VOLVO ค่ายรถยนต์ที่หลากหลายคนรู้จักกัน แบรนด์รถยนต์จากสวีเดนที่มีจุดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยอันดับต้นๆของโลกไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นเข็มขัดนิรภัย รวมถึงการคิดเทคโนโลยีความปลอดภัยขึ้นมาอย่างมากมายและใส่เข้ามาให้เป็นมาตรฐานทุกรุ่น เป็นจุดเด่นของรถยนต์ค่ายนี้เลยแหละ อีกทั้งการทดสอบความปลอดภัยที่บ้ากว่าค่ายอื่นชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการทดสอบ ชนแบบหนักๆ หรือว่าจะมีการปล่อยรถยนต์ให้ตกจากที่สูงต่างๆมากมาย ต้องยอมแบรนด์นี้จริงๆ นอกเหนือจากความปลอดภัยแล้วนั้นยังมีเรื่องของการรักษ์โลกเจ้าแรกๆที่หันมาปรับใช้รถยนต์ของตัวเองที่จะมาพร้อมกับพลังงานไฟฟ้าทุกรุ่นย่อยจะมี PHEV เข้ามาทดแทนเครื่องยนต์ล้วนและทำได้ไวมากและในไทยก็มีผลทันที อีกทั้งเรื่องของความปลอดภัยว่าทุกคันจะโดนล็อกความเร็วไว้แค่ 180 เท่านั้นด้วย เป็นค่ายที่กล้าตัดสินใจมากๆ ค่ายนึง และในครั้งนี้ S90 RECHARGE เป็นรุ่นปรับหน้าตา ใหม่ทั้งหมดและมีความสวยงามน่าสนใจขึ้นเยอะ

VOLVO S90 RECHARGE รุ่นนี้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ในชื่อ RECHARGE ซึ่งทุกรุ่นจะใช้งานชื่อนี้ทั้งหมดเพราะว่ามีระบบ PLUG IN HYBRID เข้ามาทุกรุ่นแล้วนั้นเองครับ แต่ถ้ามองในเรื่องของสเปกเครื่องอะไรทั้งหมดนั้นในรุ่น RECHARGE นั้นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ครับ แต่จะเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงหน้าตามากกว่านั้นเอง มาพร้อมกับ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมกับ Turbo charged และ Super charged กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร และทำงาน ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า ที่ให้ แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร เมื่อระบบทำงานร่วมกันนั้น พละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร  พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic  ใช้งานระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ Lithium-ion 11.6 kWh แรงดันไฟฟ้า 270-400 V ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนในด้านหลังนั้นจะเป็นการขับเคลื่อนด้วย Electric Rear Axel Drive นั้นเองทำให้ทำงานร่วมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์เป็น AWD สามารถเร่ง 0-100 ภายใน 4.9 วินาที และ เร็วสูงสุด 180 km/h ตามการปรับล็อกความเร็วล่าสุดของค่ายทุกรุ่น ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า แบตต่างๆนั้นจะใช้งานไฟหัวแบบ TYPE 2 มาตรฐานรองรับชาร์จไฟ 2.5 ชั่วโมงจะเต็มและวิ่งได้ 40+ กม. นั้นเองครับ และให้ช่วงล่างด้านหลังแบบถุงลม และ ด้านหน้าแบบปีกนกคู่ แต่จะไม่ได้มีการปรับยกปรับระดับเองได้นะครับ ในด้านหลัง ส่วนทางด้านฟีเจอร์ออฟชั่นยังคงจัดเต็ม ความปลอดภัย Active Safety ครบเช่นเดิม Pilot Assist ตัวใหม่ พร้อมกับ ความพรีเมี่ยมในเรื่องของวัสดุ งานประกอบ และ ระบบเครื่องเสียง Bowers & Wilkins Amplifier 1400W Class D 12 Channels ลำโพง 19 ตัว พร้อม Subwoofer ระบบเสียงรอบทิศทาง Quantum Logic ระบบ Dirac Dimensions หัวเกียร์คริสตัลจากทางสวีเดนให้มาครบเช่นเดิมถือว่า ออฟชั่นแน่นๆในราคาดีทีเดียว

สำหรับ VOLVO S90 RECHARGE T8 AWD INSCRIPTION เปิดราคาอย่างเป็นทางการ ซึ่งรุ่นนี้จะเป็น ประกอบมาเลย์นะครับทำให้ราคานั้นถูกลงกว่าเดิมมากถึง 5 แสนบาทเลยทำให้ราคาอยู่ที่  3,290,000 บาท พร้อมสีใหม่ Platinum Grey Metallic กับ Thunder Grey Metallic กับสีเดิมทั้ง Crystal White Premium Metallic และ Onyx Black Metallic มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ รับประกันตัวรถ Warranty 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง Volvo Assistance 1 ปี ส่วนประกันอื่นๆเพิ่มเติมสามารถซื้อแยกไปได้อีกต่างหากได้เลยครับ

EXTERIOR

งานออกแบบตัวรถนั้นยังคงเน้นในเรื่องของความเรียบหรูเป็นหลัก พร้อมกับโครเมี่ยมเด่นๆรอบคันที่เสริมเข้ามามากกว่าเดิม อีกทั้งเส้นสายตัวรถค่ายนี้จะไม่ได้มีเส้นหวือหวาหรือโค้งเว้าอะไรมากนัก เส้นตรงๆเรียบๆทั้งหมดเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นพอสมควร แน่นอนว่าเป็นแนวทางการออกแบบที่ยึดกันมายาวนานสำหรับค่ายรถยนต์ สแกนดิเนเวียคันนี้มองไกลๆแล้วรู้เลยว่าเป็นค่ายไหน ออกแบบร่วมกันกระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมโครเมี่ยมจัดเต็มสื่อถึงความหรูหราขึ้นสุด รูปทรงจริงๆนั้นแอบจะไม่หนีจาก S60 แต่ความสปอร์ต ดุดันและดูคล่องตัวนั้นจะแตกต่างกันไปงานออกแบบถ้าถามว่าเทียบกับรุ่นก่อนมองยังไงบ้างเด่นๆคือ เส้นโครเมี่ยมในด้านหน้าขนาดใหญ่ และด้านหลัง พร้อมกับล้อลายใหม่ แต่ในส่วนอื่นๆนั้นแทบจะมองความแตกต่างได้ยากพอสมควรเลยนั้นเองครับ จริงๆถือว่าค่ายนี้เปลี่ยนหน้าตาน้อยมากๆในแต่ละปี ซึ่งถ้ามองเทียบกับกับค่ายเยอรมันพวกนั้นจะเปลี่ยนที่เยอะแบบชัดเจนมากๆครับ

เมื่อมาดูสัดส่วนตัวรถนั้นจริงๆจะรู้สึกว่ามีความยาวระดับนึงยาว  4,969 มิลลิเมตร กว้าง  1,879 มิลลิเมตร สูง  1,440 มิลลิเมตร ตัวรถนั้นจะมี ระยะฐานล้อ wheelbase  2,941 มิลลิเมตร ถ้ามองเทียบกับคู่แข่ง มันจะอยู่ในระดับเดียวกันกับ BMW Series 5 และทาง Mercedes-benz E Class รวมถึง AUDI A6 นั้นเองครับ แต่ด้วยความหรูหราของตัวรถ และความพรีเมี่ยมหลายๆคนอาจจะเทียบไปถึง Series 7 ก็ไม่แปลกใจแต่ถ้ามองตามขนาดตัวรถนั้นจะอยู่ประมาณ Series 5 นะครับ เนื่องจาก Volvo เองยังไม่มีรุ่นที่ใหญ่กว่านี้ หรือพรีเมี่ยมกว่านี้ในแบรนด์ตัวเอง การออกแบบ หรูหราทุกมุมมอง ด้านหลังใส่โครเมี่ยมเสริมเข้ามาชัดเจนมากขึ้น และการเปลี่ยนไฟท้ายใหม่ทั้งหมดทำให้ตัวรถดูทันสมัยขึ้นแบบชัดเจน สวยงามขึ้น และล้อก็เสริมตัวรถให้ดูสวยและโดดเด่นกว่ารุ่นก่อนชัดเจน

ด้านหน้าและท้ายตรงๆจะเป็นจุดที่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือเส้นโครเมี่ยมในด้านล่างทั้งหน้าและหลังที่เสริมเข้ามาจากรุ่นก่อนเปลี่ยนแปลงงานออกแบบชัดเจนและเสริมให้ตัวรถนั้นมีความหรูหราและตัดกับสีตัวรถได้ดีกว่าเดิมครับ ซึ่งงานออกแบบจะแตกต่างกันชัดเจนถ้ามองเทียบกับ S60 นั้นเอง และตั้งแต่ปีนี้ไป VOLVO จะเน้นความรักษ์โลกมาขึ้นไปอีกทำให้หลายๆรุ่นนั้นจะไม่เห็นท่อไอเสียจากด้านหลังแล้ว และรุ่นนี้ก็เช่นกันจะเรียบๆพร้อมกับกันชนทรงใหม่ในด้านหน้าและหลัง ส่วนกระจังหน้าและโลโก้มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย และในด้านท้ายนั้นเปลี่ยนไฟท้ายใหม่ยกชุดเลยนั้นเองครับ แต่เส้นสายงานออกแบบ รูปทรง ฝากระโปรงอะไรนั้นจะเหมือนเดิมทั้งหมดไม่ได้มีเปลี่ยน

กระจังหน้าโครเมี่ยมเด่นสะดุดตาเช่นเดิมพร้อมกับรูปทรงความเว้าที่เปลี่ยนแปลงนิดๆ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าและโลโก้ที่เป็นการปรับให้เนียนตามากขึ้น เป็นชิ้นเดียวกันไม่มีช่องว่างบนล่างและมีกล้องหน้าในตัวครับ ส่วนตัวรู้สึกเลยว่าสวยและเรียบหรูมากขึ้น ส่วนช่องดักลมกันชนหน้าเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดมีความเรียบเนียนมากขึ้น พร้อมกับเซนเซอร์รอบคันต่างๆ ถือว่าเป็นจุดที่ออกแบบได้สวยและดูเนียนไปกับตัวรถมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมครับ ตัดกับเส้นโครเมี่ยมขนาดใหญ่ชัดเจน พร้อมกับไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบ Adaptive High Beam Control ให้มาครบๆ และไฟDRL แบบคอนทอร์ยังคงใส่เข้ามาเด่นๆสวยงามเป็นรูปตัว T และเป็นไฟเลี้ยวในตัวครับ ถือว่าเป็นตัวเดิมกับก่อนหน้าทั้งหมด พร้อมที่ล้างไฟหน้านั้นยังคงให้มาพร้อมใช้งานแม้ในไทยอาจจะไม่ได้เน้นมากนักแต่ก็ดีกว่าไม่มีมาให้

กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี่ยวในตัวรวมถึงมีกล้องรอบคันมาให้มีการเล่นตัดสีดำ ทำให้ดูไม่ใหญ่มากเกินไปครับแน่นอนว่ามีระบบ Blind Spot เข้ามาครบ แต่การออกแบบที่ยื่นมาจากตัวถังหลายๆคนอาจจะไม่ชอบทรงนี้ครับแต่ส่วนตัวแอบชอบนะดูเท่กว่าแบบขาปกติ ส่วนตัวล้อนั้นให้มาลวดลายแบบใหม่สวยงามและเด่นพร้อมกับสีโครเมี่ยมตัดกับสีดำ ล้ออัลลอย 8 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว ยาง ขนาด 255/40 R19 ถือว่าเต็มซุ้มกำลังดี และไม่บางมากเกินไปเก็บรอยต่อ ความขรุขระบนถนนเมืองไทยได้เนียนและนุ่มสมกับเป็นรถยนต์ผู้บริหารครับ ส่วนโครเมี่ยมด้านข้างมีต่อมาจากเดิมพร้อมกับเขียนว่า RECHARGE ด้วยเช่นกันเป็นจุดเล็กๆน้อยๆที่เสริมเข้ามาจากรุ่นก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อครับ

ที่ชาร์จไฟฟ้านั้นเป็นปกติที่หลายๆค่ายนั้นจะใส่เข้ามาคนละฝั่งกับการเติมน้ำมัน และคันนี้ก็เช่นเดียวกันที่ชาร์จไฟฟ้านั้นใส่เข้ามาในส่วนซุ้มล้อด้านหน้าพร้อมกับหัวแบบ TYPE  2 มาตรฐานไฟ AC ทั่วไปในพวกรถยนต์ PHEV ครับจะไม่ได้มี DC หรือพวก CSS TYPE ใส่เข้ามานั้นเอง สามารถกดเปิดได้และเสียบชาร์จใช้งานได้ปกติครับในส่วนนี้มีไฟสถานะพร้อมกับไฟส่องสว่างใส่เข้ามาทำให้ใช้งานกลางคืนได้สบาย ส่วนการชาร์จจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในกำลังไฟสูงสุดครับ แต่ก็สามารถปรับได้ว่าจะเอากำลังไฟเยอะหรือน้อยแค่ไหนแล้วแต่ตัวบ้านแต่ละท่านอีกทีครับ

ด้านท้ายเราจะเห็นไฟท้ายรูปทรงเดิมแต่เพิ่มเติมเส้นสายไฟท้ายแบบใหม่ที่ล้ำสมัยมากขึ้น ไม่ใช่แค่งานออกแบบ แต่เป็นการทำ Effect ใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไฟเลี้ยวแบบวิ่ง หรือจะเป็นการปลดล็อกและไฟเส้นสีแดงจะวิ่งไล่จากบนไฟล่างสวยงามล้ำๆทั้งหมดเลยนั้นเองครับ ถือว่าสวยและลงตัวกว่าเดิมเยอะจริงๆในไฟท้ายตัวนี้ ท้ายรถดูไม่โบราณแบบเดิมแล้วครับ ส่วนท่อไอเสียนั้นซ่อนอยู่ใต้กันชนทั้งหมด พร้อมกับโครเมี่ยมแบบเดียวกับด้านหน้าทั้งหมดครับแน่นอนว่าป่ายทะเบียนต่างๆนั้นอยู่ด้านล่างเช่นเดิม แถมยังมีกล้องในส่วนด้านล่างมุมมองอาจจะไม่ได้สูงเท่าไรนัก

หลังคากระจกยังคงใส่เข้ามาให้ในตอนหน้าแบบเดียวกับรุ่นก่อนครับ น่าเสียดายว่ายังไม่ได้หลังคากระจกแบบเต็มๆ อาจะด้วยพื้นที่ต่างๆทำให้มีแค่ตอนหน้าเท่านั้นและหลายๆค่ายในระดับเดียวกันก็มีแค่ข้างหน้าส่วนใหญ่ครับรุ่นนี้การเปิดเป็นการซ่อนกระจกในตัวหลังคาไม่ได้ยกขึ้นมาก็เนียนและดูเรียบไปกับตัวรถได้ดีขนาดกลางๆมาตรฐานทั่วไปครับ

ยามค่ำคืนกันหน่อยแน่นอนว่าจุดที่ชอบมากๆคือตัวไฟที่ส่องสว่างเวลาปลดล็อกนั้น นอกเหนือจะมีการเล่นไฟวิ่งในด้านท้ายแล้วนั้นเมื่อปลดล็อกเราจะได้ไฟส่องสว่างเป็นไฟหรี่หน้าหลัง พร้อมกับไฟตรงมือจับและไฟส่องพื้นทั้งหมด 4 ตำแหน่งสว่างๆชัดเจน ติดตั้งมาให้ครบทุกบาน และมือจับเป็นจุดที่ทำได้ดีเลยทีเดียวในเรื่องความปลอดภัย

INTERIOR

ภายในตามสไตล์สแกนดิเนเวีย เรียบง่ายดูดี แน่นอนว่างานออกแบบภายในหลายๆคนน่าคิดว่าเป็นจุดตัดสินใจหลักๆเพราะว่าเราอยู่กับภายในเป็นหลักในส่วนของค่ายนี้จะเน้นแบบ Comfort คล้ายๆกับอยู่บ้านเรียบๆง่ายดีไซน์แบบไม่หวือหวาแต่สบายอบอุ่นทั้งเรื่องของการออกแบบ การใช้โทนสี วัสดุทั้งหมดทั้งไม้ หนัง และ ส่วนความเงาโครเมี่ยม คลิสตัลต่างๆคือลงตัวและพรีเมี่ยมมากๆครับ ในการนั่งภายในกว้างขวางสบายแน่นอน แต่ด้วยความเป็น Volvo เลยยังคงเน้นเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลักจริงๆทั้งเรื่องของพนักพิงหัวที่ไม่สามารถปรับยก เงย หรือ กดต่ำอะไรได้เลยคือ Fix ตำแหน่งทั้งหมดทุกที่นั่งเพื่อความปลอดภัยสูงสุดเวลาชนนั้นเองครับ และตัวเบาะค่อนข้างแข็งกว่ารถอื่นๆ ก็น่าจะด้วยการซัพพอร์ตแรงกระแทกและท่านั่งที่ปลอดภัยที่สุดเช่นกันในส่วนนี้ถือว่าเน้นปลอดภัยสุดๆ

คอนโซลกลางนั้นเราจะเห็นว่ามีการออกแบบที่คล้ายกับรุ่นอื่นๆของค่ายชัดเจน ทั้งการวางตำแหน่งหน้าจอ การควบคุมหรือว่าจะเป็นการใช้งานการตกแต่งไม้สวยงามทั้งหมด มุมมองของตัวรถมีความโปร่งโล่งระดับนึงการที่หลังคากระจกทำให้ส่วนตอนหน้าไม่อึดอัดด้วยเช่นกันในรุ่นนี้ จะได้ตัวเบาะสีดำก็ทำให้มีความดุดันมากกว่าสีอ่อนรวมถึงตัวลายไม้ก็จะไม่ได้สีเหลืองหรือน้ำตาลมากนักดูไม่โบราณมากเกินไป จริงๆแอบชอบสีแบบนี้มากกว่าทำให้รถดูทันสมัยมากขึ้นเป็นลายไม้สีเทาๆน้ำตาลสวยงามและพื้นผิวสัมผัสนั้นทำออกมาได้เนียนเหมือนกับไม้จริงๆทั้งหมดปุ่มกดควบคุมอะไรค่อนข้างน้อยและไม่ยุ่งยาก ทุกอย่างสามารถควบคุมผ่านหน้าจอกลางแนวตั้งได้ทุกอย่าง และเรียบง่ายกว่าที่คิดครับ

ตัวเบาะนั้นออกแบบมาซัพพอร์ตการนั่งและความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ตำแหน่งที่นั่งทำได้สบายทั้งหมด ตัวผมเองนั้นสูง 180 ก็สามารถรองรับได้ทั้งหมดและนั่งได้แบบไม่อึดอัดและตัวพนักพิงหัวจะ Fix ทั้งหมดแอบดันนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาครับ สามารถขับขี่ได้ปกติ ตัวเบาะออกแบบมาฟองน้ำแน่นมากแอบแข็งไปสำหรับหลายๆคนก็ได้แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแข็งจนนั่งไม่สบายคือมันแน่นแบบกระชับมากๆเลยแหละ และตัวเบาะปีกเบาะอะไรต่างๆซัพพอร์ตได้ดีครับส่วนตัวชอบเบาะแนวนี้อยู่แล้วแต่ถ้าใครชอบแบบนั่งสบายๆไม่กระชับอะไรมากก็อาจจะไม่ชอบแนวนี้มาก ตำแหน่ง LEGROOM HEADROOM ทำออกมาได้ดีซึ่งตัวเบาะจะเป็นทรงเดียวกับ XC90 ด้วยนะแต่โทนสีอะไรนั้นจะแตกต่างถือว่าเบาะหน้ากระชับและปรับได้หลากหลายมากๆ ไม่มีปัญหารวมถึงการขึ้นลงก็ทำได้สบายไม่ลำบากเวลานั่งหรือก้าว

พวงมาลัยทรงที่คุ้นเคยดูคลาสสิกมากๆครับ ถ้ามองเทียบกับค่ายอื่นๆทั้งปุ่มควบคุมหรือว่ารูปทรงอยากให้ปรับใหม่น่าจะสวยมากขึ้นในจุดนี้แต่การใช้งานยังไม่มีปัญหาอะไรนะ แค่เรื่องงานออกแบบแอบดูเก่าไปบ้าง ส่วนจุดที่เด่นและสวยมากๆของภายในคือตัวคันเกียร์แบบ Joystick ของรุ่นนี้เป็นคริสตัลสวยงามและ ใช้งานง่ายครับส่วนตัวเกียร์ P ก็กดลงไป วางแก้วน้ำอะไรต่างๆจะอยู่ภายในฝาแผ่นสีดำเงาตรงข้างเกียร์สามารถเลื่อนใช้งานได้แต่แอบบนนิดนึงว่าตำแหน่งมันอยู่ต่ำไปหน่อย ถ้านั่งเราต้องเอื้อมมือถอยหลังไปเยอะพอสมควรเลย  ส่วนการสตาร์รถนั้นก็ใช้บิดไปทางด้านขวาแทนครับและตัวปุ่มสวยงามมากๆ และตัวปรับโหมดการขับขี่ก็สามารถเลือกได้ 4-5 แบบการขับขี่ทั้ง Power-Pure – Hybrid ทั้งหลายหรือจะเป็นแบบ Individual ปรับแต่งเอง และ AWD ก็สามารถปรับแต่งได้ทั้งหมดเลยนั้นเองครับตัวนี้ รวมถึงมันจะปรับพวกช่วงล่าง เบรก รอบเครื่องอะไรพวกนี้ทั้งหมดเลย คือโหมด POWER ก็จะแรงซิ่งทันใจมากๆ ทำให้อัตราเร่งแซงทำงานร่วมกับมอเตอร์เร่งแซงได้ไว 5 วิต้นๆได้ทันใจเลยครับ

แผงหน้าปัดที่ที่แสดงผลกราฟิกขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมกับ ระบบฟอกอากาศอัจฉริยะพร้อมเซนเซอรวัดค่า PM2.5 และ​ Clean Zone ดักละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ พร้อมเทคโนโลยี Sensus Connect และระบบเสียงขั้นเทพของ Bowers & Wilkins อุปกรณ์เชื่อมสัญญาณสั่งการและสื่อสารผ่านดาวเทียม ระบบแรกของโลกที่เชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto แถมติดตั้งเครื่องเสียงติดรถยนต์ “Premium Sound by Bowers & Wilkins” สเตอริโอรอบทิศทางพร้อมกับแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12-แชนเนล คลาส-ดี และลำโพง 19 ตัวรอบห้องโดยสาร สามารถเลือกฟังได้ 3 โหมด ได้แก่ Studio, Individual Stage, และ Gothenburg Concert Hall ที่สร้างสรรค์ประสบการณ์การได้ยินเหมือนนั่งอยู่ใน Gothenburg Concert Hall บอกเลยว่าทุกอย่างในคันนี้คุณภาพคือที่สุดแล้วทั้งวัสดุ ลำโพง การขึ้นรูปชิ้นงานต่างๆนั้นแตกต่างกับค่ายอื่นๆในเรทราคาแบบเดียวกันเยอะมาก

เบาะหลังนั้นกว้างขวางมากๆในพื้นที่วางขาแต่ส่วน Headroom อาจจะไม่เยอะมากครับ เพราะตัวเบาะแอบสูงไปหน่อยทำให้หัวอาจจะติดเพดานได้ง่ายถ้าสูงเกิน 190 ครับแต่สำหรับแอดเองนั้นสบายๆไม่มีปัญหาอะไรทั้งตัวเบาะนั่งและที่รองขาออกแบบมากระชับและรองรับได้พอดีมีความนุ่มกลางๆเน้นไปทางแน่นมากกว่า ไม่ได้นุ่มย้วยหรือสบายมากและทางด้านที่รองศีรษะนั้นกระชับกำลังดีรองรับเวลานั่งได้แอบดันหัวนิดๆแต่เน้นความปลอดภัยเป็นหลักในตัวนี้ แต่อุโมงค์กลางค่อนข้างใหญ่มากๆ และที่เก็บของตรงที่วางแขนน้อยมากเช่นเดิมเป็นจุดที่ลำบากมากๆในการใช้งาน

ความสะดวกสบายในพื้นที่นั่งตอนหลังนั้นเราจะเห็นว่ามีที่วางแขนมาให้พร้อมกับที่วางแก้วและที่เก็บของเล็กๆแต่จะไม่ได้ใช้งานที่วางแขนแบบใหญ่เหมือนที่เราเห็นในตัวนอกครับ อาจจะเป็นแล้วแต่รุ่นไป ซึ่งของเมืองนอกจะมีลายไม้มาให้และดูหรูหราพรีเมี่ยมกว่ามาก และจะมีที่ควบคุมแอร์หลังใส่เข้ามาให้ตรงหลางนั้นเอง แต่ในไทยนั้นตรงกลางเป็นแค่ช่องโล่งๆพร้อมกับที่ชาร์จไฟแบบ USB-C มาให้ 2 ตำแหน่งตรงที่มีฝาปิดนั้นเองครับ ส่วนม่านบังแดดมาให้ครบ 3 จุดด้านหลัง และด้านข้าง ซึ่งด้านข้างนั้นจะเป็นแบบมือสามารถดึงได้เลยนั้นเองครับ และจะมีแอร์หลังมาให้ ตรงเสาซ้าย และ ขวา พร้อมกับ ลำโพงจัดเต็มในด้านหลังรวมถึงปุ่มล็อกรถที่ใส่เข้ามาให้ทุกตำแหน่งเป็นจุดที่ใส่ใจได้ดีมาก

จุดที่แอบเสียดายของค่ายนี้คือแสงสียามค่ำคืนนั้นน้อยมากๆครับ ทั้งไฟส่องสว่างหรือไฟตกแต่งเองก็ตามเวลาขับรถนั้นจะมืดมากๆเลยทีเดียวเชียว จะมีแสงสีแค่หัวเกียร์เท่านั้นที่พอโดดเด่น ส่วนไฟอื่นๆเวลาเปิดก็พอสว่างและเป็นแสงขาวทั้งหมดครับ พอใช้งานได้มีไฟส่องเท้ามาให้ทุกตำแหน่งด้านหน้าและหลังเช่นกัน จริงๆไฟ Ambient Light นั้นมีมาให้ทั้งขอบประตู ขอบคอนโซล แต่ถือว่าแสงนั้นหรี่อ่อนมากๆแม้จะเพิ่มสุดแล้วก็ตามถือว่าถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นเลย

นอกเหนือจากไฟขอบประตูคอนโซลแล้วนั้น จะเป็นสีขาวไม่สามารถปรับได้ แต่ไฟส่องให้บรรยากาศในด้านหน้านั้นสามารถปรับได้ 7 สีหลักในภาพเลยนั้นเองจะส่องจากเพดานลงมที่ตัวเกียร์และที่วางแก้วพอสวยและให้บรรยากาศได้บ้างเล่นสะท้อนกับหัวเกียร์ได้สวย แต่จริงๆอยากให้ปรับได้ทั้งประตูและส่วนอื่นๆให้สว่างกว่านี้จะลงตัวกว่านี้เยอะมาก

ไฟตามขอบประตูนั้นให้มาด้วยทั้ง 4 บานสวยงามเหมือนจะมาชดเชยแสงสีบรรยากาศที่หายไปในห้องโดยสารได้ดีเมื่อเปิดประตูแล้วจะเด่นๆขึ้นมาด้วยเช่นกันอีกทั้งไฟส่องเท้านั้นให้มาทั้ง 4 ตำแหน่งหน้าและหลังแสงขาวทั้งหมดครับ

ENGINE

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมกับ Turbocharged และ Supercharged กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร และทำงาน ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า ที่ให้ แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร เมื่อระบบทำงานร่วมกันนั้น พละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร  พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic  ใช้งานระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ Lithium-ion 11.6 kWh แรงดันไฟฟ้า 270-400 V ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนในด้านหลังนั้นจะเป็นการขับเคลื่อนด้วย Electric Rear Axel Drive นั้นเองทำให้ทำงานร่วมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์เป็น AWD สามารถเร่ง 0-100 ภายใน 4.9 วินาที และ เร็วสูงสุด 180 km/h ตามการปรับล็อกความเร็วล่าสุดของค่ายทุกรุ่น ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า แบตต่างๆนั้นจะใช้งานไฟหัวแบบ TYPE 2 มาตรฐานรองรับชาร์จไฟ 2.5 ชั่วโมงจะเต็มและวิ่งได้ 40+ กม. นั้นเองครับ ส่วนช่วงล่างหลังใช้แบบถุงลมด้วยนะ

เครื่องยนต์ค่ายนี้แน่นอนว่าไม่ได้เน้นแรง อัตราเร่งโหด ตีนปลายโหดอะไรเพราะว่าเน้นความปลอดภัยทำให้ล็อกไว้ที่ 180 เท่านั้น ส่วนอัตราเร่งถ้ามีแบตเหลือเยอะบอกเลยว่าไม่ธรรดาแน่นอน เร็วแรงสุดๆแต่ถ้าไม่มีแบตเหลือจะแอบกลายเป็นอีกคันทันทีมีความอืดระดับนึงแต่ก็ไม่แย่ครับ เน้นขับแบบสบายๆไม่ได้โหดมากนักแต่ก็ไม่ได้อืดซะทีเดียวเรียกได้ว่า นุ่มนวลเป็นหลัก ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่างและการขับขี่ทีคนนั่งด้านหลังนั้นน่าจะชอบการเซ็ทมาแบบนี้ครับ

PILOT ASSIST 

เป็นอีกส่วนที่ชอบมากๆในรถยนต์คันนี้เสมือนกับการขับเองแต่ทั้งนี้มือเราต้องอยู่บนพวงมาลัยเสมอนะครับ แต่ระบบฉลาดขึ้นเยอะมากจริงๆถ้าเทียบกับของปีที่แล้ว เมื่อเจอโค้งหนักๆตัวนี้เอาอยู่หมด แต่ตัวก่อนหน้านี้เอาไม่อยู่เป็นจุดที่พัฒนาแตกต่างกันเยอะจริงๆในเรื่องของการเลี้ยวเองการติดตามเลน หรือว่าการเบรกอะไรเนียนขึ้นเยอะมากครับ และใช้งานได้ถึง 180 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงเลยในระบบช่วยเหลือตัวนี้ครับ และระบบช่วยเหลืออื่นๆก็มีทั้งระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและปกป้องแบบจัดเต็มมาก และรุ่นนี้จะมีกล้อง 360 องศามาให้ด้วยนะครับ ช่วยได้เยอะมากเลย และยังมีระบบป้องกันการชนพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน ผู้ขับขี่จักรยานและสัตว์ขนาดใหญ่พร้อมฟังก์ชันหยุดรถอัตโนมัติ (City Safety with Auto Braking) , ระบบป้องกันจากกรณีถูกชนท้ายรถ (Collision Warning with Auto Brake at stand still and mitigation support – rear) , ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจรบนหน้าปัดรถ (Road Sign Information) , ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด (Cross Traffic Alert)  , ระบบแจ้งเตือนเมื่อมียานพาหนะบริเวณจุดบอดสายตา (Blind Spot Information System) , ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันเพื่อรักษาระยะห่าง พร้อมฟังก์ชันหยุด/ออกตัวรถโดยอัตโนมัติ(Adaptive Cruise Control with Queue Assist) , ระบบป้องกันในกรณีรถพลิกคว่ำ (Rollover Prevention and Protection) ,

ระบบช่วยในการขึ้นที่ลาดชัน (Hill Start Assist) , ระบบช่วยในการลงที่ลาดชัน (Hill Descent Control) , ระบบช่วยในการจอดรถอัตโนมัติ แบบถอยหลังเข้าซองและขนานขอบทาง (Park Assist Pilot-Perpendicular & Parallel Parking) และระบบช่วยรักษาความเร็วและระยะห่างจากคันหน้าพร้อมรักษารถตำแหน่งให้อยู่ในช่องเดินรถ (Pilot Assist) ระบบปกป้องเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน (Run-Off Protection) เมื่อตัวรถยนต์ใกล้จุดหรือโอกาสเสี่ยงที่จะลื่นไถล หรือวิ่งตกถนนจะประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวรถ ณ เสี้ยววินาทีนั้น หากรถวิ่งตกลงบนไหล่ทาง ระบบจะสั่งการให้เข็มขัดนิรภัยคู่หน้ากระชับรัดตรึงร่างกายผู้ขับขี่ และผู้นั่งโดยสารเบาะหน้าซ้ายให้ติดกับพนักพิงโดยทันทีจากนั้น โครงสร้างของเบาะรองนั่งทั้งสองข้างจะทรุดตัวลงเพื่อรองรับ และป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเกิดการกระแทกเข้ากับเบาะรองนั่งอย่างรุนแรง สามารถลดแรงกระแทกในแนวตั้งได้น้อยลงถึงประมาณ 1 ใน 3 ของแรงทั้งหมด และมีการระบบเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนบริเวณทางร่วมแยก (Auto Brake at Intersections) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุชนกับรถที่วิ่งสวนทางมา อุบัติเหตุจากกรณีชนประสานงาเกิดขึ้นบ่อยมากบริเวณทางร่วมแยกทั้งในเมือง และทั้งบนทางหลวงที่ผู้คนใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ระบบจะตรวจจับข้อมูลขับขี่แล้วประมวลผลแนวโน้มที่จะเกิดการชนประสานงาและเบรกให้รถหยุดโดยอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนและบรรเทาความรุนแรงจากการชนประสานงาให้น้อยลง ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ก็ไม่เวอร์เกินไปจริงๆค่ายนี้

DRIVING

การขับขี่ต้องบอกว่าเป็นในแนวทางของค่ายนี้แน่นอนว่าอัตราเร่งในสเปกต่างๆดูจัดว่าไวมากๆ แต่มันก็จะทำได้โหดๆเมื่อมีแบตที่เยอะเท่านั้น โดยตัวรถเองนั้นไม่ได้เป็นแนวทางที่สปอร์ตหรือว่าสายซิ่งอยู่แล้วด้วยทำให้บุคลิคตัวรถนั้นเมื่อได้สัมผัสได้ลองขับจะไปในแนวทางเรียบหรู และ สุขุมแต่พร้อมจะเร่งแซงได้ทุกเมื่อ เมื่อมีแบตมากพอนั้นเองครับ อัตราเร่งแม้จะไม่มีแบตก็ไม่ได้น่าเกลียดหรือด้อยอะไร แต่ถ้าหากเรามองข้ามไปยังคู่แข่งถ้าเทียบกับเครื่องยนต์ล้วนๆอาจจะไม่ได้ขับขี่เร้าใจหรือว่าขับสนุกเท่า ด้วยการเซ็ตเกียร์ เครื่องยนต์อะไรที่ต้องบอกว่าแตกต่างกันแบบชัดเจนครับ อันนี้จะเน้นการเปลี่ยนเกียร์นุ่มๆ และ อัตราเร่งแบบไปเรื่อยๆไหลไปจนสุดที่ 180 กม/ชม. แบบผู้ดีแซงแบบเนียนๆไป

ถ้ามองอัตราเร่งทั้งช่วงตีนต้นและตีนปลายนั้นถือว่าแรงถ้ามีแบต แต่ถ้ามองไปในเรื่องของช่วงล่างนั้นแอบค่อนข้างแตกต่างกันรุ่นอื่นๆทั้งในเรื่องของความหนึบหรือว่าเกาะ แม้ว่าจะเป็นขับ 4 ก็ตามแต่จะแบ่งกันทำงานเรื่องของแบตและเครื่องทำให้อาจจะไม่ใช่ขับ 4 เต็มระบบในเรื่องของความเกาะถนนจะให้ไปแนวทางนุ่มนวล หนึบในทางตรง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเลี้ยวเข้าโค้งหนักๆ หรือว่าเปลี่ยนเลน 3เลนหรือเลี้ยวกระชั้นหน่อยตัวรถจะมีอาการโยนได้ง่ายเนื่องจากการตั้งค่าช่วงล่างของมันแม้จะเปิดโหมด Power แล้วก็ตามครับ ด้วยบุคลิกของตัวรถยนต์เองนั้นไม่ได้สายซิ่งอยู่แล้วด้วยเช่นกัน แต่ถ้าถามว่าคนนั่งนั้นชอบช่วงล่างแบบนี้มากกว่าตัวอื่นๆแน่นอนครับมันมีความนุ่ม นิ่มยวบกำลังดี ในทางตรงไกลๆ แต่ถ้าเลี้ยวหนักๆขึ้นลงเขา นั่งหลังอาจจะๆไม่ได้เด่นมากนักครับ แต่ถ้ามองในมุมมองคนขับนั้น ขับได้เรื่อยๆสบายๆ นุ่มนวล เจอถนน เจอเนินไม่ต้องห่วงคนนั่งมานักขับสบายๆแต่ถ้าคนชอบขับเร็วอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์

ตัวเกียร์เองนั้นเซ็ทมาไม่ได้ตอบสนองต่อการเร่งแซงได้ดีเท่าไรเวลาคิกดาวน์นั้นแอบมีจังหวะที่รอแบบชัดเจนครับไม่ได้พุ่งทันทีเหมือนตอนมีแบตทำให้มันต้องรอซักเล็กน้อย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าช้าไปนิดหน่อย รวมถึงพวงมาลัยนั้นเซ็ทมากำลังดีแน่นและไม่หนักเกินไปเอาอยู่ในช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง เหมาะกับรถยนต์ขนาดนี้และไม่ได้ไวมากนักครับ แต่ที่เด่นมากที่สุดคือเรื่องของการเก็บเสียงและความนิ่งในการนั่งเป็นรถที่นั่งแล้วผ่อนคลายมากจริงๆ ทั้งความโปร่ง ความสวยของห้องโดยสารหรือว่าจะเป็นการเก็บเสียงถนน เสียงลมรอยต่อถนนต่างๆนั้นทำได้เนียนและนุ่มมากๆ ช่วงล่างถุงลมเก็บอาการได้ทั้งหมดในคนนั่งด้านหลัง และเสียงลมตามขอบประตู กระจก ล้อต่างๆนั้นเงียบและดีมาก ต้องบอกว่าดีกว่าทุกคันในคลาสนี้ก็ไม่เวอร์เกินไปสำหรับ S90 RECHARGE ตัวนี้ และเซ็ททุกอย่างมาเอาใจคนนั่งเต็มๆ

CONSUMPTION

อัตราการกินน้ำมันนั้นจากที่ได้ลองมาซักพักขับหลายๆทริปพอจะคำนวณได้ประมาณ 13 กิโลลิตรทั้งการขับขี่ทางไกลทั่วไปและเปิด POWER MODE ที่ไม่มีแบตนะครับจะไม่เกินนี้หรือไม่ต่ำกว่านี้ถือว่าก็เอาเรื่องเนื่องจากน้ำหนักตัวรถขนาดของมัน พละกำลังของมันก็พอจะเข้าใจได้ครับ แต่เหยียบแบบจัดเต็มนะครับ ถ้าขับปกติอาจจะเห็น 14-15 ได้เลยนะครับ แต่ถ้าในเมืองข้อดีมันคือมีไฟฟ้าช่วยในจุดนี้เลยทำให้ในเมืองอาจจะเห็นตัวเลขที่ดีกว่านี้ได้นั้นเองครับ ซึ่งถ้ามีแบตก็จะประหยัดมากๆ และ กำลังดีมากๆจะได้ประมาณ 16-17 กิโลลิตรได้เลย และถ้าขับไม่เร็วไปไหนมาไหนนั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานน้ำมันเลยครับ เพราะว่าถ้าใครเน้นใช้งานในเมืองก็ไม่ได้สูบเยอะอะไรเพราะว่าจริงๆระบบ PHEV หรือเสียบปลั๊กเหมาะมากๆสำหรับขับไปทำงานในเมืองไม่ไกล วันนึงไม่ต้องใช้งานน้ำมันเลยก็เป็นไปได้สำหรับใครที่เสียบชาร์จไฟบ่อยๆในที่ทำงานหรือที่บ้านไปกลับวันนึงไม่เกิน 40 กิโลแบตตัวนี้ก็เหลือๆแล้วนั้นเองครับ

VOLVO S90 RECHARGE T8 AWD INSCIPTION

” แรงเมื่อมีแบต ช่วงล่างนุ่ม นั่งสบาย พรีเมี่ยมซีดาน วัสดุ งานประกอบคือที่สุด ! “

เป็นรถยนต์ที่ออกมาตอบโจทย์คนนั่งข้างหลังแบบ 100% พ่อแม่พี่น้อง หรือแม้แต่ผู้บริหาร นั่งหลังได้แบบสบายจนเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน โซฟาสบายๆ บรรยากาศแบบ IKEA ห้องนั่งเล่นตัวนี้บอกเลยว่าเหมาะที่สุด คุณภาพงานประกอบเนียน ลายไม้ผิวสัมผัสดี ได้เครื่องเสียงชั้นยอดไม่แปลกใจว่าทำไมนั่งแล้วมันสบายขนาดนี้ในคนนั่งด้านหลังถ้าให้เลือกนั่งทางไกลมากๆแอดขอเลือกคันนี้แน่นอน แต่ถ้ามองในมุมมองของคนขับ ที่ชอบขับรถค่ายนี้อาจจะไม่ได้เด่น เพราะว่าเป็นรถยนต์ที่เน้นนั่งสบาย นุ่มนวล นิ่ม ทางตรงยาวๆชิลๆมากกว่าเอาไปเทโค้ง สายมุมอยู่แล้วครับ ซึ่งแต่ละค่ายก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปแบบชัดเจนมากๆ ทางด้าน S90 เน้นออพชั่น ปลอดภัยแบบเต็มที่ นั่งสบาย พรีเมี่ยม พร้อมกับ ความหรูหราที่สุดในคู่แข่งทั้งหมด เป็นกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันแล้วแต่ชอบเลยครับในรุ่นนี้ แต่ถ้าเน้นความปลอดภัย ฟีเจอร์ขับขี่ที่เยอะที่สุด ระบบช่วยเหลือที่จัดเต็ม และประหยัดน้ำมันเอาเรื่องตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน สำหรับรถยนต์คลาสนี้ทั้งหมด คันนี้น่าจะเป็นรถยนต์ที่หรูที่สุดและปลอดภัยที่สุดแล้วในตลาดตอนนี้

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares