือนรองรับการชาร์จไร้สาย และ โหมดออกกำลังอีกมากมายเลยทีเดียว

HUAWEI WATCH 3 มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED แบบโค้งขนาด 1.43 นิ้วแบบตอบสนองเร็ว, ปุ่มด้านข้าง และขอบตัวเครื่องหมุนได้อย่างอิสระ ตัวหน้าปัดมาพร้อมหน้าปัดเริ่มต้นให้เลือกกว่า 30 แบบรวมทั้งแบบขยับได้ (animated) และสามารถเลือกได้อีกกว่า 1000 แบบใน HUAWEI Watch Face Store หรือจะสร้างหน้าปัดเองโดยใช้คลิปวิดิโอความยาว 5-10 วินาทีได้เช่นกัน ภายในตัวสมาร์ตวอทช์รองรับการใช้ eSIM เพื่อใช้รับ-โทรได้ด้วยตนเอง ด้วยไมโครโฟนและลำโพงในตัว รวมทั้งรองรับเครือข่าย 4G และความจำภายใน 16GB สำหรับเปิดและจัดเก็บเพลงได้โดยไม่ต้องใช้สมาร์ตโฟน นอกจากนี้ยังสามารถโหลดแอปต่าง ๆ บน HUAWEI AppGallery ลงบนตัวสมาร์ตวอทช์ได้เช่นกัน ตัว HUAWEI WATCH ยังสามารถควบคุมการรับสายโทรศัพท์หรือปิดเสียงเรียกเข้าได้ นอกจากนั้นยังมาพร้อมโหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด, โหมด Pro 19 โหมดสำหรับโหมดกีฬาทั้งแบบ indoor และ outdoor โหมด custom อีก 85 โหมด รวมทั้งสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้ 6 โหมด ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ได้แก่ การควบคุมการถ่ายรูป (Remote Shutter), การตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง, เซนเซอร์วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes รวมทั้งมาพร้อมเซนเซอร์ SpO2 นอกจากนี้การตกทุกรูปแบบจะทำให้ HUAWEI WATCH 3 เข้าสู่โหมดฉุกเฉินและติดต่อคอนแทคที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องของกันน้ำได้ 5ATM ส่วนทางด้านราคาเองนั้นมาพร้อมกับ 12,990 บาท 

UNBOX

  • ตัวเครื่อง HUAWEI WATCH 3
  • สายขนาด 22 มม. 1 ขนาด ติดมากับตัวเรือน
  • ที่ชาร์จแบบไร้สาย Magnet พร้อมหัว UAB-A
  • คู่มือการใช้งาน

DESIGN

งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น 2 ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ตัวเรือนต่างๆอีกทั้งในเรื่องของปุ่ม การออกแบบการควบคุมและฝาหลังตัวเรือนที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเลยจริงๆ ถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาได้น่าสนใจและบอกเลยว่าสวยงามกว่ารุ่นก่อนหน้าทันทีแต่ถ้ามองถามว่าความสายลุยรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เท่ากับรุ่นก่อน เพราะว่าหน้าปัดโค้งมนอะไรมากขึ้น มินิมอลสวยหรูขึ้น แต่ถ้าชอบสายลุยนั้นจะมีตัว 3 Pro หน้าปัดและเส้นสายจะดุดันกว่านั้นเองครับ ส่วนน้ำหนักอะไรนั้นด้วยการที่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ สแตนเลส ผสม เซรามิกทั้งหน้าและหลัง ทำให้หนักกว่าบอดี้พลาสติกแบบรุ่นก่อนครับ แต่ก็ได้ความแข็งแรง พรีเมี่ยมมากขึ้นส่วนตัวชอบแบบใหม่และผิวสัมผัสใช้งานดูแพงกว่าชัดเจนครับ

งานออกแบบเราจะเห็นว่าตัวเรือนนั้นมีความโค้งมนมากขึ้น 3 มิติทั้งหน้าและหลัง ขอบกระจกหน้าจอโค้งและฝาหลังโค้งไปทุกๆส่วนจากที่รุ่นก่อนหน้า จะเน้นความเหลี่ยมสันมากขึ้นนั้นเอง แต่ตัวสายเองนั้นใช้งานแบบเดิมพร้อมกับขนาดเดิม สามารถสลับใช้งานกับรุ่นก่อนหน้าได้ หรือว่าไปหาซื้อสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกันครับ สำหรับขนาดนั้น จะหนาประมาณ 12.15 มม. และตัวเรือนนั้นจะมีน้ำหนัก 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ) ก็ถือว่ากลางๆไม่เบาไม่หนัก

ทางด้านสายเป็นขนาด 22มม.มาตรฐานสากล สามารถเดินไปเลือกสายที่ร้านนาฬิกาได้แบบง่ายๆ หรือจะสั่งสายตัวก่อนหน้ามาเปลี่ยนใช้งานก็ได้เช่นกัน เพราะเท่าที่ลองนั้นสลับใส่ใช้งานได้เลยครับ ขนาดและตัวล็อกแบบเดียวกัน ส่วนสายที่ให้มานั้นเป็นยางซิลิโคนสีดำเรียบๆไม่ได้มีลวดลายอะไรเท่าไร นิ่มกำลังดีและสามารถปรับขนาดได้เยอะมากๆเช่นกัน ตัวล็อกให้มา 2 อันสำหรับล็อกเพื่อความแน่นหนาเวลาออกกำลัง อีกทั้งการเปลี่ยนสายยังคงเป็นสลักแบบรุ่นก่อนแต่ออกแบบเรียบๆมากขึ้น สามารถถอดได้ง่ายและไม่ต้องใช้งานเครื่องมืออะไร ทำให้เปลี่ยนเองได้เลย

ตัวหน้าจอนั้นมีขนาดใหญ่เต็มขอบมากขึ้นมาพร้อมกับกระจกด้านหน้าแบบขอบโค้ง 3 มิติแตกต่างกับรุ่นก่อน เน้นความสวยงามมากขึ้น แต่เรื่องฟิล์มอาจจะหายากนิดหน่อยครับ หน้าจอใช้งาน หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326/60Hz รองรับการสัมผัสที่เนียนตามากขึ้น และสู้แสงได้สวยงามและมี Always On Display ด้วยเช่นกัน ส่วนในด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่า สวยหรูกว่าเดิมพร้อมกับไม่มีแถบทองแดงแล้ว ในรุ่นนี้เลยเป็นการชาร์จไร้สายแทนครับ และมีการเขียนสเปก และเซนเซอร์การวัดแบบใหม่ตรงกลางที่ทำงานได้ดีขึ้นด้วย วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes ทำให้รองรับการทำงานเต็มรูปแบบ ทั้งวัด ออกซิเจนในเลือด การวัด อุณหภูมิผิวหนังที่รุ่นก่อนหน้าไม่มี รองรับการวัดชีพจรตลอดเวลาเช่นเดิมครับ

ตัวเรือนที่เราเห็นแน่นอนว่าความหนาอะไรนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใหญ่แบบรู้สึกชัดเจนแต่ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนนั้นจะเป็นการออกแบบปุ่ม และส่วนอื่นๆใหม่ทั้งหมดจะเห็นว่าหน้าจอขอบเครื่องโค้งสวยงาม ส่วนด้านขวานั้นจะเป็นปุ่มควบคุมแบบใหม่ ที่เป้นคล้ายเม็ดกระดุม แต่สมารถหมุนควบคุมสั่งงานได้ด้วย แอบคล้ายอีกค่ายนิดนึงนะส่วนนี้ และสามารถกดอะไรได้เช่นเดิม ถือว่าเป็นการเปลี่ยนการควบคุมทำให้เวลาเลื่อนในหน้าจอได้ง่ายขึ้น และ ปุ่มหลักก็ยังคงใส่เข้ามา และเราจะเห็นตัว ลำโพงที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับระบบไล่น้ำใส่เข้ามาให้ และไมค์นั้นจะอยู่ในฝั่งซ้าย

ขอเทียบงานออกแบบกับ GT รุ่น 2 นิดหน่อยแน่นนอว่าหน้าจอเปลี่ยนแปลงชัดเจนขนาดที่ใหญ่ขึ้น สู้แสงได้ดีขึ้น และสีสวยตรงขึ้น อีกทั้งการสัมผัสเนียนมือและไหลลื่นกว่าเพราะว่าปรับมาใช้ 60Hz และงานออกแบบจากหน้าจอเรียบๆนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นหน้าจอขอบโค้ง และปุ่มต่างๆเปลี่ยนแปลงใหม่หมด แต่เส้นขอบๆขอบหน้าจอจะหายไปจะไปอยู่ในรุ่น 3 Pro แทนนั้นเอง ซึ่งถ้าใครชอบความเท่ๆลุยๆ แนะนำไป 3 Pro มากกว่า ส่วนทางด้านสายเองนั้นลองให้แล้ว สามารถสลับใช้งานเปลี่ยนได้อิสระเลยครับ รองรับได้ทั้งหมด และยังเปลี่ยนแบบสายทั่วไปได้ด้วยเช่นกัน

SPEC

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326
  • ชิปประมวลผล Hi6262
  • RAM 2GB + ความจำภายใน 16GB
  • ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 2.0, เชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์ Android 6.0 หรือสูงกว่า, iOS 9.0 หรือสูงกว่า
  • มีปุ่มด้านบนและด้านล่าง มีกรอบหน้าปัดหมุนได้
  • เซนเซอร์: Accelerometer sensor, Gyro sensor, Geomagnetic sensor, เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, Ambient light sensor, Barometric pressure sensor, เซนเซอร์อุณหภูมิ
  • ไมโครโฟนและลำโพงในตัว
  • กันน้ำและกันฝุ่น (5ATM)
  • โหมดออกกำลังมากกว่า 100 โหมด สามารถตรวจจับการออกกำลังกายพื้นฐานได้ 6 ประเภท, ติดตามการนอน, แสดงผลการเต้นหัวใจ, ตรวจจับออกซิเจน SpO2, ตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง
  • ขนาดตัวเครื่อง Watch 3 : 46.2 x 46.2 x 12.15มม.; น้ำหนัก: 54 กรัม (ไม่รวมสายรัดข้อมือ)
  • รองรับเครือข่าย 4G LTE (ผ่าน eSIM), Wi-Fi, Bluetooth 5.2, GPS (L1 + L5 เฉพาะในรุ่น Pro) +GLONASS + Galileo + Beidou, NFC
  • แบตเตอรี่ของ WATCH 3: 450mAh ที่ใช้งานติดต่อกันได้ 3 วันเมื่อใช้ smart mode, และใช้งานได้ 14 วันเมื่อใช้โหมดประหยัดพลังงาน

SOFTWARE 

ทางด้านระบบที่ใช้ในมือถือนั้นต้องใช้แอป Huawei Health นะครับ โหลดจาก Playstore ได้เลยไม่ต้องไปสแกนบนตัวนาฬิกาให้ยุ่งยากนะครับ เหมือนโหลดมาแล้วก็เชื่อมต่อปกติได้เลยไม่มีอะไรยากครับ เปิด Bluetooth บนมือถือแล้วมันก็จะจับหามาให้ แอปนั้นใช้งานง่ายครับ มีภาษาไทยอะไรเรียบร้อย และ หน้าตาใช้งานไม่ยุ่งยากครับผม และ ยังรองรับการใช้งานกับ Android , iOS ทั่วไปได้ครับ และ สามารถใช้งานกับ Mate 30 Pro ได้ปกติเลย

หน้าตาในการใช้งานแอปนั้นจะมี 4 หน้าหลักๆคือ หน้าหลักภาพซ้ายสุด คอยสรุปทั้งหมดในเรื่องของการออกกำลังกาย หน้าถัดมานั้นคือการเข้าโหมด ออกกำลังที่สามารถเข้าผ่านมือถือหรือ นาฬิกาก็ได้ และยังมี ครูฝึกให้เราด้วย ส่วนขวานั้นจะเป็นข้อมูลนาฬิกาของเรา และ บอกสถานะล่าสุดต่างๆของนาฬิกา และตัวขวาสุดนั้นเป็นข้อมูลส่วนตัว การตั้งค่าเป้าหมายและน้ำหนักอะไรพวกนี้ไปตั้งค่าได้เลยครับ และ มีการสรุปเหรียญของเราด้วยว่าทำอะไรได้ถึงเป้าหมายบ้าง

หน้าตาหลักๆก็จะบอกสถานะแบต การเดิน การเผาผลาญต่างๆอีกทั้งหน้าปัดบางส่วน และตั้งค่าทั้งหมดสามารถเข้ามาได้ รวมถึงการทำ eSIM ก็รองรับได้ด้วยสามารถติดต่อเครือข่ายในไทยทำได้เลยครับบอกเลยว่าสะดวกมากๆ

การตั้งค่าเตือนก็สามารถตั้งได้ว่าจะเป็นแบบการแจ้งเตือนอะไรบ้าง การนอนให้ตรวจจับเองเลยหรือไม่ การตรวจจับความเครียด หรือ SpO2 ก็สามารถตั้งค่าได้ทั้งหมด อีกทั้ง การตรวจจับอุณหภูมิผิว ซึ่งถ้าเปิดแบบเต็มทั้งหมดแบตก็จะลดไปไวขึ้นนั้นเองครับอาจจะได้ 2-3 วันเท่านั้น แต่ถ้าปิดหมดก็ยืดอายุแบตได้ด้วยเช่นกัน หรือว่าจะเป็นการแจ้งเตือนแอปก็รองรับได้ทั้งหมด และ หน้าตา Watchface  เยอะมากและซื้อก็ได้หรือว่าจะเป็นแบบฟรีก็เยอะเช่นกัน

การออกกำลังกายสามารถเข้าผ่านตัวนาฬิกาหรือตัวมือถือได้ทั้งหมดก็จะจับได้แบบละเอียดเลยว่าทำอะไรยังไงบ้างแล้วจะสรุปมาให้ทั้งหมด หรือจะเป็นคอร์สการวิ่ง เดินต่างๆก็เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวได้ทันทีถือว่าระบบจัดการได้ดีมากๆ

หน้าส่วนแสดงข้อมูลการนอนหลับต่างๆหรือว่าคะแนนที่เราได้รวมถึงบอกแบบละเอียดเลยว่าเรานอนไปกี่ชั่วโมงต่างๆซึ่งในการทดสอบนั้นไม่ต้องเชื่อมต่อมือถือก็สามารถตรวจจับได้ด้วยเช่นกัน หรือว่าจะเป็นการนับก้าว การวัดข้อมูลก็จะแสดงผลได้แบบนี้เลยนั้นเองครับว่าจะเป็นยังไง ค่าแต่ละวัน แต่ละเดือนถ้าหากใส่ทุกวันก็สามารถจับได้ทั้งหมด

SCREEN 

หน้าจอของรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบ AMOLED กระจกแบบ 3D ที่แตกต่างกับรุ่น2ครับ ซึ่งในรุ่น 2 นั้นกระจกจะมีการตัดเหลี่ยมลงมาขอบๆ แต่ก็ยังเป็นกระจกแบบเรียบๆในส่วนด้านหน้า แต่รุ่นนี้เปลี่ยนแปลงใหม่หมดกระจกโค้งแบบโค้งทำมุม 3 มิติเยอะกว่าและไม่มีการตัดเหลี่ยมทำให้การติดฟิล์มอะไรยากขึ้นแน่นอน แต่ถ้ามองในแง่ของการออกแบบนั้นดูทันสมัย ใส่ทั่วไปได้ และดูสวยขึ้นเยอะมากๆครับ ขนาดหน้าจอโดยรวมใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น ลื่นไหลขึ้นเช่นกัน หน้าจอแบบเต็มวงกลม AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว (466×466พิกเซล) ที่มี PPI 326 ที่รองรับการปรับแสงแบบ Auto ได้ด้วยครับ เท่าที่ทดสอบในการถ่ายกลางแจ้งมุมสะท้อนๆก็ยังพอเห็นได้ชัดเจนครับ สำหรับใครชอบใช้ข้างนอก กลางแจ้ง ส่วนการสัมผัสด้วยตัวระบบที่ไม่ได้มีอะไรเยอะทำให้มันไม่หน่วงเลย และติดนิ้วใช้งานได้ลื่นไหลดีกว่ารุ่น 2 ชัดเจนเพราะแอดเองใช้งานทั้ง 2 รุ่นอยู่ครับ รู้สึกต่างชัดเจน และมี Always On ใช้งานได้สบายๆ

FEATURE 

ต้องบอกว่าการพัฒนาหลักๆคือฟีเจอร์ที่ครั้งนี้ให้มาเยอะกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ หรือ โหมดการออกกำลังกายที่ถือว่าเยอะจัดเต็มมากๆอีกทั้งการรองรับภาษาไทย แจ้งเตือน รองรับ eSIM ต่างๆ การกันน้ำระดับ 5ATM หรือจะเป็นการให้โหลดแอปเพิ่มเติมได้มากกว่าเดิม และแน่นอนว่า ยังสามารถควบคุมการรับสายโทรศัพท์หรือปิดเสียงเรียกเข้าได้ นอกจากนั้นยังมาพร้อมโหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด, โหมด Pro 19 โหมดสำหรับโหมดกีฬาทั้งแบบ indoor และ outdoor โหมด custom อีก 85 โหมด รวมทั้งสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้ 6 โหมด ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ได้แก่ การควบคุมการถ่ายรูป (Remote Shutter), การตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง, เซนเซอร์วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes รวมทั้งมาพร้อมเซนเซอร์ SpO2 นอกจากนี้การตกทุกรูปบบจะทำให้ HUAWEI WATCH 3 เข้าสู่โหมดฉุกเฉินและติดต่อคอนแทคที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่หลายๆคนน่าจะชอบกัน

หน้าปัดหลักสามารถเปลี่ยนได้หลากหลายแบบในภาพนั้นเป็นน้องฉลามก็สามารถโหลดใช้งานได้ฟรีครับ น่ารักเลยทีเดียว อีกทั้งในหน้า Quick Setting เองนั้นมีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น และ ใช้งานได้ดีขึ้นเลื่อนลงมาจากข้างบนนะครับเหมือนกับมือถือเลยนั้นเอง ส่วนการแจ้งเตือนนั้นจะเลื่อนจากข้างล่างขึ้นมาแยกเป็นแอป และ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดหรือข้อความอื่นๆได้ แต่ไม่สามารถตอบกลับได้นะครับ ตัวนี้เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าเลยนั้นเอง และตัวเม็ดกระดุมนั้นสามารถเลื่อนหมุนได้ ทำให้เราเลื่อนขึ้นลงได้เวลาอ่านข้อความต่างๆ ฟอนต์ไทยอ่านง่ายและมองได้ชัด

ยังมีในส่วนของการบอกสภาพอากาศ และวงแหวนการเดิน การก้าวต่างๆและการออกกำลังคร่าวๆครับ และในครั้งนี้สามารถควบคุมเพลงได้แล้วทั้งเรื่องของเพลง บนตัวนาฬิกาที่จะเล่นผ่านลำโพงนาฬิกา หรือจะเป็นเพลงบนมือถือที่รองรับ Spotify นั้นเอง หรือแอปอื่นๆก็สามารถรองรับได้เลย แต่น่าเสียดายว่าไม่มีแอปแยกของ Spotify ให้

หน้าตาแอปเองนั้นต้องบอกว่าหน้ารวมแอปมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เป็นแบบตารางและสามารถซูมเข้าออกผ่านตัวเม็ดกระดุมได้ด้วยนะ หรือถ้าใครชอบแบบ List ก็สามารถปรับได้เช่นกันเป็นการเรียงแบบรุ่นก่อนๆ รวมถึงตัวแอปเยอะมากขึ้น และ หน้าจอเองนั้นรองรับการใช้งาน Always On ได้ในหลายๆหน้าปัดการออกแบบจะแสดงผลแตกต่างกันไป

ในเรื่องของการตั้งค่านั้นใช้งานได้ง่ายขึ้น ไอดีซิงค์กับตัวมือถือได้ทันทีและสามารถใช้งานข้อมูลต่างๆได้รวมถึงรุ่นนี้สามารถรองรับการตรวจจับ การหกล้ม และแจ้งเตือนให้ได้ด้วยเช่นกันในการตั้งค่าตรง SOS – Fall Detection นั้นเองครับ แต่ต้องไปตั้งค่าข้อมูลในส่วน บนแอปมือถือ Profile  ก่อนด้วยนะ ส่วนตั้งค่าอื่นๆก็รองรับทั้งหมด eSIM – Wifi- Bluetooth – NFC – หน้าจอความสว่าง หรือ จะเป็น  Always On Display และ Gesture ในการควบคุมการรับสายแค่ ขยำมือก็สามารถรับสายได้ด้วยเช่นกัน ถือว่า เข้าใช้งานได้ง่ายขึ้น และ ปรับแต่งได้หลากหลายขึ้นครับ

WORKOUT

ทางด้านการออกกำลังกายเองนั้นรุ่นนี้ยังคงพัฒนาโหมดการออกกำลังกายที่เยอะมากๆไม่ว่าจะเป็นตัวนาฬิกาเอง หรือว่าบนตัวมือถือเองก็ตาม มีแม้แต่เป็นการกระโดดเชือก โหมดออกกำลังกายมากกว่า 100 โหมด, โหมด Pro 19 โหมดสำหรับโหมดกีฬาทั้งแบบ indoor และ outdoor โหมด custom อีก 85 โหมด รวมทั้งสามารถตรวจจับการออกกำลังกายแบบพื้นฐานได้ 6 โหมด  เรียกได้ว่าจัดเต็มและสามารถกดได้จากตัวเรือนเลยไม่ต้องเข้าผ่านมือถือครับทำให้การใช้งานนั้นสะดวกมากๆ และ สามารถติดตามได้ตลอดเวลา รวมถึงมีเสียงเวลากดใช้งานหรือหยุดด้วยเช่นกัน

โหมดออกกำลังต่างๆนั้นสามารถปรับแต่งได้ทั้งหมด รวมถึงปรับเป้าหมายของเราได้ด้วยเช่นกันว่าจะเป็นกี่กิโล กี่ก้าวต่างๆ และ จะติดตามเส้นทางได้ด้วยถ้าหากมีการใช้งาน eSIM และ เชื่อมต่อมือถือไว้ครับ เพราะว่ารุ่นนี้มี GPS ในตัวจริงๆก็สามารถ Stand alone ได้เลยเช่นกัน และเมื่อใช้งานก็จะติดหน้าจอบอกข้อมูลไว้ตลอดว่าเท่าไรยังไงบ้าง

NOTIFICATION

แน่นอนว่ารองรับภาษาไทยแล้วและสามารถอ่านได้เลยทั้งพวก LINE – MASSENGER แต่ก็ได้แค่อ่านเท่านั้นครับ จะแตกต่างกับพวก Smartwatch บางตัวที่เราสามารถ พิมพ์ตอบ หรือพูดตอบได้ กดไลก์ตอบอะไรได้ หรือ คำสั่งเสียงอะไรแบบนั้นครับ แอบเสียดายว่ามีไมค์แล้วแต่ไม่สามารถตอบกลับได้เลย ส่วนการแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็เด้งมาบอกว่าใครโทรมา กดรับสายวางสาย และคุยผ่านตัวนาฬิกาได้แล้วครับ รวมถึงการรองรับ eSIM ทำให้มัน Stand alone ได้ทันทีรับสาย โทรออก ใช้งานแบบเต็มๆได้เลยครับถือว่าดีขึ้นเยอะมาก แต่เสียดายน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้นนิดหน่อย ในด้านของข้อความต่างๆ  และการควบคุมเพลงอะไรต่างๆนั้นก็ใส่เข้ามาแล้ว แต่ยังคงไม่มีแอป นอกที่คนใช้งานกันเท่าไร เช่น Spotify – Google Maps ต่างๆ ทำให้ควบคุมเพลงอาจจะไม่ได้ 100% มากนัก

CALLING 

ในการรับสาย หรือว่าการโทรเข้า/ออก นั้นถ้าหากไม่ได้ใช้งาน eSIM ก็ยังสามารถเชื่อมใช้งานปกติได้ครับการแจ้งเตือนรับสาย วางสายสามารถกดผ่านตัวนาฬิกาได้เลย หรือว่าท่าทางขยับ บีบมือ แบบมือเพื่อรับสายได้ด้วยเช่นกันและในการโทร หรือ ว่าคุยโทรศัพท์เองนั้นก็สามารถคุยผ่านตัวนาฬิกาได้เลย เพราะว่ามีทั้ง ไมค์ ลำโพงพร้อมใช้งาน และในการโทรออกเองนั้นสามารถกด เบอร์โทรออก หรือว่า หารายชื่อผ่านตัวนาฬิกาได้ทันที อีกทั้งปรับระดับเสียง หรือ ถ้าใช้งาน eSIM ก็จะไม่ต้องการเชื่อมต่อมือถือในการใช้งานเลยแม้แต่น้อย ก็ถือว่าสะดวกมากขึ้นชัดเจน

ในการใช้งานจริงนั้น เสียงไมค์สามารถรองรับได้ดีแต่ต้องยกขึ้นมาสูงในภาพ ทางฝั่งผู้รับจึงจะพอคุยกันรู้เรื่องครับ และ เสียงลำโพงถือว่าดังพอสมควรดังกว่ารุ่น 2 ที่แอดใช้อยู่ และ ชัดเจนมากขึ้น ส่วนเสียงไมค์นั้นไม่ได้หนีกันมากครับในการใช้งานจริงตามสภาพถนน หรือ ข้างนอกทั่วไป แต่ถ้าอยู่ในบ้านนั้นเสียงดัง ชัดเจนและคุยกันรู้เรื่องมากกว่า

SKIN TEMPERATURE

อีกฟีเจอร์ที่เสริมเข้ามาในรุ่นใหม่นี้จะเป็นการวัดอุณหภูมิผิวของเรา ซึ่งตัวนี้อาจจะไม่ได้วัดเหมือนกับวัดไข้ครับแต่เป็นการจับอุณหภูมิผิวของเราคร่าวๆว่า จะมีโอกาสเป็นหวัด หรือ เป็นอะไรในอนาคตไหมซึ่งตัวเลขอาจจะไม่ได้บอกชัดเจนหรือไม่เท่ากับการวัดผ่านเครื่องวัดตรงๆแต่ตัวระบบ AI เองนั้นจะคิดให้เองว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเยอะๆมากมายนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะไม่สบายมากขึ้นนั้นเอง ก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เสริมเข้ามาและช่วยในยุคนี้ได้ดีมากๆครับ

SpO2 – HEART RATE 

ทางด้านการวัดสุขภาพไม่ว่าจะเป็น ชีพจร , SpO2 และ การตรวจจับการนอนต่างๆนั้นตัวนี้สามารถรองรับได้ทั้งหมดและอ่านค่าได้แม่นยำกว่าเดิมเพราะว่ารุ่นนี้มีการพัฒนาเซนเซอร์ใหม่ทั้งหมด การตรวจจับอุณหภูมิผิวหนัง, เซนเซอร์วัดการเต้นหัวใจ TruSeen 4.5 ที่ใช้ไฟ LED แบบ 6-in-1 และ 4 photodiodes รวมทั้งมาพร้อมเซนเซอร์ SpO2  และ ยังมีตัวจับ ถ้าเราหกล้ม หรือเป็นลมก็จะทำการส่ง SMS  แจ้งๆไปยังผู้ติดต่อทันทีครับ ถือว่าสำคัญมากๆเลยทีเดียว และตัวนี้สามารถอ่านชีพจนตลอดเวลาได้ และ สามารถกดวัดได้ด้วยเช่นกันและจะคอยสรุปประจำวันให้ในตัวมือถือว่ามีค่าอย่างไร มากน้อยแค่ไหน รวมถึงจะเป็นการทำงานร่วมกันและประมวลผลความเครียดด้วยนั้นเอง

HUAWEI APP GALLERY 

ในรุ่นก่อนนั้นยังไม่ได้ใช้งาน HARMONY OS อาจจะไม่ได้มีการใช้งานแอปอะไรหลากหลายเท่าไร แต่พอมารุ่นนี้นั้นมีตัว HUAWEI App Gallery ให้มาบนนาฬิกา สามารถกดสั่งใช้งาน หรือ ลงในตัวเรือนได้ทันทีไม่ต้องเข้าไปในมือถือครับ แต่เอาจริงๆนั้นตัวแอปยังไม่มีตัวที่ใช้งานประจำ เช่น Starbucks – Spotify – QR Code ต่างๆ ที่แอดมักจะใช้ ซึ่งตัวนี้ยังไม่มีแอปเทพๆแบบนั้นมารองรับครับ เลยอาจจะต้องรอพัฒนา หรือให้มันมีความหลากหลายมากขึ้นน่าจะดี แต่ถือว่าเป็นการพัฒนาจากรุ่นก่อนที่ โหลดอะไรได้ยากนั้นเองครับ แต่ยังดีที่มีตัวนำทาง Petal Maps ซึ่งเมื่อเรากดนำทางในมือถือแล้ว ตัวนาฬิกานั้นจะสามารถบอกเส้นทางแบบ realtime ได้เลยถือว่าสะดวกเช่นกันครับ

FEELING 

การสวมใส่ใช้งานแน่นอนว่าทางด้านสายรุ่นก่อนนั้นจะค่อนข้างแข็ง และ อาจจะไม่ได้ใส่นุ่มสบายมากนักแต่พอมารุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อวัสดุของสายใหม่ รู้สึกได้เลยว่ามีความนุ่ม เนียนและงานดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอีกทั้งสามารถใส่ได้สบายๆทั้งวัน และ ไม่ระคายอะไรอีกทั้งรองรับการออกกำลังกายได้สบายเช่นกัน ส่วนเรื่องขนาดหรือน้ำหนักนั้นแอบมากกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับหนักสำหรับข้อมือสาวๆก็สามารถใส่ได้ไม่มีปัญหา แต่ขนาดหน้าปัดนั้นสำหรับผู้ชายกำลังดีนะ แต่ถ้าสาวๆข้อมือเล็กอาจจะต้องไปลองกันอีกทีนึง ทางด้านการควบคุมใช้งานนั้นดีกว่าเดิม หน้าจอสัมผัสเนียนขึ้น ไวขึ้น และ ปุ่มต่างๆออกแบบใหม่ทำให้สามารถหมุนตัวเม็ดกระดุมได้รู้สึกว่าได้ใช้งานจริงมากขึ้นครับ

สายยังไม่เจออาการแพ้อะไรแม้จะใส่ทั้งตอนนอนหรือตอนตื่น ถอดแค่ตอนอาบน้ำเท่านั้นครับ ก็ยังไม่แพ้อะไรนะในจุดนี้ ส่วนตัวระบบที่ใช้งานกับนาฬิกาก็ทำได้ดีครับไม่หน่วงไม่เอ๋ออะไร เรื่องการใช้งานกันน้ำตัวนี้ทำได้ดีรองรับมากถึง 5ATM แน่นอนว่าใส่ว่ายน้ำสบายๆครับ และใช้งานทั่วไปก็สบายๆชอบตรงที่มันใส่ได้ไม่ต้องกังวลเลยแหละ และ ยัง Stand Alone ได้จริงๆไม่ต้องพกมือถือเวลาออกกำลังกายด้วย เพราะว่ามี eSIM และ ระบบที่ใช้งานเต็มรูปแบบทางด้าน HARMONY OS 2.0 ซึ่งจริงๆพอมาใช้งานแบบนี้ถือว่าลงตัวและไม่ต้องมี GMS ก็ไม่มีปัญหาเลยครับ

WIRELESS CHARGING 

ทางด้านการชาร์จในรุ่นนี้รองรับการชาร์จไร้สายมาตรฐานทั่วไปได้แล้ว ทำให้การใช้งานนั้นสะดวกมากขึ้นเวลาไปข้างนอกไม่ต้องพกที่ชาร์จอะไรไปมากเท่าไร ถ้าหากมีสถานที่ หรือ ที่รองรับการชาร์จไร้สายนั้นเอง และทำให้สามารถชาร์จผ่านตัวมือถือที่สามารถชาร์จย้อนกลับได้ด้วยแบบในภาพนั้นเป็น Huawei Mate 30 Pro นั้นเองครับ ถือว่าเป็นจุดที่ชอบและอยากให้หลายๆค่ายทำให้รองรับได้แบบนี้ ส่วนการชาร์จไร้สายจะมีข้อระวังคือความร้อนสะสมได้ง่าย และ ต้องระวังถ้าหากชาร์จทิ้งไว้นานๆในบางครั้งนั้นเอง เครื่องจะร้อนและเตือนให้ใช้งานโหมดเครื่องบิน เพื่อรักษาอุณหภูมิ ส่วนที่ชาร์จที่ให้มานั้นจะไม่สามารถถอดหัวแบบรุ่นก่อนได้แล้ว อันนี้แอบเสียดายเพราะว่ารุ่นก่อนๆแอดแค่พกตัวแท่นชาร์จไป และเสียบกับสาย TYPE-C ได้ แต่ครั้งน้เวลาพกต้องพกทั้งสาย และหัวติดไปด้วยกันนั้นเองครับ  ส่วนทางด้าน อายุการใช้งานนั้นได้ 3 วันไม่อึดเท่ารุ่นก่อนหน้า และแบตไปไวมากกว่าชัดเจนอันนี้เป็นข้อสังเกตหลักๆ

HUAWEI WATCH 3 

” Watch 3 ในครั้งนี้ทำออกมาลงตัว พัฒนาขึ้น สวยขึ้น แต่แบตลดไวกว่าเดิม “

Huawei ยังคงโดดเด่นในเรื่องของการทำ บรรดา Gadget ออกมาใช้งานและต้องบอกเลยว่าทำได้ดีมากๆด้วยนะและในตัวนาฬิกานี้ไม่ผิดหวังอีกแล้ว ทั้งเรื่องของฟีเจอร์ คุณภาพ วัสดุการใช้งาน และการออกมาแก้ไขจุดด้อยในเรื่องการใช้งานในรุ่นก่อนๆได้แบบลงตัวทั้งหมด อีกทั้งยังพัฒนาระบบหน้าตาอะไรเข้ามาใหม่มากขึ้น การออกกำลังกายต่างๆเยอะขึ้นรวมถึง การใช้งานเรื่องของสุขภาพทั้ง วัดชีพจร วัดออกซิเจนในเลือก หรือแม้แต่ตัวใหม่ที่รองรับการวัดอุณหภูมิบนผิวหนังของเรา และ การวัดความเครียด การนอนหลับ และอีกมากมายครับบอกเลยว่าทำได้น่าสนใจทั้งหมด และ หน้าจอสวยขึ้น สัมผัสดีขึ้น ลื่นไหลขึ้นระบบตอนสนองได้ไว แต่จุดที่แอบเสียดายคือแบตมันได้ 2-3 วันเท่านั้นแล้วถ้าเปิดแบบโหดๆใช้งานทั่วไป แต่ถ้าใช้แบบประหยัดอาจจะได้ 10-14 วันครับเท่าที่ลองได้ 9 วันประมาณแล้วแต่การแจ้งเตือนหรือว่าตามสเปกต่างๆด้วยเช่นกันว่าจะรองรับสูงสุด 14 วัน และ ตั้งค่าวัดอะไรยังไงบ้างนั้นเอง

ข้อดี

  • งานออกแบบสวยหรู ดูดีกว่ารุ่นก่อนหน้าชัดเจน
  • คุณภาพบอดี้ตัวเรือน วัสดุสแตนเลส พร้อม เซรามิก ผิวสัมผัสทำได้ดีมาก
  • หน้าจอสวย สว่างสู้แสงได้ดี พร้อม สัมผัสลื่นไหลกว่าเดิม
  • Harmony OS ลงตัวเมื่อใช้งานกับนาฬิกา หน้าตาสวย ใช้งานได้ดี
  • ระบบตรวจจับการล้มใส่เข้ามาให้แล้ว
  • รองรับการวัดข้อมูลแบบเต็มระบบ SpO2 , HeartRate , อุณหภูมิผิว , การนอน , ความเครียด
  • หน้าตา UI บนมือถือ และ นาฬิกาใช้งานได้ง่าย ละเอียด
  • หน้าตาปรับแต่งได้เยอะมากหลากหลาย และ รองรับภาษาไทย
  • แจ้งเตือนทำได้ไว อ่านได้ง่าย รองรับหลายแอปทั้งหมด
  • เสียงลำโพงดังชัด ไมค์ทำได้ดีเช่นเดิม

ข้อสังเกต 

  • แบตค่อนข้างไปไวกว่ารุ่นก่อนหน้า 2-3 วันก็ต้องชาร์จแล้ว
  • ที่ชาร์จที่ให้มาไม่สามารถถอดแต่หัวได้แบบรุ่นก่อนแล้ว
  • แอปภายนอกยังน้อย ทั้ง Spotify Starbucks และอื่นๆ

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares