ในยุคนี้หลายๆคนเวลาเดินทางเที่ยวเองนั้นอาจจะไม่ค่อยได้พกกล้องใหญ่กันไปแล้วซึ่งจริงๆผมเองเวลาไปต่างประเทศก็น้อยมากๆที่จะยังหยิบกล้องใหญ่ไป ด้วยการเดินทาง ด้วยน้ำหนักเอง และ ความสะดวกเวลาเที่ยวทำให้ผมพกมือถือไปทำงาน ไปเที่ยวเก็บภาพตลอดครับซึ่งหลายๆคนก็เริ่มมาแนวทางนี้ด้วย ทำให้มือถือกล้องสวยๆเริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ใช่แค่ถ่ายภาพได้ แต่ต้องถ่ายภาพให้ออกมาสวยมีมิติและที่สำคัญคือซูมไกลได้ครับ เป็นเครื่องเดียวจบ และ พูดถึงเรื่องซูมไกลคงหนีไม่พ้น vivo แน่นอนในปีก่อนๆเองนั้นแบรนด์นี้ขึ้นมาอยู่ในใจใครหลายๆคนเรื่องของการซูม การถ่ายภาพ การถ่ายคนเยอะแยะมากๆ เพราะคุณภาพเค้าทำได้ดีครับ จนมาถึงวันนี้วันที่ vivo X300 Series เปิดตัว มันก็ยังสามารถยกระดับการถ่ายภาพขึ้นไปได้อีกจริงๆ รวมถึงมีการต่อเลนส์เสริมได้ยิ่งทำให้มันมีมุมมองภาพหลากหลายไปมากกว่าเดิมไปอีกนั้นเองครับ

สำหรับ vivo X300 เองนั้นจะมาพร้อมกับหน้าจอ LTPO AMOLED กว้าง 6.31 นิ้ว ความละเอียด 2640×1216 พิกเซล อัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz และใช้งาน MediaTek Dimensity 9500 ส่วนรุ่นนี้จะมาพร้อมกับกล้องหลัก เซนเซอร์ Samsung HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว ความละเอียด 200MP รูรับแสง f/1.68 กันสั่น OIS และ กล้อง Telephoto เซนเซอร์ Sony LYT-602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/2.57 รวมถึง กล้อง Ultra-Wide เซนเซอร์ Samsung JN1 ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/2.6 และ กล้องหน้า ความละเอียด 50MP และแบตให้มา 6040mAh สนับสนุนชาร์จเร็วผ่านสาย 90W และไร้สาย 40W

vivo X300 Pro นั้นจะมาพร้อมกับ หน้าจอ LTPO AMOLED กว้าง 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2800×1260 พิกเซล อัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz รองรับ HDR10+, Dolby Atmos ใช้งาน MediaTek Dimensity 9500 และ OriginOS บนพื้นฐาน Android 16 พร้อม กล้องหลัง ZEISS 3 ตัว พร้อมไฟแฟลช Adaptive กล้องหลัก Sony LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.57 กันสั่น Gimbal OIS และ กล้อง Ultra-Wide เซนเซอร์ Samsung JN1 ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/2.0 และ กล้อง Telephoto เซนเซอร์ Samsung HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว ความละเอียด 200MP รูรับแสง f/2.6 รวมถึงจุดที่เด่นๆคือ กล้องหน้า ความละเอียด 50MP และแบตให้มา 6510mAh สนับสนุนชาร์จเร็วผ่านสาย 90W และไร้สาย 40W ถือว่าปรับดีเทลหลายๆส่วนดีขึ้นเยอะครับ

UNBOX

และยังคงชอบที่ตัวกล่องของค่ายนี้ให้ของมาครบ ในกลุ่มนั้นจะมีให้ทั้ง : ตัวเครื่อง , เคสนิ่ม TPU สีเดียวกับตัวเครื่อง , ที่จิ้มซิม , คู่มือ , สาย USB-A ไป USB-C , ที่ชาร์จ FlashCharge และ ฟิล์มหน้าจอติดมาให้จากโรงงานครับ ทั้ง 2 รุ่นนั้นให้ของมาเหมือนกัน และ เคสในกล่องรอบนี้ผมบอกเลยว่างานดีมาก

DESIGN

ในแง่ของการออกแบบเองนั้นมีความคลีนสวยมากขึ้น และ ปรับโมดุลกล้องให้บางลงกว่าเดิมทั้ง 2 รุ่นเราจะเห็นเลยว่าดีไซน์สวยขึ้น และ โทนสีใหม่ด้วยเช่นกันครับ ในรุ่น X300 Pro และ X300 ถือว่ามีขนาดแตกต่างกัน รวมถึง กล้องด้านหลังก็เช่นกันที่บางขึ้น และ มีดีเทลที่ใส่เข้ามาให้ดูคล้ายกล้องโปร รวมถึงปรับขอบเครื่องเหลี่ยม และ หน้าจอเรียบมาแล้วครับ ในรุ่น X300 นั้นจะมาพร้อมกับ สีชมพู Halo Pink, สีม่วง Iris Purple, สีดํา Phatom Black และ X300 Pro นั้นจะมาพร้อมกับ สีน้ำตาลทะเลทราย Dune Brown, สีฟ้า Mist Blue, สีดํา Phantom Black ถือว่าโทนสีแตกต่างกันครับ

X300 มาพร้อมกับหน้าจอ 6.31 นิ้ว ที่เน้นในแง่ของขนาดใช้งานมือเดียวเป็นหลักคล่องตัว ไม่ใหญ่ไปและ โมดูลกล้องเรียบเนียนมากขึ้นกว่าเดิม ดีไซน์ขอบเครื่องแบบ UNIBODY 3D และ ฝาหลังเนียนแบบด้านป้องกันรอยนิ้วมือ และ ขอบหน้าจอนั้นถือว่ามีความบางขึ้น 1.05 มม. ในรุ่น X300 ถือว่าขอบสวยขึ้น และ การที่หน้าจอไม่โค้งเองนั้นทำให้เรื่องการใช้งาน การติดฟิลม์สะดวกขึ้นแน่นอน ส่วนทางด้าน X300 Pro นั้นจะเป็นหน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว ขอบเรียบบาง 1.1 มม. ที่จะขยายใหญ่ขึ้นหน่อยเน้นใช้งานมากขึ้น เต็มตามากขึ้น

ขอบเครื่องนั้นมาพร้อมกับขอบตัดเหลี่ยมตรง จับถือง่าย และ ในรุ่น X300 Pro มีปุ่มสำหรับการตั้งค่าคียลัดมาให้ด้านบน วัสดุโทนสีเน้นความด้านเรียบๆ มีพื้นผิวดูดีครับ เล่นไปกับสีตัวเครื่องด้วยเช่นกัน ในรุ่น X300 สีม่วงก็จะเน้นไปโทนสีม่วงอ่อนๆ ส่วนทางด้านสี Dune Brown ขอบเครื่องก็สีเทาๆเงินๆเข้ากับฝาหลังครับถือว่าสวย และงานประกอบความเนียนเวลาจับถือทำได้ดีทั้ง 2 รุ่น


ส่วนทางด้านขอบเครื่องของแต่ละรุ่นก็มีการจัดการตำแหน่งไมค์ต่างกันเล็กน้อย แต่ทั้ง 2 ตัวเองนั้นได้ลำโพงคู่ พร้อมกับ การวางตำแหน่งถาดซิม และ USB-C เหมือนกันนั้นเอง

แต่จุดที่มีการใส่เข้ามาให้มีความแตกต่างกันชัดๆคือการเล่นขอบกล้องทั้ง 2 รุ่น และ การออกแบบฝาหลังแบบ UNIBODY ที่เป็นเนินรับกับโมดูลกล้อง ทำให้ตัวเครื่องภาพรวมมีความบางขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับในรุ่น X300 Pro นั้นจะมีความนูนมากกว่า และ มีการเล่นรอบๆกล้องสีเงินและตัดด้วยสีส้ม และ มีขีดๆเสริมเข้ามา มีการสลักขอบเลนส์ทำให้ฟีลคล้ายกับพวกกล้องใหญ่นั้นเองครับ จุดนี้ผมว่าสวยขึ้นกว่าเดิม และทำให้รอบๆกล้องไม่หนามากเกินไปแบบรุ่นก่อน

และในทั้ง 2 รุ่นเองมีการรองรับมาตรฐาน ที่ทนน้ำทนฝุ่นได้สบายๆในการใช้งานทั่วไปครับ และ กระจกตัวเครื่องเองนั้นทดสอบการกันกระแทกมาอย่างดี ในตัว X300 ใช้ Reinforced Glass และ ทางด้าน X300 Pro ใช้ Armor Glass ที่ปกป้องตัวเครื่องได้ดีเช่นกันครับ ถือว่าคิดว่าเผื่อหลายๆสถานการณ์

DISPLAY

ทางด้านหน้าจอนอกเหนือจากขนาดที่แตกต่างกัน ส่วนอื่นๆในทั้ง 2 รุ่นนั้นไม่ได้หนีกันเท่าไรครับ ในรุ่น X300 นั้นเราได้หน้าจอ 6.31 นิ้ว รองรับ 120Hz 460PPI พาแนล Q10 Plus BOE และ ความสว่างสูงสุดบางส่วนสูงสุด 4500nits และ ทั่วหน้าจอ 2000nits รองรับมาตรฐาน DCI P3 และรองรับ HDR แต่ถ้ามองในรุ่น X300 Pro นั้นจะได้หน้าจอ 6.78 นิ้ว 120Hz เช่นกัน 120Hz 452PPI พาแนล Q10 Plus BOE และ ความสว่างสูงสุดบางส่วนสูงสุด 4500nits และ ทั่วหน้าจอ 2000nits รองรับมาตรฐาน DCI P3 และรองรับ HDR แต่จุดที่แตกต่างเพิ่มคือรองรับ Circularly Polarized Light 2.0 ช่วยถนอมสายต่อ และ ลดแสงสะท้อนเวลาใช้งานด้วยเช่นกันครับ ส่วนขอบหน้าจอถือว่าบางสะใจทั้งคู่

BATTERY

ในยุคที่แบตมือถือใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทาง vivo เองก็จัดเต็มมาให้เช่นกันครับทั้ง 2 รุ่นนั้นใช้เทคใหม่ล่าสุด BlueVolt และรองรับ 90W FlashCharge และ ชาร์จไร้สาย 40W ความจุนั้นต่างกันตามขนาดตัวเครื่องในรุ่น X300 มาพร้อมกับ 6040mAh และ ในรุ่น X300 Pro มาพร้อมกับ 6510mAh ครับ ซึ่งตัวเทคใช้เทคโนโลยี Silicon Negative Electrode Gen 4 และ Semi-Solid State ทำให้ได้ทั้งความบาง และ ความหนาแน่นของประจุที่สูงแบบนี้ที่จะยัดลงเครื่องแบบนี้ได้นั้นเองครับ และ ในการใข้งานจริงๆก็รองรับการถ่ายรูป วีดีโอได้ทั้งวัน รวมถึงการใส่ซิมก็สบายๆครับ แต่ถ้าเน้นวิดีโอเยอะอาจจะมีการใช้พลังงานเยอะหน่อย แต่ถ้าใช้งานทั่วไป เน้นภาพนิ่งวันนึงเหลือๆเลย

OriginOS 6

และที่ว้าวที่สุด และ ชอบที่สุด คือในการใช้งาน Origin OS 6 ในครั้งนี้ เราจะได้หน้าตา และ การใช้งานแบบเดียวกับที่จีน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะมากเหมือนได้เครื่องใหม่ทั้งหมด รวมถึงความลื่นไหลของหน้าตา UX/UI เองนั้นก็มีการพัฒนาขึ้นครับ ในครั้งนี้บนพื้นฐาน Android 16 มีหลายๆส่วนที่พัฒนารวมถึงที่เด่นๆคือ Smooth Origin ที่มีการออกแบบหน้าตาให้มีความลื่นไหล ต่อเนื่องทั้ง Effect เวลาชาร์จ เวลาย้ายไอคอน เวลาปิดแอปต่างๆมีความเนียน นุ่ม ลื่นไหล ไดนามิคมาเต็มมากๆครับ อันนี้ถ่ายภาพอาจจะยากแต่อยากให้ไปลองเทสกันดูว่ามันเนียนตาจริงๆ


และถ้ามองภาพรวมไอคอน การออกแบบ การเล่นโทนสี และ พื้นที่รวมๆนั้นมีความสวยแบ่งสัดส่วนง่าย ชัดเจน และ มาพร้อมกับไอคอนที่มินิมอลมากขึ้นครับ รวมถึงทางด้านการอัพเดทก็เริ่มปล่อยให้กับหลายๆรุ่นเพิ่มเติมไปเรื่อยๆเช่นกัน และ ยังมี Flip cards อันนี้เวลาหน้าจอล็อค เราจะหมุนขยับเครื่องไปแล้วภาพจะเปลี่ยนเป็นอีกภาพนึงครับ เป็นลูกเล่นที่เล่นกับทางภาพพื้นหลังและตัว Gyro ได้ดี



Origin Island อันนี้หลายๆคนเตรียมแซวกันได้เลย แน่นอนว่าเป็นการพัฒนาต่อยอดกันมาครับของค่ายนี้เองนั้นมีการรองรับการแสดงผลได้หลากหลายและรองรับไม่ใช่แค่แสดงผล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สามารถเอาไปแชร์ เอาไว้โยนไฟล์ได รวมถึง สั่งงานในหลายๆส่วนแอปครับ ก็ถือว่ารองรับได้หลากหลายขึ้น มีการใส่เข้ามาในหลายๆแอปมากขึ้นครับ และทางด้าน Office Kit ที่ใช้งานร่วมกับทาง Mac เอง สามารถสะท้อนหน้าจอได้ โอนไฟล์ได้ หรือ ซิงค์ข้อมูล โน๊ตต่างๆได้เช่นกัน รวมถึง รองรับสั่งงานได้หลากหลายครับ


CAMERA
ทำรีวิว vivo คงจะไม่พูดเรื่องกล้องคงไม่ได้ครับ ต้องบอกว่าจริงๆเรื่องกล้องค่ายนี้พัฒนามาได้ดีอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆในการร่วมมือพัฒนากับทาง ZEISS ที่ค่อนข้างได้ประโยชน์ทั้งโทนภาพ การเบลอหลัง และ การจัดการอะไรหลายๆส่วนของกล้องครับ รวมถึงทางด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาเซนเซอร์ พัฒนาชิพประมวลผลต่างๆดีขึ้นไปกว่าเดิมอีกครับ อย่างเช่นในตัว X300 Pro เองนั้นก็จะมาพร้อมกับชิปประมวลผลภาพ VS1 และระบบไฟแฟลช อัจฉริยะ Adaptive Zoom Flash รองรับการให้แสงแบบ Hardware Fill Light สําหรับ เลนส์ทั้งสามระยะ (24 มม., 50 มม., และ 85 มม.) ซึ่งปกติจะอยู่ในรุ่น Ultra แต่ครั้งนี้ใส่มาให้ตั้งแต่รุ่น X300 ครับ ส่วนทางด้านสเปกเองนั้นก็มีการพัฒนาขึ้น และต้องบอกว่ามันเป็นเทเลที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ เซนเซอร์ใหม่สุด และ เจ้าเดียวในตลาดตอนนี้ครับในตัว HPB ที่ปรับหลายๆส่วนเข้ามา

X300 Pro นั้นจะมาพร้อมกับเซนเซอร์เด่นๆคือ 200MP ZEISS APO Telephoto Camera ทางยาวโฟกัส 85mm ใช้งาน เซนเซอร์ HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/2.67 กันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 5.5 ใหม่สุดของค่าย และทางด้านเลนส์หลักคือ 50MP ZEISS ทางยาวโฟกัส 24mm เซนเซอร์ LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว รูรับแสง f/1.57 กันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 5.5 และ มาพร้อมชิปประมวลผลภาพ VS1 และระบบไฟแฟลช Adaptive Zoom Flash ส่วนทางด้าน Wide-Angle Camera ทางยาวโฟกัส 15mm เซนเซอร์ JN1 รูรับแสง f/2.0 Auto Focus มุมมองกว้าง 119 องศา ตัวอัลตราไวด์ยังไม่ได้เปลี่ยนมากนักจากรุ่นก่อนครับ แต่ด้วยการปรับ Software และ ชิพใหม่ที่เสริมมา เนี่ยแหละครับทำให้ภาพมันจะต่างจากเดิมได้ แต่โทนภาพเองนั้นก็มีความต่างกัน มีความเรียลมากขึ้น เอาไปปรุงแต่งเองได้ง่ายมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งสายถ่ายภาพน่าจะชอบมากขึ้นด้วย ลองไปดูตัวอย่างกันได้เลยครับในหลายๆโหมด

รวมถึง AI Visual ที่เปลี่ยนสถานที่สภาพอากาศได้ โดนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้รวมกับภาพบุคคลแล้ว ปรับได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น มีความเนียนมากยิ่งขึ้นอีก การใช้งาน AI กับภาพถ่ายยังคงได้เหมือนรุ่นก่อน เนียนมากขึ้นไปอีก การลบคน รวมถึง Magic Move







X300 นั้นจะมาพร้อมกับเซนเซอร์เด่นๆคือ 200MP ZEISS Camera ใช้เป็นเลนส์หลัก ทางยาวโฟกัส 23mm ใช้งาน เซนเซอร์ HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/1.68 กันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 4.5 และทางด้านเลนส์เทเล 50MP ZEISS ทางยาวโฟกัส 70mm เซนเซอร์ LYT-602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว รูรับแสง f/2.57 กันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 4.5 และระบบไฟแฟลช Adaptive Zoom Flash ส่วนทางด้าน Wide-Angle Camera ทางยาวโฟกัส 15mm เซนเซอร์ JN1 รูรับแสง f/2.0 Auto Focus มุมมองกว้าง 119 องศา
ตัวอย่างภาพ จาก vivo X300 Pro









SELFIES เป็นจุดนึงที่ผมชอบมาก และ ขอชมเลยว่าคุณภาพดีขึ้น เป็นจุดที่ทำให้คนถือ X200 Pro ย้ายมาได้ทันทีครับ คือกล้องหน้ามุมกว้างมากขึ้น คมชัดมากขึ้น มิติมากขึ้น และ ดีเทลสวยมากขึ้นครับ มีการใช้งานเซนเซอร์ แบบกล้องหลังเลยครับตัวมุมกว้าง และ ทางยาวโฟกัส 15mm เซนเซอร์ JN1 รูรับแสง f/2.0 Auto Focus มุมมองกว้าง 92 องศา และ โทนสีผิวสวย มี Autofocus มาให้ครบ สวยจบ
ตัวอย่างภาพ SELFIES





TELECONVERTER vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender
เลนส์เสริมที่เรียกได้ว่า ดึง ประสิทธิภาพของกล้องออกมาได้แบบสูงสุด ของ vivo X300 Series กับชุดเลนส์ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ที่จะเพิ่มพลังในการซูมสูงสุดด้วยกล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ที่เป็นระยะ 200 มม. จริง ๆ รองรับการใช้งานในทุก ๆ โหมดไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง ภาพบุคคล วิว หรือ VDO ทั้งแบบธรรมดา และโหมดโปร เรียกได้ว่าเป็น การยกระดับมาตรฐานการซูมของสมาร์ตโฟนก้าวข้ามขีดจํากัดของอุตสาหกรรมกล้องมือถือ แค่คลิก ซูมชิดติดเวที

จากผู้ใช้งานชุดเลนส์นี้กับ vivo X200 Ultra ในรุ่นก่อนหน้านี้ รุ่นนั้นสามารถใช้ได้แค่ในโหมดที่ถูกจำกัด แต่ใน X300 Series สามารถใช้งานได้หลากหลายโหมดไปจนถึง Pro และ Pro Video รวมถึงภาพบุคคลก็ยังใช้งานได้ดีครบจบทุกโหมดเลย




พิเศษกว่ารุ่นก่อนในเรื่องของชุดเลนส์ที่ยังสามารถใช้งานกับ รุ่นเล็กอย่าง vivo X300 ได้แบบครบ ๆ ไม่เกรงใจรุ่นพี่ X300 Pro เลย เรียกว่าเอาสุดทั้งการใช้งาน และทั้งการซูมอีกด้วยกับ vivo X300 รุ่นเล็กสเปกเด็ด ที่ได้ความกะทัดรัด เลนส์กล้องที่บาง พกง่ายๆ


PRICE
vivo X300
Ram 12GB + Storage 256GB ราคา 31,999.-
Ram 16GB + Storage 512GB ราคา 34,999.-
vivo X300 Pro
Ram 16GB + Storage 512GB ราคา 39,999.-
เป็นเจ้าของได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

vivo X300 Series : มือถือที่ลงตัวที่สุดในด้านถ่ายภาพแห่งปี 2025 ทั้งเรื่อง Hardware , Software ได้รับการปรับจูนมาอย่างลงตัว !
ถ้าใครถามว่าปีนี้ซื้อมือถืออะไรดีใครๆก็ซูมได้ แต่ถ้าเอาซูมได้และคุณภาพดี มีลูกเล่นเยอะ ตัวนี้ทำได้ดีแน่นอน ไม่ใช่แค่ซูม แต่การถ่ายภาพบุคคล การเบลอหลังที่หลากหลายแบบ การมีแฟลชยิงระยะไกล และ เซนเซอร์ใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มีค่ายไหนใช้งาน แค่เรื่องพวกนี้ผมว่าก็สามารถนำหน้าไปได้พอสมควรครับ เป็นรุ่นที่ออกมาครบจบได้เลย แถมการออกแบบมีการเปลี่ยนบางลง ขอบเหลี่ยม หน้าจอไม่โค้ง และกล้องหน้าปรับใหม่ทำให้หลายๆส่วนพัฒนาขึ้นแบบที่ดีขึ้น ทั้ง 2 รุ่นทำได้ดีจริงๆ แม้ว่าจะเสียดายลำโพงคู่นั้นมิติเสียงอาจจะไม่เด่นมากนัก แต่ดีกว่าเดิมครับ ซึ่งถ้านับในภาพรวมเองก็ไม่มีจุดไหนที่ใช้แล้วแปลกๆเท่าไรในการอยู่ใช้งานมาหลายๆวันครับ และ ได้ถ่ายที่จีนด้วยเช่นกัน โดยรวมประทับใจครับ สายถ่ายภาพเองก็น่าจะถูกใจ รวมถึงมีโหมด แสงดิบ ที่ภาพออกมาจะไม่ได้ปรับ HDR ไม่ได้ปรุงแต่งเยอะทำให้เราได้ภาพแบบสมจริง เอาไปทำงานต่อได้ แต่งต่อดึงอะไรได้อีกครับ จุดนี้ก็อยากให้ลองเช่นกัน ถือว่าเป็นมือถือที่ลงตัวที่สุดในด้านถ่ายภาพในปีนี้แบบไม่เวอร์เกินจริง






