อารยธรรม SONY นั้นถือว่ายังคงคำนี้ได้ดีสำหรับค่ายนี้ ในเรือธงของตัวเองนั้นก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ได้ไปตามงานออกแบบเหมือนกับค่ายอื่นๆ ทั้งรูปทรงของตัวเครื่อง การใช้งานหน้าจอแบบไม่มีรู ไม่มีติ่ง หรือจะเป็นการวางตำแหน่งลำโพงที่กลับมาใช้งานวางข้างหน้าทั้งหมดแล้วถือว่าเป็นจุดที่อะไรหลายๆอย่างเปิดตัวมาลงตัวมากขึ้น ทั้งรู 3.5มม. ลำโพงแบบวางหน้า ระบบกล้องที่ปรับมาดีขึ้น พัฒนาโหมดต่างๆมาดีขึ้น การใส่ใช้งานแบตที่ดีมากขึ้น 4,000 mAh อีกทั้งหน้าจอยังคงโดดเด่นให้มาแน่นๆที่ 4K OLED HDR เป็นหน้าจอที่สวย และอัตราส่วนเหมาะแก่การดูหนัง หรือจะเป็น งานประกอบที่แน่นและสวย ถือว่าเป็น XPERIA ที่ลงตัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นการจัดสเปกมาเลยก็ว่าได้ แต่ในการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไง ในหลายๆเรื่องเรามาอ่านกันเลยครับ สำหรับ SONY XPEIRA 1 II เรือธงรุ่นล่าสุด แม้ชื่อรุ่นแอบมึนๆในการตั้งก็ตามว่าจะเป็น 1 หรือ 2 แต่เรียกกันง่ายๆว่ารุ่น XPERIA 1 มาร์ค 2

Xperia 1 II (อ่านว่า มาร์คทู) มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว Cinema Wide 21:9 ความละเอียด 4K และรองรับ HDR และใช้เทคโนโลยี Motion Blur Reduction ให้ความลื่นเทียบเท่าจอ 90Hz ทางด้านของชิปเซตจะใช้ชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อม Ram 8GB และในส่วนของกล้องหลังของมันจะมี 3 ตัวประกอบด้วย 12MP + เลนส์กว้าง 12MP + เลนส์เทเล 12MP และเซนเซอร์ 3D iToF (indirect Time-of-Flight)  เจ้าสมาร์ทโฟนจะใช้เลนส์ของ ZEISS ที่เคลือบด้วย T* (T-Star) ที่ช่วยป้องกับการสะท้อนแสง ทำให้การแสดงผลรูปภาพและถ่ายภาพมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Cinema Pro ที่ช่วยให้ถ่ายวีดีโอได้ในอัตราส่วน 21:9 ในความละเอียด 4K, HDR ส่งผลให้ถ่ายในวิดิโอในสภาพย้อนแสง และแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น และแน่นอนว่ารูหูฟัง 3.5 มม.นั้นกลับมาแล้วพร้อมกับรองรับระบบเสียง  360 Reality Audio ให้เข้ามาอยู่กับมือถือของตัวเองและใช้งานกับหูฟังได้ทุกรุ่น และใส่ DSEE Ultimate สำหรับการอัพสเกลเสียงให้ดีขึ้นเทียบเท่า Lossless ได้ด้วย ทางด้านแบตนั้นให้มาที่ 4,000 mAh รองรับชาร์จไว Power Deliver 21W และ รองรับชาร์จไร้สายด้วยเช่นกัน ซึ่งยังคงเน้นในเรื่องของงานประกอบเทพๆงานออกแบบสวยงามตามสไตล์ SONY รูปทรงเหลี่ยมยาวๆ พร้อมกับรองรับ กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP65/68 แต่น่าเสียดายว่ากล้องหน้านั้นยังคงเป็นตัวเดิมเหมือนกับรุ่นก่อน ที่ 8MP (f/2.0) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/ 4 และส่วนของลำโพงนั้นเป็นลำโพงคู่ วางด้านหน้าและระบบ Dymanic Vibration สั่นตามเสียงนั้นยังคงใส่เข้ามาให้ใช้งานกันเหมือนเดิมครับสำหรับ เรือธงรุ่นล่าสุดของค่าย อารยธรรม

SONY XPERIA 1 II เครื่องศูนย์ไทยนั้น ราคามาที่ 35,990 บาท เริ่มจองได้ตั้งแต่ 17 – 30 กันยายนนี้ โปรโมชั่นสำหรับคนที่สั่งจองคือจะได้หูฟังรุ่น WF-1000XM3 ไปใช้งาน ตัวมือถือนั้นจะมาพร้อมกับสี ม่วงและดำ

UNBOX

  • ตัวเครื่อง SONY XPERIA 1 II
  • ที่ชาร์จ Adaptor รองรับ 18W
  • สายชาร์จ USB-C ไป USB-C
  • หูฟัง InEar แบบ 3.5 มม. พร้อมจุก 3 ขนาด
  • คู่มือ
  • เคสใส ไม่มีแถมมาให้แล้ว ***

DESIGN

 

หน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอ อัตราส่วนแบบ 21:9 และ หน้าจอเป็นหน้าจอแบบ OLED 6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K  Cinema Wide ระบบประมวลผลภาพ BRAVIA X1 ยังคงไม่มีติ่งหน้าจอ ถือว่ารักษาการออกแบบที่ดีไว้ได้ ขอบหน้าจอล่างทำได้บาง แต่ด้านบนนั้นยังมีพอสมควร หน้าจอแบนไม่โค้ง เป็นหน้าจอแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า

ส่วนขอบด้านบน นั้นจะเห็นว่าหนากว่าด้านอื่นๆด้วยการออกแบบหน้าจอของมันทำให้มาหนาส่วนข้างบนแทน และ เป็นที่อยู่ของไฟแจ้งเตือน Led ที่มุมซ้าย เซนเซอร์ต่างๆ กล้องหน้า ลำโพงตัวที่ 2 พวกนี้ครับยังมีความหนานิดหน่อย แต่ตำแหน่งลำโพงในรุ่นนี้จะเปลี่ยนจากรุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจน เอาไปไว้บนขอบสุดด้านบนมากขึ้น

ขอบด้านล่างหน้าจอนั้นทำได้บางขึ้นเยอะเลยเพราะการออกแบบหน้าจอทำได้ดีขึ้น และไปหนาในส่วนข้างบนแทนที่เป็นที่อยู่ขอบพวกลำโพง กล้องหน้าต่างๆ ส่วนปุ่มควบคุมนั้นก็เป็นปกติแบบ Android 10 เต็มหน้าจอทั้งหมด

ขอบเครื่อง มีความเหลี่ยมสันชัดเจนมากกว่าเดิม จะเห็นว่าดีไซน์นั้นมีความเป็นตัวเองมากๆ แม้จะมองจากด้านข้างพร้อมกับถาดซิมแบบที่เป็นแบบเปิดได้เลยไม่ต้องใช้ที่จิ้มซิม รองรับ Hybrid Slot และมาพร้อมกับซีลกันน้ำรองรับ IP68

ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเห็นว่าเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง พร้อมกับปุ่ม Power ที่เป็นแบบสแกนนิ้วในตัว และรองรับการใช้งานกดลงไปได้แล้วครับ ถือว่าสะดวกมากๆ และมาพร้อมกับปุ่ม ชัตเตอร์สำหรับเข้ากล้องด่วนรวมถึงการถ่ายในโหมดทั่วไปและโปรเช่นกัน

ขอบเครื่องด้านบนจะเห็นการกลับมาของรู 3.5มม. และ ไมค์ตัดเสียงที่ใส่เข้ามาให้ในด้านนี้ และจะเห็นว่าขอบเครื่องนั้นมีความเหลี่ยนสันอย่างชัดเจนในมุมมองนี้

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีรู USB-C 3.1  และไมค์สำหรับรับเสียงและตัดเสียงได้ด้วย งานออกแบบนั้นจะแตกต่างกับรุ่น 1 แบบชัดเจนทั้งการวางและงานออกแบบ

ฝาหลังของเครื่องนั้นมีความเรียบง่ายและมีความเหลี่ยนสันแบบชัดเจน ฝาหลังนั้นเป็นแบบเรียบทั้งหมดพร้อมกับสีม่วงที่เป็นแบบโครเมี่ยมนิดๆ จะไม่ได้เป็นสีม่วงเข้าครับ จะเป็นม่วงอมเทาที่แทรกด้วยกระจกเงาทำให้มีความโดดเด่นและเป็นสีเอกลักษณ์อีกทีของค่ายนี้ โดยรวมถือว่าสีสวยและเด่นมากๆแต่ฝาหลังแอบเป็นรอยได้ง่ายในการใช้งานเพราะ ทั้งหน้าจอ และฝาหลังเป็นกระจกทั้งหมด อาจจะต้องระวังครับ ส่วนตำแหน่งกล้องย้ายไปมุมซ้ายจากเดิมที่เป็นตรงกลางในรุ่นก่อน ถือว่าใช้ถ่ายง่ายขึ้นในการจัดมุม

ทางด้านกล้องหลังนั้นไม่ได้มีความนูนเพิ่มเติมอะไรมากนักแต่เด่นๆคือการเขียนว่าเป็นเลนส์ ZEISS ที่เคลือบ T Coating ใส่เข้ามาให้ และทางด้านสเปกกล้อง และ เซนเซอร์อะไรนั้นยังคงจัดเต็มครับ แต่น่าเสียดายว่าไม่ได้มีเลนส์ซูมโหดๆแบบเรือธงค่ายอื่นเท่าไรนัก กล้องหลัง 12MP (f/1.7) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/1.7″, Hybrid OIS/EIS, เลนส์กว้าง 135° 12MP (f/2.2), เลนส์เทเล 34° 12MP (f/2.4), Hybrid OIS/EIS ที่สามารถซูมได้ 2x และสามารถถ่ายวีดีโอ slow motion 2K ได้ที่ 120 fps, เซนเซอร์ 3D iToF เท่านั้น

SPEC

  • หน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว (1644×3840พิกเซล) 4K OLED HDR อัตราส่วน 21:9 , 100% DCI-P3 color gamut, X1, เทคโนโลยีลด Motion Blur , ทำจากกระจก Corning Gorilla Glass 6
  • ชิปเซต Snapdragon 865 7nm มาพร้อมการ์ดจอ Adreno 650
  • RAM 8GB, Storage 256GB ที่ใส่ microSD card เพิ่มได้ถึง 1TB
  • Android 10
  • ซิมคู่แบบ Hybrid (nano + nano / microSD)
  • กล้องหลัง 12MP (f/1.7) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/1.7″, Hybrid OIS/EIS, เลนส์กว้าง 135° 12MP (f/2.2), เลนส์เทเล 34° 12MP (f/2.4), Hybrid OIS/EIS ที่สามารถซูมได้ 2x และสามารถถ่ายวีดีโอ slow motion 2k ได้ที่ 120 fps, เซนเซอร์ 3D iToF
  • กล้องหน้า 8MP (f/2.0) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/ 4, ขนาดพิกเซล 1.12μm, และถ่ายภาพมุมกว้างได้ 84°
  • รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพง Stere, Dolby Atmos, DSEE Ultimate, Stereo Recording, Qualcomm aptX HD audio
  • ปุ่มสแกนนิ้วด้านข้างตัวเครื่อง
  • ขนาดตัวเครื่อง: 166 × 72 × 7.9mm; น้ำหนัก: 181g
  • มาตรฐานกันน้ำ (IP65/IP68)
  • 5G (sub-6GHz) / 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz / 5GHz) 2 x 2 MIMO, Bluetooth 5.1, GPS/ GLONASS, NFC, USB 3.1 Type-C
  • แบตเตอรี่ 4,000 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 21W USB-PD, ชาร์จไร้สายแบบ Qi

PERFORMANCE

ทางด้านประสิทธิภาพในรุ่นนี้จัดเต็มมาพร้อมกับ CPU Snapdragon 865 ตัวล่าสุดมาพร้อมกับ RAM 8GB และ ทำคะแนน Antutu ไปได้ที่ 547253 คะแนนครับ ส่วนเรื่องของหน่วยความจำเป็นแบบ UFS 3.0 อ่านเขียนได้ที่ 1557 MB/S และ 382 MB/s ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นเป็น DRM L1 ตามปกติของค่ายนี้ครับ รองรับดูหนังสูงสุดครับ NETFLIX HD และ Geekbench  นั้นทำคะแนนไปได้ 892 และ 3223 คะแนนครับถือว่าทำได้ดีในภาพรวมแม้อาจจะไม่ได้คะแนนเวอร์มากนักแต่ในด้านการใช้งานจริงระบบจัดการของ SONY ทำออกมาได้ลื่นไหลและเสถียรมากๆอีกค่าย และมีการอัปเดตที่ไวอันดับต้นๆของบรรดา Android เลยทีเดียวสำหรับค่ายนี้ครับ

SYSTEM UI 

ทางด้านระบบนั้นมาพร้อมกับ Android 10 ค่อนข้างเพียวมากๆตามสไตล์ SONY ครับ มีการเปลี่ยนแปลงแทรกเข้ามาแค่นั้นนิดหน่อยในส่วนของฟีเจอร์ต่างๆของค่ายครับ ตัวระบบลื่นไหลเอามากๆและสเถียรอีกทั้งยังอัปเดตได้ไวไม่แพ้ Google Pixel เลย ทางด้านตัวนาฬิกาก็มาคงสไตล์เดิมและมีเลขแจ้งเตือนมุมแอป จุดแจ้งเตือนอะไรมาให้ครับตัวการควบคุมนั้นมาแบบ Android 10 ใช้งานแบบ GESTURE เต็มรูปแบบมากขึ้นกว่าเดิมเลย

ทางด้าน Quick Setting นั้นจะมาพร้อมกับโทนเข้มสีฟ้า พร้อมกับไอคอนกลมๆรวมถึงการจัดการวางปุ่มอะไรได้ และสามารถปรับแสงด้านบนได้ ส่วนการแบ่งหน้าจอนั้นจะทำได้ดีเพราะหน้าจอยาวๆ ทำให้การแบ่งหน้าจอนั้นทำได้ดีและใช้งานได้เต็มที่มากขึ้นหน้าจอที่แบ่งรองรับหลายๆแอป และมีให้เลือกแอปคู่ได้เลยแบบสำเร็จครับง่ายๆเลยนั้นเอง

ตัวแป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google แน่นอนว่าใช้งานได้ดีและค่อนข้างเสถียร รวมถึงพิมพ์ได้ง่ายถนัดสำหรับตัวแอดมิน ส่วนเรื่องของ RAM นั้นจะมาพร้อมกับ 8 GB ใช้งานไป 3.9 GB และความจำเครื่อง 256 GB ใช้งานได้ 236GB

Gesture การควบคุมต่างๆนั้นก็ยังมีมาให้ค่อนข้างครบทั้งเรื่องของตัว SideSense ที่แตะขอบหน้าจอเครื่อง แต่รุ่นนี้ไม่ใช่จอโค้งแอบแตะยากมากๆไม่เหมือน XZ3 ส่วนเรื่องหน้าจอ Ambient ก็ยังมีมาให้และปรับแต่งได้นิดหน่อยครับ

การปรับหน้าจอ ที่รองรับเยอะมากๆคือภาพที่สำหรับการถ่ายหนังที่หน้าจอสีตรงมากๆ และการรองรับการปรับทำให้คุณภาพวีดีโอในการดูได้ดีขึ้นด้วยนั้นเอง ถือว่าเรื่องหน้าจอเป็นอีกตัวที่ทำได้ดีมากๆครับ และคุณภาพการปรับแต่งสีนั้นละเอียดมากเกินค่ายอื่นเยอะ และ จริงๆนอกเหนือจากภาพนั้น ทางด้านฟีเจอร์สั่นตามเสียง Dynamic Vibration นั้นยังคงมีอยู่และทำงานทั้งการดูหนัง ฟังเพลงในหลายๆแอปแต่เกมยังรองรับน้อย และเอาจริงๆก็ไม่ได้ใช้งานเท่าไร

SCREEN

หน้าจอของ SONY XPERIA 1  นั้นเป็นอีกครั้งที่พัฒนามาต่อเนื่องในด้านการรองรับ 4K อีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นหน้าจอแบบ OLED และมาในอัตราส่วนใหม่ด้วยนั้นเอง ส่วนเรื่องของคุณภาพนั้นก็รองรับ HDR10 และใช้หน้าจอ OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 21:9 ความละเอียด 1644×3840 พิกเซล พร้อมกับ เทคโนโลยีลด Motion Blur ความลื่นเทียบเท่าจอ 90Hz ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 และมีการพัฒนาชิพ BRAVIA X1 ที่เข้ามาช่วยนั้น รองรับการแสดงผลสีย่าน ITU-R BT.2020 และแสดงผลย่าน DCI-P3 ได้ครบถ้วนที่ 100%  ถือว่าเป็นหน้าจอที่ทำได้ดีมากๆ ทั้งเรื่องมิติของภาพ ความคมชัดและอัตราส่วนแบบใหม่นั้นทำให้เราดูหนังที่เป็นแบบ 21:9 ได้แบบเต็มตาครับทั้งใน Netflix -Youtube ทั้งหลายสามารถขยายซูมได้ และ สีที่ได้ต้องบอกว่าตรงและแม่นจริงๆ แต่เรื่องของความสว่างนั้นต้องบอกว่าแอบเสียดายที่ หน้าจอนั้นแม้จะเร่งแสงสุดแล้วแต่เมื่อใช้งานข้างนอกหรือแดดพวกนี้เมื่อเทียบกับจอตัวอื่นๆเรือธงด้วยกันนั้นจะด้อยกว่าแบบรู้สึกได้ เป็นอีกจุดที่น่าเสียดายในเรื่องนี้แต่เรื่องมิติของภาพ ความแม่นยำ รวมถึงความคมอันนี้ทำได้ดี เป็นหน้าจอที่ถือว่าสวยและดำคมชัดมากอันดับต้นๆเลย

แน่นอนว่ารุ่นนี้ยังคงใช้งานหน้าจอแบบ 4K OLED  ทำให้ภาพนั้นไม่เพี้ยนเลยครับ และสีสันอะไรยังคงทำได้ดี แน่นอนว่าหน้าจอตอนเปิดตัวนั้นก็มีการยืนยัน และเปรียบเทียบกับหน้าจอทั้งหน้าจอทีวี และรวมถึง Master Monitor ที่เป็นหน้าจอสำหรับถ่ายหนังก็ยังทำสีได้ตรงกันเป๊ะเป็นอีกจุดที่ทาง SONY นั้นพัฒนาร่วมกับของดีของค่ายอีกอย่างคือหน้าจอ นอกเหนือจากการพัฒนาร่วมกับทีมกล้องถือว่าเป็นการร่วมมือที่ควรจะมีการพัฒนามานานแล้วทำให้มือถือของค่ายตัวเองนั้นมีจุดเด่นหลายๆอย่างที่เป็นจุดแข็งอยู่แล้วในแบรนด์หลัก ทำให้มือถือนั้นมีคุณภาพที่ใช้งานได้ดีขึ้นเยอะมากๆ และการสู้แสงก็ถือว่าทำได้ดีระดับนึงครับตัวนี้ เป็นหน้าจอที่สวยและสมจริง ดูคอนเทนต์อะไรเทพที่สุดเลย

หน้าจอตัวนี้มาพร้อมกับการรองรับ Ambient Display เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าครับ สามารถปรับแต่งการออกแบบได้นิดหน่อยแต่ไม่ได้เยอะแยะมากครับ การมองเห็นในเวลากลางวันก็พอมองเห็นในที่ร่มในตัวอาคาร ภายนอกก็มองเห็นอยู่พอสมควรครับเป็นแบบขาวดำนั้นจะค่อนข้างเด่น ตัวหน้าจอสามารถตั้งได้ว่าให้ทำงานตอนช่วงกี่โมงหรือตลอดเวลาได้ และสามารถเปลี่ยนหน้าตา นาฬิกา และ สติกเกอร์ในส่วนข้างล่างของหน้าจอ อะไรได้

SOUND 

เสียงนั้นเป็นอีกจุดที่น่าเสียดายเพราะว่าเสียงนั้นไม่ได้มีการพัฒนาอะไรขึ้นเท่าไรในเรื่องของคุณภาพเสียง กำลังขับพวกนี้ เมื่อเทียบกับตัวก่อนหน้านั้นแทบจะเหมือนกันเลยนั้นเอง เมื่อฟังผ่านหูฟังครับ ส่วนฟีเจอร์เสียงก็มี Atmos เข้ามาช่วยขับได้ดีขึ้นหน่อยเปิดไว้ได้ครับเสียงดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นตัวช่วยแบบ Software มากกว่าถ้าอยากเสียงดีๆต้องซื้อตัวแปลงเทพๆเข้ามาช่วยในจุดนี้ครับ ส่วนเสียงนั้นจากที่เทียบกับหูฟังเดิมๆก่อนจากที่แถมกับตัวแปลงเสียงที่ได้ค่อนข้างธรรมดาทั้งเรื่องของเสียงกำลังขับต่างๆนั้นแบบเดียวกับรุ่นเดิมทั้ง XPERIA 1 ก่อนหน้า เลยแหละไม่ได้มีการพัฒนาขึ้นเท่าไร เสียงในย่านสูงมาแบบกลางๆไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนั้นและเบสก็มาแบบนิดเดียวครับ ทำให้เสียงในรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เทพขึ้นมากถ้าใครกำลังเล็งๆไว้ ถ้าไม่ได้มีตัวแปลงอะไรเข้ามาช่วยเสริมสำหรับรุ่นนี้นะครับ

ตัวหูฟังในรุ่นนี้นั้นมาพร้อมกับหูฟัง In-Ear ที่แถมมานั้นเป็นแบบหูฟังที่ 2 สายไม่เท่ากัน แบบ 3.5 มม. และ เป็นแบบธรรมดา InEar ปกติ สายค่อนข้างเล็ก และไม่มีอะไรเท่าไรครับปุ่มควบคุม 1 ปุ่ม และ สาย 2 ข้างยังยาวไม่เท่ากันอยู่ ไม่ค่อยเห็นหูฟังแบบนี้เท่าไรแล้วที่สายยาวไม่เท่ากันครับ เรื่องเสียงที่ได้จากตัวหูฟังก็ธรรมดาครับ เสียงกลางๆไม่ได้เด่นมากนักฟังเพลงได้แก้ขัด แต่ตัววัสดุอะไรค่อนข้างดูธรรมดาจริงๆรวมถึงตัวสายก็เล็กไปนิดหน่อย แต่ข้อดีคือใส่ได้เบาสบายใส่นานๆสบายอยู่ครับ ซึ่งถ้าให้มองภาพรวมเรื่องเสียงของค่ายนี้เหมือนจะไม่ได้เน้นมานานพอสมควร

SPEAKER 

ลำโพงในรุ่นนี้ถือว่ายังคงพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนๆได้เป็นอย่างดี และยังคงวางลำโพงแบบยิงเข้าด้านหน้ารวมถึงมีฟีเจอร์การสั่นตามเสียงเบสเข้ามาด้วยถือว่ารองรับได้ดีในการใช้งาน และการแยกซ้ายขวานั้นโดดเด่นพอสมควร ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ถ้าหากมาเทียบกับความดัง และ มิติเสียงความใสและแน่นของเสียงนั้นทาง SONY อาจจะไม่ได้เด่นเท่าไร ทำได้ไม่หนีจากรุ่นอื่นๆหรือคู่แข่งมากนัก แต่ถ้าเน้นเรื่องตำแหน่งเสียงบอกเลยว่า SONY ทำได้เด่นกว่าครับ และในการใช้งานจะไปบังได้ยากกว่า ส่วนเรื่องของเสียงความดัง ความใสนั้นยังไม่ค่อยเด่นเท่าไร

GPS

ในการทดสอบ GPS นั้นค่ายนี้ถือว่าทำได้ดีมาตลอดครับในรุ่นหลังๆคือการใช้งานนำทางในภาพจริงๆทั้งต่างจังหวัดและกทม ในช่วงนี้ที่สภาพอากาศค่อนข้างฝนตกพายุตลอดเวลาแต่นำทางนั้นทำได้ดีมากๆคือแม่นและอัปเดตไวรวมถึงไม่เจอรวนอะไรเลย ตัวเครื่องรับได้ดีจริงๆและจากการทดสอบแอปนั้นจับได้ 31 และ เจอทั้งหมด 48 ในสภาพกลางแจ้งปกติ และ ในที่ร่มนั้นเจอ 49 จับได้ทั้งหมด 17 ที่ใช้งานอยู่ครับถือว่าโอเคในเรื่องของการนำทาง เรียกได้ว่าทางค่ายนี้ในเรือธงไม่เคยเจอปัญหาในเรื่องของการใช้งานหรือการจับตำแหน่งเลยแม้แต่น้อยครับสำหรับรุ่นนี้

BATTERY

การใช้งานแบตเตอรี่นั้นมีการเพิ่มเติมเข้ามาให้แล้วจากที่รุ่นเดิมคนบ่นกันเยอะครับและในรุ่นนี้ให้มาที่ 4,000 mAh และการรองรับการชาร์จไวได้สูงสุด 21W มากขึ้นแต่น่าเสียดายว่าในกล่องไม่ได้แถมมาให้ครับ ส่วนอายุแบตนั้น จากที่ลองนั้นก็ต้องบอกว่าแบตมันโอเคกว่าที่คิด แต่ก็ยังไม่ได้อึดอะไรมากครับคืออยู่ในระดับกลางๆเลยก็ว่าได้ ที่ได้ลองใช้งานจริงจังทั้งวันนั้นแบตอยู่ได้ทั้งหมด 11 ชั่วโมง จอเปิด 4 ชั่วโมงครับ ใช้งานนำทางหน้าจอเปิดตลอดเป็นหลัก และถ่ายรูปพวกนี้ก็พอได้เกือบทั้งวันครับ ตัวเครื่องใช้งาน กลับมาช่วงเย็นเหลือ 21% และมีโหมด ประหยัด Stamina สามารถยืดอายุได้ในยามฉุกเฉินครับ แบตตัวนี้ดีกว่าที่คิดไว้ถ้ามองจำนวนแบตและหน้าจอ แต่รวมๆนั้นไม่ได้อึดอะไรมากครับ ถ้าหากมองเทียบกับรุ่น 1 แรกนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนักแต่จะเหลือแบตมากกว่า 10% นิดๆ

GAMING

สำหรับฟีเจอร์การเล่นเกมที่ใส่เข้ามานั้นก็สามารถเข้าได้ตอนเข้าเกมและสามารถปรับได้ว่าจะไม่ให้แจ้งเตือนรวมถึงการใช้งาน RAM ได้เต็มที่มากขึ้นรวมถึงการปิดการใช้งาน Sidesense  และการปรับแสงหน้าจออัตโนมัติด้วยก็มีมาให้ค่อนข้างครบเหมือนกับตัวอื่นๆในค่ายอื่นๆแล้วครับ ถือว่าเป็นข้อดีของสายเกมหลายๆคนที่น่าจะชอบฟีเจอร์พวกนี้ และหน้าตามีการปรับเปลี่ยนให้ใช้งานง่ายมากขึ้นรวมถึงเวลาโทรก็สามารถเป็น Pop Up ขึ้นมาแทนแล้วครับไม่บัง

CAMERA

กล้องหลัง 12MP (f/1.7) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/1.7″, Hybrid OIS/EIS, เลนส์กว้าง 135° 12MP (f/2.2), เลนส์เทเล 34° 12MP (f/2.4), Hybrid OIS/EIS ที่สามารถซูมได้ 2x และสามารถถ่ายวีดีโอ slow motion 2k ได้ที่ 120 fps , เซนเซอร์ 3D iToF แน่นอนว่ารุ่นนี้ยังคงให้มา 3 เลนส์ 3 ระยะแบบเดิมครับ รวมถึงฟีเจอร์โหดๆก็ยังคงยกมาทั้ง EYE AF และ โหมดถ่ายแบบเทพที่ใส่เข้ามาใหม่ ยกหน้าตาแบบกล้องใหญ่มากเลยทำให้ค่อนข้างน่าสนใจมากๆครับ แต่ถ้ามองสำหรับฟีเจอร์อื่นๆยังไม่ได้หนีมากนัก คงเป็นฟีเจอร์พื้นฐานทั้ง Portrait และ ยังมี NightScene เข้ามาสำหรับถ่ายกลางคืน แต่ก็ยังไม่ได้ไปถึงถ่ายกลางคืนสว่างๆแบบค่ายอื่นเท่าไรครับ ส่วนทางด้าน Eye Af นั้นจะใช้หลักการเดียวกับกล้องใหญ่คือมันจะอิงใบหน้าก่อนและไปจับตาครับ แม้อาจจะไม่ได้ไวโหดมากนักแต่ช่วยได้เยอะมากในการถ่ายคนและยิ่งในการถ่าย Portrait นั้นช่วยได้เยอะมากจริงๆเพราะทำให้คนเบลอได้ยาก ครับ ส่วนการถ่ายต่อเนื่องคนก็ยังคงชัดโฟกัสเข้าได้เป็นส่วนใหญ่เลยแหละ ส่วนเรื่องการถ่ายละลายหลังยังคงทำได้คล้ายๆเดิม และสามารถปรับจุดโฟกัสทีหลังได้ รวมถึงปรับระยะเบลอได้ทั้ง Foreground – Backgroud อันนี้ถือว่าดีครับ แต่คุณภาพภาพถ่ายรวมๆนั้นยังไม่ได้เด่นมากนักในหลายๆสภาพแสงยังคงเจอสีเพี้ยนได้ง่าย และย้อนแสงในหลายๆครั้งก็แอบแปลกๆและความหน่วงในการถ่ายนั้นมีแบบรู้สึกได้ ไม่สมกับเรือธงเท่าไรครับ แต่ถ้าใครที่ชอบความดิบๆ โทนแบบกล้องใหญ่นั้นรุ่นนี้ทำได้ดีพอสมควรเลยแหละในการถ่ายทั่วไปครับ

PORTRAIT

สำหรับโหมดโปรนั้นปรับได้เยอะมากๆในเรื่องของการถ่ายภาพเป็นหน้าตาแบบใหม่ทั้งหมดที่พัฒนามาร่วมกันทีมงานกล้องใหญ่เลยครับเป็นหน้าตาที่เราคุ้นเคยกันดีเลยแหละ และรองรับ EYE AF ทั้งคนและสัตว์เช่นเดิม เหล่าสาวกทาสแมวชอบแน่นอนครับรวมถึงการปรับแต่งต่างๆนั้นใช้งานได้ง่ายและอิสระมากขึ้นเยอะ ปรับได้ละเอียดมากตามภาพด้านบน แต่ข้อเสียอาจจะเป็นในการใช้งานโหมดนี้ต้องใช้ปุ่มชัตเตอร์เท่านั้น อาจจะกดลำบากมากๆในหลายๆครั้งครับ

SELFIE

กล้องหน้าทางค่ายนี้ก็ยังคงไม่ได้เด่นหรือเน้นมากนักและยิ่งสำหรับสาวๆอาจจะไม่ถูกใจเท่าไรทั้งเรื่องของ โทนสีของ สกินโทนที่แปลกๆอีกทั้งการจัดการแสงต่างๆโหมดต่างๆนั้นทำได้กลางๆและไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเยอะแยะครับ รวมถึงการจัดการละลายหลังก็แอบแปลกๆอยู่ และการถ่ายแสงน้อยนั้นทำได้ไม่ดีเท่าไรและสั่นไหวได้ง่ายครับถ้าพูดกันตรงๆเลยสำหรับตัวนี้ ซึ่งสเปกนั้นให้มาที่ กล้องหน้า 8MP (f/2.0) ที่ใช้เซนเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/ 4, ขนาดพิกเซล 1.12μm, และถ่ายภาพมุมกว้างได้ 84° ซึ่งเป็นตัวเดียวกับรุ่น 1 ก่อนหน้าและไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าไรแอบน่าเสียดาย และสำหรับใครสายเซลฟี่นั้นน่าจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรทั้งงานภาพนิ่งและวีดีโอในรุ่นนี้ครับ

VIDEO 

งานวีดีโอถ้าโหมดทั่วไปนั้นรองรับการถ่ายแค่ 4K 30FPS เท่านั้นแต่ถ้าใช้งานโหมดโปรจะรองรับ 4K 2K 59.94 FPS สูงสุด แต่เราขอมาพูดในเรื่องของคนใช้งานทั่วไปนั้นตัววีดีโอกลับทำได้กลางๆ ไม่สมกับเรือธงเท่าไรนักทั้งเรื่องของ การกันสั่น การโฟกัส หรือจะเป็นฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามานั้นไม่มี กันสั่นพิเศษ หรือจะเป็นโหมดการถ่ายละลายหลังต่างๆแบบที่ค่ายอื่นมี หรือจะเป็นการเปลี่ยนเลนส์ขณะถ่ายวีดีโอ รวมถึงการรองรับในเลนส์ต่างๆในความละเอียดอื่นๆนั้นถือว่าน้อยครับ อีกทั้งคุณภาพในหลายๆสภาพแสงต้องบอกว่าธรรมดาไปมากพอสมควร ทั้งกล้องหน้าและหลังยังไม่เด่นเท่าไร ถ้าถ่ายปกติ  แต่ที่เด่นๆคงจะเป็นไมค์ที่มีตัดเสียงลมเข้ามาให้ และ ดูดเสียงได้ดีมากๆรวมถึงโหมดโปร

ทางด้านโหมดวีดีโอเทพนั้นใส่เข้ามาให้สำหรับสายอาชีพได้เลยทั้งเรื่องของการถ่ายไฟล์แบบดิบสีเดิมๆที่เราจะเน้นไปทำสีต่อแบบที่หลายๆคนในสายถ่ายวีดีโอนั้นใช้งานกัน รวมถึงสามารถปรับ ชัตเตอร์ FPS อะไรได้ทั้งหมดแบบในการถ่ายหนังจริงๆรวมถึง ทั้งค่าได้ทั้งหมดว่าจะเป็นโทนสีแบบไหนก่อนถ่าย อีกทั้งยังมีการบอก ไมค์ ระดับเสียงรวมถึง แบต และ Codec ด้วย อีกทั้งจุดที่ชอบมากๆคือในการปรับโฟกัสแบบ ไร่ระยะอัตโนมัติ โดยในภาพที่ 2 นั้นเราจะเห็นว่ามีการเซ็ทจุด A-B ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจุดไหนเราจะเอาชัดตรงไหนครับ และกด มันจะทำการไล่โฟกัสจาก จุด A ไปยัง B แบบเนียนๆเหมือนกันมืออาชีพ บอกเลยว่าอันนี้ถือว่าน่าสนใจและใช้งานได้เนียนตามากๆ

SONY XPERIA 1 II

“การพัฒนาที่ลงตัว แก้ไขจุดด้อย แต่ Software บางจุดของกล้องยังต้องมีให้บ่น “

ทุกครั้งในการเปิดตัวและเห็นสเปกต่างๆของทาง SONY ในยุคหลังๆต้องบอกว่าขอชมในเรื่องของการจัดการสเปกที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบชัดเจนมากสำหรับค่ายนี้ เน้นในเรื่องของสเปกที่ฟังผู้ใช้งานมากขึ้น การพัฒนาอะไรหลายๆอย่างที่ชัดเจนและเป็นแนวทางของตัวเอง รวมถึงงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ที่ไม่หนีตามค่ายอื่นๆหรือตามกระแสมากนักจุดนี้เป็นจุดแข็งและยังคงไว้ได้ดีอย่างมาก รวมถึงหน้าตาระบบที่เน้นเรียบๆใช้งานทั่วไป ส่วนเรื่องกล้องก็พัฒนามากขึ้น แต่ในการรีวิวเราก็จะเจอปัญหาในหลายๆอย่างเกี่ยวกับ SW ของตัวกล้องอยู่ทุกครั้งและในรุ่นนี้ก็มีให้บ่นอีกแล้ว ทั้งเรื่องของการจัดการหน้าตาการใช้งาน การซูมแต่ละเลนส์ที่แยกกัน ไม่สามารถซูมต่อเนื่องได้ หรือจะเป็นการเจอปัญหาความร้อนสูงในการถ่ายนานๆบางครั้ง อีกทั้งการจัดการแสงโทนสี ละลายหลัง และรวมถึงกล้องหน้าที่ยังไม่ค่อยดีถ้าเทียบกับเรือธงค่ายอื่น แอบเสียดายเหมือนกันในจุดนี้ ส่วนในเรื่องของ โหมดเทพนั้นใส่เข้ามาให้ถือว่าโดดเด่นเกินหน้าตาค่ายอื่นชัดเจนอันนี้ถือว่าดีครับ รวมถึง ลำโพงวางตำแหน่งดี สเปกประสิทธิภาพแรงจัดเต็ม หน้าจอสวยและเทพอย่างมาก งานประกอบดี แต่ถ้าหากรับได้กับคุณภาพกล้อง หน้าหลัง และ การชาร์จที่ไม่ไวเท่าไรได้ รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่ สาวกหรือคนที่ชอบแบรนด์นี้ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้ในความรู้สึกที่ดีกว่าเดิมชัดเจน

ข้อดี

  • หน้าจอ 4K HDR OLED ทำได้สวย และ คุณภาพดีมากๆ เด่นเกินรุ่นอื่นชัดเจน
  • อัตราส่วน 21:9  ยังคงทำได้ดีและจับถนัด
  • UI อัปเดตได้ไวและใช้งานได้ไหลลื่น
  • รองรับการชาร์จไร้สาย
  • ลำโพงตำแหน่งกลับมาวางข้างหน้าทั้งหมด และ แยกซ้ายขวาชัดเจน
  • ดีไซน์สวยงามลงตัว วัสดุงานประกอบพรีเมี่ยมเช่นเดิม
  • เลนส์กล้องร่วมพัฒนากับทาง ZEISS ดีขึ้นแบบรู้สึกได้
  • Eye Tracking เทพขึ้น รองรับการถ่ายสัตว์ได้
  • โหมด PRO ทั้งภาพนิ่ง และ วีดีโอ คือจุดที่หาจากค่ายอื่นไม่ได้
  • ตัวกล้องหลัง คุณภาพโดยรวมนั้นดีขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
  • ประสิทธิภาพตัวเครื่อง เล่นเกม ใช้งานได้ไหลลื่น
  • รูหูฟังกลับมาแล้ว !!!

ข้อสังเกต

  • ซอฟต์แวร์กล้องนั้นยังคงไม่เด่นในการถ่ายทั่วไป
  • การใช้งานกล้อง UX UI การเปลี่ยนโหมด หรือ เลนส์ เข้าขั้นแย่
  • กล้องหน้าคุณภาพ การจัดการไม่ดีเท่าไรนัก
  • งานวีดีโอค่อนข้างกลางๆในโหมดทั่วไป และ ยังไม่มีละลายหลัง หรือ กันสั่นพิเศษอะไรมาให้
  • การชาร์จไวยังไม่สูงเท่าไร และ ในกล่องให้มา 18W
  • หน้าจออาจจะไม่สู้แสงนักในกลางแจ้ง
  • เชื่อมต่อ 5G คลื่น 700 MHz เท่านั้น

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares