SUBARU BRZ นั้นเป็นรถยนต์ขับหลังคันเดียวของทาง SUBARU และแน่นอนว่าเป็นการพัฒนาร่วมกับทาง TOYOTA GR85 ทำให้เราอาจจะคุ้นๆในเรื่องของเส้นสายงานออกแบบ ทั้งรุ่นก่อนหน้านี้ และ รุ่นล่าสุด ซึ่งจะเปลี่ยนแค่หน้าตาบางส่วน เท่านั้นครับ ส่วนตัว BRZ เองถือว่าทำได้น่าสนใจเป็นรถสำหรับสายแต่ง สายโมที่น่าสนใจมากๆคันนึง อาจจะไม่ได้แรงโหดสุด แต่ความขับสนุก การง่านต่อการแต่ง หรือ ชุดแต่งหลากหลายเป็น JDM ในราคาที่ไม่แพงและจับต้องได้ง่าย และ ในงบประมาณนี้ถือว่า ได้บอดี้ที่สวยเกินราคา และ ดูโดดเด่นบนท้องถนนอย่างมากเลย

SUBARU BRZ 2.4 AT EYESIGHT จะเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่เล็กน้อยที่เสริมเข้ามาในเกียร์ AT แต่ถ้ารุ่น MT ก็จะไม่มีในส่วนนี้นั้นเอง มาพร้อมกับ ความยาวเพิ่มขึ้น  กว้างเท่าเดิม เตี้ยลง และ ระยะฐานล้อ ยาวขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า รวมถึงตัวเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน Boxer  2.4 ลิตร เทคโนโลยี D-4S ให้กำลังสูงสุด 237 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.9 วินาที เครื่องใหญ่ขึ้น แรงขึ้นสำหรับคันนี้ จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่าเดิม หนักกว่าเดิมเล็กน้อยแม้จะใหญ่ขึ้นทำให้มันเป็นรถที่ขับสนุกมากๆคันนึงในตลาด และเทคโนโลยีใส่เข้ามาครบในรุ่น AT EYESIGHT ไม่ว่าจะเป็น โหมดสปอร์ต โหมดขับขี่บนหิมะ เทคโนโลยี EyeSight Advance Driver Assist ทั้ง ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (Pre-collision Braking) ระบบจัดการกำลังเครื่องยนต์ (Pre-collision Throttle Management) ระบบเตือนเมื่อรถออกจากเลน (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถส่ายไปมา (Lane sway warning)  ระบบแปรผันความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)ระบบเตือนรถเคลื่อนที่ (Lead Vehicle Start Alert) และให้ ไฟหน้าปรับสูง/ต่ำอัตโนมัติ (AHB) รวมถึง ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง (RAB) ที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่น เกียร์ MT นั้นเองครับ ส่วนออฟชันอื่นๆเหมือนกัน ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ต่างๆ และ ชุดมาตรวัด แบบหน้าจอ TFT LCD ขนาด 7 นิ้ว และจอสัมผัส 8 นิ้ว แบบ Capacitive รองรับ Android Auto , Apple Carplay ครบ ถือว่าภายในวัสดุต่างๆมีการใช้วัสดุหนังกลับเข้ามาเยอะขึ้นและดูดีมาก

SUBARY BRZ 2.4 6AT EYESIGHT : 2.849 ล้านบาท

EXTERIOR

งานออกแบบเมื่อครั้งแรกที่เห็นรู้สึกเลยว่า BRZ รุ่นนี้พยายามที่จะยุโรปมากกว่าเดิม หรือดูสวยแบบเรียบหรูขึ้นเล็กน้อย ความเป็น JDM อาจจะน้อยกว่ารุ่นที่แล้วทั้งหน้าและหลัง แต่ถ้ามองภาพรวมเส้นสายรอบคัน และ ความโค้งเว้าของตัวรถถือว่ายังคงมีกลิ่นอายของ BRZ รุ่นก่อนมาแบบเยอะมากๆทั้งกระจกด้านข้าง และเส้นสานข้างๆตัวรถนั้นเองครับ และด้วยความที่สีน้ำเงินในภาพคือสีที่เด่น WR BLUE PEARL  ถือว่าสีเอกลักษณ์ของ SUBARU อีกสีนึงทำให้ภาพรวมคันจริงมันทำได้สวยลงตัวขึ้น และขนาดตัวรถใหญ่กว่าเดิมทำให้ดูสัดส่วนต่างๆดูเข้ากันได้ดีกับล้อ 18

สัดส่วนตัวรถจริงๆเมื่อเปรียบเทียบกับ BRZ ก่อนหน้านี้ ตัวรุ่นใหม่มีความยาวขึ้น 25 มม. เตี้ยลง 10 มม. กว้างนั้นยังคงเท่าเดิมครับในส่วนตัวรถแต่ฐานล้อ ยาวขึ้น 5 มม.และควบคุมน้ำหนักให้มากกว่าเดิมแค่ 10 กิโลกรัมเท่านั้นแม้รถจะใหญ่ และใส่เทคโนโลยีอะไรเข้ามาเยอะ เปลี่ยนเครื่องก็ตามจุดนี้ทำได้ดีมากสำหรับการจัดการน้ำหนักเส้นสายตัวรถใส่เข้ามาแบบเน้นๆ มัดกล้ามสวยงาม โค้งเว้าและช่องดักลมรีดอากาศนั้นของจริงทั้งหมด ถือว่าสมราคาซึ่งตัวรถจริงๆเองนั้นไม่ได้เตี้ยมากนักหลายๆคนอาจจะเอาไปโหลดกันได้อีกครับเพราะเราจะเห็นระยะสูงพอสมควร แม้จะเตี้ยกว่าเดิมก็ตามเน้นขับง่าย แต่ถ้าความสวยอาจจะดูสูงไปนิดส่วนทางด้านสีน้ำเงินเจอแสงและเข้มขึ้น

ตัวล้อให้มาลายเท่ขึ้นสีเทาดำ ขนาด 18 นิ้ว x 7.5 J ทำสีแบบ Matt dark Grey Metallic และให้ยาง Michelin Pilot Sport 4 ขนาด 215/40 R18 ซึ่งรวมถึงล้ออะไหล่ก็ให้ลายแบบเดียวกัน และ ยางตัวเดียวกันทั้งหมดครับ ! ซึ่งล้อถือว่าดูสปอร์ตกว่าเดิมที่ไม่มีการเล่นสีเงินมาให้แล้วครับแต่เสียดายเบรกยังคงธรรมดาและไม่มีสีสันอะไร ทางด้านไฟเลี้ยวข้างยังให้มาตรงซุ้มล้อหน้า และ ซุ้มล้อด้านหลังจะเป็นช่องรีดอากาศ และ สัญลักษณ์ EYESIGHT ครับ รวมถึงในกันชนหน้าก็เป็นช่องดักลมของจริงทั้งหมดในด้านข้าง และ หน้า รวมถึงเส้นสายดุดันพอสมควรเลยในส่วนนี้

ท้ายตรงเราจะเห็นเลยว่าไฟท้ายเปลี่ยนไปเยอะมากๆ และ เส้นสายแตกต่างกันรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด การเสริม Ducktail ในตัว และ ท่อขนาดใหญ่ทำให้ด้านหลังดูเท่แรง ดุดันพร้อมกับไฟตัดหมอกหลัง ไฟถอยล่างแบบรถสปอร์ต ส่วนทางด้านหน้าเอง BRZ จะได้กระจังหน้าปากยิ้ม แตกต่างกับ GR86 ที่เป็นปากคว่ำนั้นเองครับแล้วแต่ชอบกัน พร้อมกับช่องดักลมขนาดใหญ่ และ ไฟหน้า DRL รูปตัว C พร้อมที่ล้างไฟหน้า และ เปิดสูงต่ำอัตโนมัติ ส่วนด้านท้ายไฟโคมบนเป็น LED ทั้งหมด ไฟเลี้ยว ไฟเบรก และ ไฟหรี่ ส่วนไฟถอยนั้นจะอยู่ด้านล่างสุดของกันชนหลัง

กันชนท้ายยังคงคอนเซปต์เดิมที่รองรับการแต่งได้ด้วยท่อไอเสียขนาดใหญ่มากๆแบบคู่ พร้อมกับไฟตัดหมอกด้านล่างและไฟถอยหลัง ส่วนด้านบนฝากระโปรงหลังมีเส้นสายสีดำเชื่อมต่อไฟท้ายเข้าด้วยกันและ ปุ่มเปิดฝาท้าย และ กล้องมองหลังซ่อนอยู่ใต้ไฟเบรกดวงที่ 3 ที่ผสมเข้าไปกับตัว DUCKTAIL ของตัวรถ จุดนี้ผมชอบงานออกแบบส่วนนี้มาก

และทั้งนี้เราก็ได้ลองใส่จักรยานเช่นเดิมครับ รุ่นนี้เมื่อเปิดฝาท้ายจะได้ห้องสัมภาระเล็กๆ 178 ลิตรที่มีล้ออะไหล่โผล่มาครึ่งนึง ไม่มีที่ปิด ทำให้เราต้องถอดล้ออะไหล่ออกก่อนที่จะใส่จักรยานเข้าไป และ สามารถพับเบาะแบบ 1 ส่วนได้เรียบๆครับ แต่การเข้าเอาบอกเลยว่าลำบากพอสมควรถ้าจักรยานคันไหนใหญ่มากกว่านี้อาจจะไม่รอดครับสำหรับการขนจักรยาน

INTERIOR

งานออกแบบภายในเปลี่ยนแปลงเยอะ เส้นสายงานออกแบบดูลงตัวขึ้นและเท่ขึ้น ถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนมีหลายๆคนบ่นว่าภายในธรรมดาไปมากๆ และรุ่นนี้ปรับปรุงเยอะทั้งเรื่องงานออกแบบ วัสดุที่ใช้งาน และ ยังคงความดิบๆในเรื่องของเบรกมือ เกียร์อะไรไว้ได้ครบ ส่วนเรื่องวัสดุภาพรวมจริงๆเองก็ถือว่ายังคงมีพลาสติกเยอะ และเป็นรอยค่อนข้างง่ายในส่วนของคอนโซลกลาง รวมถึงจอกลางเองก็ค่อนข้างธรรมดาไป แต่ก็ถือว่าได้หน้าจอดิจิทัลเรือนไมล์มาทดแทนไปครับ เสริมด้วยความดุดันของด้านสีแดงรอบๆคัน ทั้งเบาะ และ เกียร์ถือว่าดุดันเท่ใช้งานได้ดีเลยแหละ

คอนโซลกลางเองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาพร้อมกับช่องแอร์ทรงสี่เหลี่ยม เสริมด้วยหน้าจอสัมผัส 8 นิ้วรองรับการสั่งงานต่างๆรวมถึง Apple Carplay , Android Auto แบบเสียบสายสัมผัสหน่วงนิดหน่อยยังไม่ดีเท่ากับรุ่นพี่คันอื่นๆในค่าย  และ แอร์แยกโซนซ้ายขวา และ จอดิจิทัลทั้งหมด รวมถึงปุ่มปรับเปลี่ยนโหมดต่างๆในด้านล่างแบบรถสปอร์ต แต่วัสดุบอบบางไปหน่อยส่วนขอบประตูเองนั้นมีการบุหนังกลับมาให้สวยงามพอสมควรนะจุดนี้ และมีจุด Blind Spot มาให้ตรงกระจกมองข้าง รวมถึงอุโมงค์กลางคอนโซลนั้นใหญ่สะใจ พร้อมกับเกียร์ Auto ที่ออกแบบให้คล้ายกับการใช้งานเกียร์ธรรมดา จุดนี้ค่อนข้างชอบ และเดินด้านสีแดง แต่วัสดุตรงสีด้านๆเป็นรอยง่ายมากๆครับด้วยการใช้งานพลาสติกธรรมดา แต่ยังใจดีให้อุ่นเบาะ และที่วางแก้วน้ำ 3 ตำแหน่งรวมตรงที่วางแขนเมื่อเปิดออกมานั้นเอง ซึ่งจริงๆที่วางของมือถือค่อนข้างน้อยครับ มีแค่ช่องในภาพเท่านั้นเลย และที่วางแก้ว 2 จุดตรงที่วางแขน

พวงมาลัยเองนั้นก็ดูดีกว่าเดิมเช่นกัน มิติงานออกแบบดีขึ้น ไม่เรียบแบบรุ่นก่อนอีกทั้งปุ่มต่างๆให้มาแน่นขึ้นรวมถึง Adaptive Cruise Control ใช้งานได้ดีมีการเดินด้านสีแดงมาให้ครบแต่ยังคงความเป็น 3 ก้านอยู่เหมือนเดิมซึ่งหลังจากใช้งานรู้สึกว่าตัวพวงมาลัยแอบไม่หนาเท่าไรเวลาจับมันจะไม่ได้เต็มมือแบบรถยุโรปสายซิ่งพวกนั้นทำให้มันไม่แน่นมือเวลากำเท่าไรนัก ส่วนเรือนไมล์เป็นครั้งแรกของค่ายที่ใช้งานแบบดิจิทัลทั้งหมดและปรับเปลี่ยนหน้าตาได้ 3 แบบ คือ TRACK เปลี่ยนหน้าตาแบบในภาพวัดรอบเป็นแบบดิจิทัลล้วนเห็นชัดๆ และ โหมดปกติ และ Sport ที่จะเป็นวงกลมแต่เปลี่ยนสีขาวกับดำและมีจับเวลา TRACK และ แรง G โชว์เวลาซัดแรงๆด้วยเช่นกันถือว่าดิบๆสะใจ

TECHNOLOGY 

ข้อดีของรุ่น AT คือเราจะได้เทคโนโลยี EYESIGHT มาแบบจัดเต็มซึ่งรุ่นเกียร์ธรรมดานั้นไม่มีนั้นเอง ทำให้เราได้เทคโนโลยี EyeSight Advance Driver Assist ซึ่งเป็นระบบกล้องคู่หน้าแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆของค่ายแต่จะไม่ได้มีระบบช่วยขับหรือประคองรถให้อยู่ในเลนนะครับ ไม่มีการช่วยเหลือในการรักษารถในเลนมาให้เพราะทางค่ายอยากให้ตัวคนขับได้สัมผัสการขับขี่แบบไม่มีระบบมาช่วยขัดนั้นเองทำให้มี ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (Pre-collision Braking) และ ระบบจัดการกำลังเครื่องยนต์ (Pre-collision Throttle Management) และ ระบบเตือนเมื่อรถออกจากเลน (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถส่ายไปมา (Lane sway warning) ระบบแปรผันความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) รวมถึงระบบเตือนรถเคลื่อนที่ (Lead Vehicle Start Alert) เวลาจอดติดไฟแดง รวมถึงระบบอื่นๆให้มาเช่น ไฟหน้าปรับสูง/ต่ำอัตโนมัติ (AHB) และ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง (RAB) เรียกได้ว่าเห็นรถทรงสปอรต์ดิบๆแบบนี้ แต่ระบบช่วยเหลือคือเยอะมากเลยแหละ

DRIVING 

การขับขี่แน่นอนว่ารู้สึกแรกเลยคือแรงขึ้น ขับสนุกขึ้น แต่ช่วงล่างยังคงไม่ได้กระด้างมากเกินไปไม่ได้เด้งขนาดนั้นทำให้มันเป็นรถยนต์ที่ขับได้ง่ายทั่วไปในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ต้องคิดมาก แถมความแรงก็พอไหวในการใช้งานไม่ได้พุ่งมากนักเน้นทรงสวยไว้ก่อน อัตราเร่งช่วงต้น ไม่พุ่งมากแต่จะไหลไปช่วง 120+ นั้นเองครับ ทำให้ตอนแรกมันจะออกตื้อๆนิดนึง แต่เสียงเครื่อง เสียงท่อสะใจเหมือนเดิมในรถ แต่ข้างนอกรถไม่ได้ลั่นมากนักในส่วนนี้ การเก็บเสียงถนน ลม ยางไม่ดีทำให้เสียงทุกอย่างเข้ามาเยอะมากๆแม้จะขับแค่ 80-100 เท่านั้นเอง อาจจะด้วยการที่ต้องลดน้ำหนักตัวรถ และ กระจกแบบไร้กรอบทำให้การเก็บเสียงไม่ได้ดีเท่าไร ส่วนเกียร์การเร่งเครื่องมันกลับมีจังหวะคิด หน่วงนิดหน่อยแม้จะเป็นเครื่อง NA แต่การตอบสนองมันไม่ค่อยไวแบบที่คิดครับ จุดนี้เป็นจุดนึงที่น่าเสียดายมากๆ แต่ทางด้านช่วงล่าง การขับหลังยังคงโหดขับสนุก และหนึบเกาะถนนแม้จะความเร็วสูง จุดนี้ค่ายนี้ยังคงโดดเด่นมาก

SUBARU BRZ AT EYESIGHT

” หล่อ เท่ ทรงสวย งานออกแบบภายในดีขึ้น แรงกำลังดีกับใช้งานทั่วไป ขับหลังคือสุด “

ถ้าต้องการหารถยนต์ที่ขับสนุก ทรงสวย เท่ และ ขนาดรถที่เหมาะกับในเมือง มุดไปมาขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบไม่เกะกะหรือลำบาก SUBARU BRZ เข้ามาตอบโจทย์ส่วนนี้ได้แบบทันที รถเองนั้นอาจจะไม่ได้แรงสะใจอะไรมาก แต่ความสวย การขับหลังของมันและการเอาไปแต่งต่อได้ทำให้กับงบราคาแบบนี้กลายเป็นน่าเล่นมากๆคันนึงเลยทีเดียว ทั้งดีไซน์ภายนอกดูเท่เกินราคา โดดเด่นบนท้องถนนแล้ว ภายในก็ปรับเปลี่ยนให้สวยลงตัวดูดีขึ้นเยอะมาก จึงไม่แปลกใจว่าทำไมยังคงมียอดจองและรอรถกันยาวนานทั้งในไทย และ ต่างประเทศ ภาพรวมถ้ารักการขับขี่และชอบขับรถ คันนี้น่าจะเป็นรถยนต์เริ่มต้นของใครหลายๆคนที่อยากหารถคันที่ 2 ไว้ซิ่ง เท่เป็นหลักไว้ก่อนนั้นเอง

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares