Samsung Galaxy S20 นั้นเปิดตัวไปในไทยไม่นานครับมาพร้อมกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อยซึ่งก็เข้ามาในไทยทั้งหมดเลยครับคือ S20 / S20+/S20 Ultra 5G แน่นอนว่าก็มีจำนวนกล้อง ดีไซน์ ขนาดที่แตกต่างกันไปด้วยรวมถึงสเปคในหลายๆจุดคือตัวกล้องและความละเอียดครับ ในรุ่นของ 20/20+ นั้นจะคล้ายกันทั้งหมด แต่จะแตกต่างกันที่เลนส์ TOF นั้นเองกับหน้าจอและแบต ส่วนทางด้าน Ultra นั้นจะพิเศษกว่าทั้งกล้องหน้าหลัง และการรองรับ 5G รวมถึงดีไซน์และขนาดใหญ่หนักกว่าเช่นกัน ครั้งนี้เราจะมาอยู่กับ S20+ กันก่อนตัวกลางกำลังดี ทั้งขนาดและราคาครับ เด่นๆคือกล้องที่พัฒนาขึ้น และงานวีดีโอที่ดีมาก และลำโพง หน้าจอก็ใช้งาน 120Hz เทพๆเลยแหละครั้งนี้ หลังจากได้ลองใช้งานกันเต็มที่พกพาไปเที่ยวถือว่ากล้องตัวนี้ไม่แพ้รุ่นพี่เลยนะ ในด้านการใช้งานจริงๆถือว่าผ่านเลยแหละ

Samsung Galaxy S20+ นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว Quad HD+ (3200 × 1440 pixels), HDR10+, รีเฟรชเรท 120Hz และทางด้าน CPU นั้นแน่นอนว่าในไทยยังคงใช้งาน  ชิปเซต  Exynos 990 7nm EUV ที่มาพร้อมการ์ดจอ ARM Mali-G77MP11  และทำงานร่วมกันกับ  RAM LPDDR5 8GB รวมถึงความจุ storage (UFS 3.0) 128GB ทางด้านกล้องหลังจัดเต็มใช้งาน 4 ตัว 64MP Dual Pixel 12MP (f/1.8), OIS + เลนส์เทเล 64MP (f/2.0) , OIS, ซูมแบบ Hybrid Optic ได้ 3X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 30X + เลนส์กว้าง 120องศา 12MP (f/2.2) + เลนส์ตรวจจับความลึก Depth Vision ใน S20+ ซึ่งสามารถถ่ายวิดิโอได้ที่ความละเอียด 8K  และ ลำโพงยังคงเป็นลำโพงคู่ และดีกว่าเดิมด้วยนะครับ ทางด้านแบตให้มาที่ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จไว 25W ทั้งแบบมีสายและไร้สาย มาพร้อมฟีเจอร์ Wireless PowerShare และแน่นอนว่ากล้องหน้ายังคงเป็น Dual Pixel 10MP ที่ถ่ายได้กว้าง 80องศา, (f/2.2) แบบเดียวกับ Note 10+ นั้นเองครับ

SAMSUNG GALAXY S20PLUS ในส่วนทางด้านราคานั้นเปิดมา 1  รุ่นในตัว 20+ คือ RAM 8GB STORAGE 128 GB // 31,900 บาทครับรุ่นนี้ 

UNBOX

ตัวอุปกรณ์ในกล่องทางเรานั้นไม่ได้กล่องแบบขายจริงมานะครับ ซึ่งขายจริงจะมีเคส และ กล่องสวยๆมาให้แต่พวก สายชาร์จหูฟัง ทั้งหลายเป็นแบบเดียวกับในภาพข้างบนเลยนั้นเอง ที่ชาร์จนั้นให้ 25W มาในกล่องนะครับจะแตกต่างกับตัว Ultra นั้นเอง ส่วนทางด้านสายยังคงเป็น C-C อยู่นะครับ และหูฟังนั้นจะเป็นแบบ Type-C  ตัวเดียวกับ Note 10+ ก่อนหน้านี้เลยนั้นเอง ทั้งรูปทรงวัสดุ รวมถึงคุณภาพเสียงนั้นไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไรครับตรงนี้

DESIGN 

งานออกแบบของรุ่นนี้เปลี่ยนไปจากรุ่นเดิมๆแบบชัดเจนเลยคือรุ่นก่อนๆนั้นจะเน้นกล้องไว้ตรงกลาง แต่จะเป็นแนวนอนบ้างแนวตั้งบ้าง แต่พอมารุ่นนี้กลับใช้งานออกแบบ แบบเดียวกับ A71 A51 S10LITE พวกนี้ทั้งหมดเอาจริงๆไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะมันค่อนข้างธรรมดาไม่พรีเมี่ยม และไม่มีความโดดเด่นครับ แต่พอเครื่องจริงสีเทาก็พอสวยอยู่คล้ายๆสีเทาแบบ รถยนต์ Lambo ที่ฮิตกันในช่วงนี้แต่ก็ยังยืนยันว่า ฝาหลังควรมีการเล่นแสงอะไรให้มีมิติมากกว่านี้หน่อยครับ ไม่ค่อยพรีเมี่ยมเท่าไร ส่วนการวางกล้องไว้มุมซ้าย 4 ตัวครับ และหน้าจอไม่โค้งแล้ว รวมถึงน้ำหนักความเบากำลังดีเลยแหละ และยังคงใช้งานวัสดุกระจกทั้งหมด และกันน้ำเหมือนเดิมเลย ขอบเครื่องก็มีความเงาโครเมี่ยมทั้งหมดครับ

ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอแบบเจาะรูตรงกลางมาในชื่อใหม่ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว Quad HD+ (3200 × 1440 pixels), HDR10+, รีเฟรชเรท 120Hz  และ กระจก Gorilla 6 ขอบเครื่องบางมากขึ้นกว่าเดิมและจอไม่โค้งแล้ว !! โค้งแค่ 2.5D แบบ iPhone นั้นเองครับไม่กินไปข้างๆ

ทางด้านขอบบนหน้าจอนั้นจะเป็นที่ซ่อนของรูลำโพงทั้งหลาย เซนเซอร์แบบเนียนๆและ กล้องหน้าเจาะรู 10MP F2.2 ครับส่วนขอบรอบๆนั้นบางขึ้นจริง และจอไม่โค้งแบบตัว S10+ พวกนั้นแล้วครับสบายใจได้เลยแหละแต่ก็ยังไม่ได้เป็นแบบเรียบซะทีเดียวครับโค้งนิดๆ 2.5D ประมาณนั้นแต่เรื่องฟิล์มก็น่าจะยังมีปัญหาอยู่แน่นอนครับ

ขอบล่างอันนี้น่าสนใจใช้งานหน้าจอขอบบางมาก ใกล้เคียงกับด้านอื่นๆไปอีกครับ การใช้งานเต็มหน้าจอ หรือแบบปุ่มก็สามารถเลือกใช้งานได้เลย  อันนี้ขอชมเลยว่าทำขอบในภาพรวมได้บางขึ้นเรื่อยๆเลยสำหรับค่ายนี้ครับ

มาในส่วนของขอบล่างกันบ้างในตรงนี้จะเป็น รูไมค์ รู USB-C และลำโพงตัวหลักในด้านล่างครับพร้อมจะเห็นชัดเลยว่าหน้าจอไม่โค้งแบบรุ่นก่อนแล้วครับ แต่ก็มีนิดๆอยู่ ส่วนฝาหลังจะโค้งรับมือแบบชัดเจนเลยแหละ

ด้านข้างนี้จะเรียบๆไม่มีอะไรเลยครับแต่จะเห็นว่าฝาหลังและขอบเครื่องมันบางมากๆ และหน้าจอก็ไม่ได้โค้งเยอะมาก

ด้านบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมแบบ Hybrid Slot และสามารถเพิ่มความจุได้ รวมถึงมีรูไมค์ตัดเสียงตัวที่ 2ให้มา

ทางด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power+เพิ่ม ลดเสียงครับและแน่นอนว่าพวกปุ่ม  Bixby อะไรก็หายไปซะทีครับไม่มีแล้วทำให้ทั้งเครื่องมีแค่ 3 ปุ่มนี้เท่านั้น และอยู่ในตำแหน่งที่ดีแล้วไม่สูงไม่ต่ำเกินไปนั้นเองครับในจุดนี้

ฝาหลังนั้นเป็นสีเทาแบบธรรมดาๆเลย ไม่มีการเล่นเลเยอร์สีแสงอะไรทั้งนั้น ไม่มีสีรุ้งแบบรุ่น A71 A51 หรือลวดลายอะไรเลยมันคือความเรียบง่ายมากๆ จนบางทีมันเรียบไปหน่อยครับอาจจะเน้นความพรีเมี่ยมในแบบ Minimal ก็เป็นได้แต่ส่วนตัวอยากให้มันพรีเมี่ยม หรือแตกต่างกับรุ่นเล็กมากกว่านี้ในแง่ของการออกแบบกล้องครับ ส่วนฝาหลังโค้งลงทั้ง 4 มุมเลยจับถนัดและมีความบางกำลังดีครับ

กล้องหลังกันบ้างจะเห็นว่านอกจากกล้องแล้วยังมี มีรูไมค์สำหรับอัดเสียงตัดเสียงพิเศษเข้ามาด้วยครับ และในรุ่นนี้ยังคงมีฟีเจอร์ ซูมเสียง อยู่นะครับไม่ได้ตัดไปไหนแต่ตีบวกด้วย โหมดโปรในการถ่ายวีดีโอ การถ่าย HDR10+ การถ่ายแบบละลายหลัง และ 8K 24FPS  ก็แทรกเข้ามาในรุ่นนี้ด้วยถือว่าโหดมาก ส่วนภาพนิ่งนั้นสเปคกล้องหลักเป็น  Dual Pixel 12MP (f/1.8), OIS + เลนส์เทเล 64MP (f/2.0) , OIS, ซูมแบบ Hybrid Optic ได้ 3X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 30X + เลนส์กว้าง 120องศา 12MP (f/2.2) + เลนส์ตรวจจับความลึก Depth Vision ครับ ถือว่าจัดเต็มมากขึ้นและมีฟีเจอร์การถ่ายเข้ามาเยอะเช่นกันทั้ง Single Take และตัว Custom Filter

SPEC 

  • S20+ : หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว Quad HD+ (3200 × 1440 pixels), HDR10+, รีเฟรชเรท 120Hz
  • ชิปเซต Exynos 990 7nm EUV + GPU Mali-G77MP11
  • RAM LPDDR5 8GB + ROM 128GB (UFS 3.0 ) ใส่ microSD การ์ดเพิ่มได้ถึง 1TB
  • Android 10 ที่ครอบด้วย OneUI 2.0
  • กล้องหลัง Dual Pixel 12MP (f/1.8), OIS + เลนส์เทเล 64MP (f/2.0) , OIS, ซูมแบบ Hybrid Optic ได้ 3X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 30X + เลนส์กว้าง 120องศา 12MP (f/2.2) + เลนส์ตรวจจับความลึก Depth Vision ใน  ซึ่งรุ่นสามารถถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียด 8K
  • กล้องหน้า Dual Pixel 10MP ที่ถ่ายได้กว้าง 80องศา, (f/2.2)
  • กันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68
  • ลำโพง Stereo โดย AKG, Dolby Atmos
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic
  • ขนาดตัวเครื่อง 161.9 x 73.7 x 7.8mm; น้ำหนัก: 186g
  • แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จไว 25W ทั้งแบบมีสายและไร้สาย มาพร้อมฟีเจอร์ Wireless PowerShare

PERFORMANCE

ทางด้านประสิทธิภาพตัวเครื่องในรุ่นนี้ S20 Plus จัดเต็มมาเช่นเดิมในการใช้งาน Exynos ในตลาดไทยครับ โดยใช้งานตัว Exynos 990 7nm EUV + GPU Mali-G77MP11 พร้อมกับ RAM LPDDR5 8GB ทำคะแนนไปได้ 501696 คะแนนถือว่าแรงดีครับ และในส่วนของ UFS 3.0 ทำคะแนนได้ดีเช่นเดิมคือ 1472 และ 671 แน่นอนว่าความปลอดภัยรองรับ NETFLIX FHD เรียบร้อยสูงสุดครับ และ คะแนน GEEKBENCH นั้นทำไปได้ 556-2532

SYSTEM UI

หน้าตาเรือธงตัวนี้ยังคงใช้งาน ONE UI2 ตัวล่าสุดครับ  ที่มีการเปลี่ยนมาไม่นานครับ และพัฒนาแก้ไขจากรุ่น 1 มาเยอะขึ้นในแง่ของความเสถียรครับและหน้าตาบางอย่างเลยทำให้ หน้าตารวมๆสวยงามเลยนะ ในหน้าล็อคนั้นมีรูปลายนิ้วเราก็สามารถสแกนนิ้วได้เลยครับ ส่วนหน้าตา ไอคอน และ อุณหภูมิอะไรก็ไปอยู่มุมซ้ายสวยงามเลยครับ ส่วนหน้าตารวมๆก็เรียบสวยขึ้นนะอันนี้แอบชอบครับ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้และรู้สึกว่ามันมีความลื่นไหลมากกว่าเดิมแบบชัดเจนในการพัฒนารอบนี้

หน้าตาการแจ้งเตือน ตั้งค่าอะไรนั้นมาในโทนสีขาวฟ้าครับ ไอคอนอะไรปรับเปลี่ยนหน้าตาได้เรียบขึ้นและแตะได้ง่ายขึ้นครับ การแจ้งเตือนสามารถกดเคลียร์ได้ และเมื่อลากลงมานั้นก็เข้าการตั้งค่าได้ง่าย และ สามารถปรับแสงหน้าจอได้รวมถึงมีเวลาอะไรบอกอยู่ตรงกลาง ด้านบนครับ ส่วนการแบ่งหน้าจอนั้นสบายๆมีไปหลายหน้าจอตามใจชอบเลย

สำหรับเรื่อง RAM 8 GB  นั้นใช้ประมาณครึ่งๆ 4.7 GB ครับ ใช้งานได้สบายๆเหลือๆ  ส่วนตัวความจุนั้น เหลือ 110 โดยประมาณครับถ้าตัดแอป และ เพลง รูปภาพอะไรหมดเหลือแค่ระบบนะครับ ระบบจะประมาณ 18.4 GB   จริงๆความจุในภาพรวมนั้นต้องบอกกันตรงๆถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับเรือธง ที่ถ่าย 8K 4K ได้ครับ  คีย์บอร์ดนั้นเป็นภาษาไทย ของทาง Samsung เองหลายๆคนอาจจะชอบกันครับ

ในส่วนของ Gesture ก็มีให้มาตามภาพครับทั้งการแตะ 2 ครั้ง พักหน้าจอต่างๆ ฝ่ามือจับภาพหน้าจอเป็นต้น และปุ่มด้านข้างก็มาใส่ฟีเจอร์เสริมในการปลุก Bixby พวกนี้ครับ และแน่นอนว่ามีพวก Game Launcher – Dual app มาให้รวมถึง โหมดใช้งานง่ายและ Smartswitch

ในส่วนของจอภาพนั้นมีมาให้ปรับเปลี่ยนทั้ง โหมดมืด ปรับเปลี่ยนความลื่นไหล ฟิลเตอร์แสงฟ้า และ เปลี่ยนปุ่มนำทางได้ครับว่าจะใช้งานแบบไหน รวมถึงพวก Alwayson ก็สามารถปรับได้ และแน่นอนว่าในรุ่นนี้ยังคงมีไฟ Edge lighting มาให้แทนไฟแจ้งเตือนครับทั้ง ลูกเล่นการปรับแต่งเยอะมากๆเลยตามขอบหน้าจอเครื่องครับ

THEME

ธีมการออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนอะไรต่างๆได้ทั้งหมดครับพวกหน้าจอ แอปต่างๆ หน้าจอ AOD พวกนี้ครับ และตัวธีมนั้นมีทั้งแบบเสียตังค์ และ ไม่เสียตังค์สามารถเลือกได้ค่อนข้างเยอะทั้งแบบน่ารักๆต่าง หรือ เท่ๆก็มีครับ แต่การเปลี่ยนแปลงหลักๆนั้นก็อาจจะไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก ไม่ได้เปลี่ยนพวกหน้าแจ้งเตือน หรือ ตามแอปเท่าไรครับ

SCREEN

ทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอ แบบใหม่ในชื่อหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่ใช้ชื่อใหม่ต้อนรับหน้าจอแบบใหม่ในหน้าจอแบบเจาะรูวงกลมตรงกลาง ชื่อInfinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K หรือ Quad HD+ (3200 × 1440 pixels) 525ppi , รองรับ HDR10+และจุดเด่นคือในรุ่นนี้มาพร้อมกับ รีเฟรชเรท 120Hz  ในตัว FHD+ !! คือโหดมากจริงๆมันลื่นไหลและติดนิ้วอย่างมากในการใช้งาน และเวลาเลื่อนพวกแอป หรือ Facebook มันแตกต่างกว่าเดิมเยอะเลยครับแค่เลื่อนใช้งานก็แตกต่างกันแล้ว ในแง่ของคุณภาพหน้าจอนั้นไม่มีที่ติเช่นเดิม มิติแสงสีหน้าจอทำได้อิ่มสวยและสู้แสงได้เยอะมาก และเรื่องความแม่นยำสีนั้นได้ 100% ของ DCI-P3 และ รองรับความสว่างสูงสุด 1200Nits และ อัตราคอนทราสต์ที่ 2,000,000:1 ถือว่าเป็นจอที่สวยและดีมากๆตัวนึงของมือถือตอนนี้ครับ และค่าเริ่มต้นมันจะเป็น 60Hz 2K นะครับและสามารถปรับเป็น 120Hz FHD+ ได้ในการตั้งค่าหน้าจอ แต่จะใช้งาน 120Hz ได้ในความละเอียด FHD+เท่านั้นนะครับ

ในเรื่องของมุมมองในการใช้งานจริงนั้นตัวจอนี้อาจจะเป็นจอที่สวยที่สุดในตอนนี้ไปแล้วนำหน้า iPhone ก่อนหน้านี้ไปแน่นอนว่าของใหม่ย่อมดีกว่าครับ ตัวจอรองรับมุมมองค่อนข้างกว้างมากๆเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ไปแล้วแน่นอนว่าผลิตจอเป็นเจ้าหลักๆของโลกเลยครับ ตัวจอสู้แสงได้ดี ระบบสัมผัสทำได้ดีครับมุมมองสู้แดดได้และมองมุมเอียงๆในกลางแจ้งก็ยังเห็นอยู่พอสมควรเลยอีกทั้งสีสันไม่ได้ดรอปลงไปแม้จะเปลี่ยนมุมมองด้วยครับตัวนี้ ก็ยังคงยกให้เป็นหน้าจอที่สวย สู้แสงและสีสันมิติภาพทำได้ดีมากๆอีกตัวนึงในตอนนี้ครับและมีความลื่นไหลเข้ามาทำให้มันใช้งานได้ดีขึ้นกลับไปใช้งานจอ 60Hz ไม่ได้แล้วแน่นอนถ้าใช้งานตัว 120 บ่อยๆครับในตัว S20 Plus ตัวนี้ถือว่าดีมากๆเลย

FINGERPRINT 

ใช้งานระบบ Ultrasonic ต่อยอดจากรุ่น Note10+ และเป็นค่ายเดียวที่ใช้ระบบแบบนี้ครับแน่นอนว่าพัฒนาขึ้น ทั้งเรื่องของตำแหน่ง และ ระบบที่ดีกว่าเดิมแน่นอนว่าครั้งระบบนี้จะไม่มีแสงวาบๆเวลาใช้งานเหมือนในรุ่นอื่นๆ ซึ่งระบบนี้ที่ใช้งานนั้นข้อดีของมันคือสามารถสแกนนิ้วได้ไวมาก แตะแล้วมาเลย เปียกน้ำก็ใช้งานได้ ดีกว่าระบบอื่นๆ ในรุ่นนี้ก็ปรับปรุงได้ไวขึ้นมาก เซนเซอร์ขยับเข้าใกล้หน้าจอมากขึ้น และ วางตำแหน่งสูงขึ้นจากรุ่น S10+ เดิมทำให้ไม่ต้องเลื่อนมือลงไปต่ำแบบของเดิมแล้วครับและจากที่ลองนั้นทำได้ดีจริงๆสแกนนิ้วได้ไวมากๆและดีกว่าเรือธงหลายๆตัวที่ได้ทดลองมาครับถือว่าระบบนี้พัฒนามาได้ดีครับและไม่เจอหน่วงหรือมึนอะไรเลยแม้จะเป็น SW ตัวแรกๆของรุ่นนี้

ALWAYS ON DISPLAY

หน้าจอ Always On นั้นก็ยังมีมาให้และสามารถปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ ทั้งหน้าตาตัวนาฬิกา การเปลี่ยนสีต่างๆ การตั้งเวลาว่าโชว์ในช่วงไหนอะไรยังไง และสามารถเพิ่มรูปได้ของตัวเอง หรือจะเป็น GIF ก็ได้ด้วยเช่นในตัวอย่างก็ตั้งโลโก้ของเพจเราได้ครับผม รวมถึงปรับเวลาการโชว์อะไรพวกนี้ได้ทั้งหมดเลย

ลื่นไหล 120HZ 

หน้าจอในความลื่นไหล 120Hz นั้นจะมีผลในแง่ของการใช้งานเป็นหลักแน่นอนว่าหลายๆคนสงสัยว่าเกมมันยังรองรับไม่เยอะและจะมีประโยชน์จริงๆไหมแน่นอนครับว่าไม่ต้องเล่นเกมแต่ในการใช้งานจริงๆนั้นก็ต่างแล้วนะเอาง่ายๆแค่เลื่อนแอปไปมา เข้าแอปหรือจะเป็นการเลื่อนรูป เลื่อนฟีดข่าวต่างๆภาพมันจะเนียนตามากๆครับทำให้ในการใช้งานค่อนข้างรู้สึกดี และบางเกมก็จะรองรับ fps ที่สูงขึ้นด้วยทำให้ประสบการณ์มันดีขึ้นแต่ข้อสังเกตของมันคือจะลดความละเอียดมาที่ FHD เท่านั้นครับ อาจจะต้องยอมแลกกันไปเพราะถ้าใครเน้นความสวย ชัด ดูหนังอาจจะแนะนำให้ไป QHD 60Hz แทนเพราะหนังส่วนมากจะแค่ 24FPS เท่านั้นครับ ไม่จำเป็นจะต้องเปิด 120Hz และถ้าใครเน้นใช้งานทั่วไป เล่นเกม เปิด 120Hz อาจจะช่วยได้ดีกว่านั้นเองแต่เท่าที่ลองแบตนั้นลดไม่ได้ต่างกันมากนะ

SOUND

เสียงหูฟังให้แนวเสียงเดียวกันกับตัวแรก เบสมานิดหน่อย เสียงใสๆมิติมากลางๆ จะเด่นเรื่องเสียงร้องที่ชัด และ แอบแหลมไปนิดนึง แน่นอนว่าการตัดรูหูฟังออกไปนั้นก็ไม่ได้แถมตัวแปลงที่มีคุณภาพเสียงพิเศษอะไรมาให้และไม่ได้แถมมาให้ด้วยครับทำให้เรื่องเสียงมันไม่ได้เด่นเท่าไรและออกไปทางธรรมดาครับเมื่อเทียบกับเรือธงค่ายอื่นๆ แน่นอนว่าทาง Samsung เองก็ไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงมานานมากแล้วครับก็น่าเสียดายเหมือนกัน แต่ถ้าใครอยากได้คุณภาพเสียงดีขึ้นแน่นอนว่า ซื้อตัวแปลงของพวก iBasso – HTC พวกนี้ก็เสียงจะขึ้นแบบชัดเจน เลือกได้ตามงบที่มีเลยครับ

หูฟังแถมกันบ้างยังคงมาในการแปะแบรนด์ AKG อยู่ครับ ตัวหูแถมนั้น เป็น INEAR สีดำ ทรงเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด และมีปุ่มควบคุมมาให้ครับ รวมๆนั้นใส่สบายอยู่ครับ ค่อนข้างเบาและใส่นานๆได้ สายเป็นสายถักในช่วงต้นๆแต่ในส่วนแยกไป 2 ข้างนั้นเป็นสายยางปกติ ส่วนคุณภาพเสียงในแง่ของหูแถมมันก็ใช้ได้นะ เสียงแม้อาจจะไม่ใช่พวกหูแถมที่ดีสุด แต่ก็ใช้ได้ครับฟังเพลงได้พวกที่เน้นรายละเอียด เสียงจะแหลมๆ ใส เวทีกลางๆครับ เสียงร้องขัด แยกดนตรีได้นิดหน่อย และการเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C นั้นเสียงไม่ได้แตกต่างกับรุ่น Note10+ เท่าไรครับน่าจะไม่ได้มีตัว DAC เสริมอะไรพิเศษครับตัวนี้

SPEAKER 

ลำโพงมันทำได้ดีขึ้นแบบชัดเจนเลยนะดีกว่า Note 10 Plus ด้วยแหละเป็นจุดที่น่าสนใจเหมือนกันเพราะนอกจากกล้องแล้วรุ่นนี้ด้านลำโพงถือว่าพัฒนาขึ้นแต่น้อยคนนั้นจะทราบกันครับ ลำโพงเสียงดังมีมิติมากขึ้น และสะใจกว่าเดิมเช่นกัน เป็นบรรดาเรือธงที่ลำโพงดีที่สุดอีกตัว ล้ม Note 10 / 11 Pro ไปได้เลยแหละแต่ยังคงสู้ ROG Phone 2 ไม่ได้ตัวนั้นโหดที่สุดในบรรดามือถือทั้งหมดแล้ว เมื่อเราเทียบกับรุ่นพี่ 20 Ultra จะพบว่าตัว Plus นั้นเสียงดังแหลมกว่านิดหน่อยแต่ตัวพี่ Ultra นั้นเหมือนเสียงจะครบเครื่องมิติครบกว่าครับ แต่อย่างที่แจ้งไป มันดีกว่าเรือธงตัวอื่นทั้งหมดแล้วในตอนนี้ ครั้งนี้พัฒนามาได้ดีมากๆเลยและความดังใช้งานข้างนอกสะใจเลยแหละครับ S20 Plus

GPS

ในรุ่นนี้จริงๆที่ใช้งานมาถือว่าความนิ่งทำได้ดีมากๆ และก็ จากการทดสอบผ่านตัวแอปก็จับค่าได้เยอะและขึ้นเขียวกันทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการใช้งานกลางแจ้งและในร่มหรือใต้ทางด่วนก็ไม่ได้ดรอปลงอะไรเยอะครับ รวมถึงการใช้งานก็ไม่ได้เพี้ยนด้วยแม้จะเป็นการนำทางลงในอุโมงค์ หรือ ใต้ทางด่วน และจะเป็นการใช้งานนำทางในเส้นต่างจังหวัด ใช้ความเร็วสูงก็ไม่ได้เจอการหน่วงหรืออัปเดตช้าอะไรครับ ถือว่าระบบการนำทางนั้นใช้งานไว้ใจได้และไม่ต้องห่วงเลยแหละครับสำหรับใครที่เน้นการใช้งานนำทาง GPS ทั้งผ่าน Maps ต่างๆไม่มีปัญหาเหมือนกันครับ จับได้ทั้งหมด 36 จาก 47 ในกลางแจ้ง และ จับได้ทั้งหมด 12 จาก 34 ในการใช้งานที่ร่ม ใต้อุโมงค์

BATTERY

ทางด้านการใช้งานทดสอบแบตนั้นแน่นอนว่าทำได้ดีครับในแง่ของการชาร์จเข้าเพราะรองรับสูงสุด 45W และสามารถใช้งานไร้สายได้สูงสุด 20W เลยครับ ส่วนในด้านตัวแถมที่ให้มานั้นจะรองรับแค่25W แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดี และต่อยอดจาก Note10+ ส่วนตัวแบตรุ่นนี้ให้มาที่ 4,500 mAh และในการใช้งานรองรับทั้งวันได้อยู่แต่มันกลับไม่ได้อึดมากเท่าไรครับ แต่ทั้งวันได้แบบพอดีๆ จากที่ได้ลองใช้งานเปิดหน้าจอความละเอียดสูงสุดนั้นรองรับใช้งาน 10 ชั่วโมง และหน้าจอเปิดทั้งหมด 2-3 ชั่วโมง ใช้งานเล่นเกม ประมาณ 1 ชั่วโมง และถ่ายรูป ฟังเพลงเป็นต้นครับถือว่ารองรับถึงช่วงเลิกงานได้เหลือ 30% คร่าวๆและกลับบ้านหรือประมาณ 2 ทุ่มก็จะใกล้ๆหมด

GAMING 

รุ่นนี้เรื่องของการเล่นเกมโดยรวมก็ถือว่าเล่นได้ลื่นไหลเลยทีเดียว เเต่เรื่องของความร้อนรุ่นนี้อาจจะร้อนไวพอสมควรครับเท่าที่ทดสอบความร้อนขึ้นไปสูงถึง 43 องศา เเละเรื่องของหน้าจอ 120Hz ในรุ่นนี้ถ้าเราปรับสุดจะเป็นเพียงเเค่ความละเอียด FHD เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องเเบตเตอรี่หลังจากได้ทดสอบ 1 ชั่วโมงจะกินเเบตอยู่ราวๆประมาณ 14%

CAMERA

มาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลัง Dual Pixel 12MP (f/1.8), OIS + เลนส์เทเล 64MP (f/2.0) , OIS, ซูมแบบ Hybrid Optic ได้ 3X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 30X + เลนส์กว้าง 120องศา 12MP (f/2.2) + เลนส์ตรวจจับความลึก Depth Vision ใน S20+ ซึ่งรุ่นสามารถถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียด 8K เป็นการพัฒนาอีกขึ้นในแง่ของการถ่ายรูป วีดีโอจริงๆ รองรับฟีเจอร์เยอะมาก ทั้งวีดีโอแบบ โปรโหมดต่างๆ หรือจะเป็นการถ่ายครั้งเดียวได้ทุกโหมดแบบนั้น Single Take นั้นเองอันนี้ฉลาดเลยแหละ ถ่ายทีเดียวได้ทั้ง วีดีโอ ภาพนิ่ง หรือจะเป็น ครอปภาพให้เลยครับ ส่วนภาพถ่ายก็ถือว่าดีนะ เน้นความเรียบง่ายกดถ่ายได้ง่ายขึ้น มุมกว้าง HDR ลงตัวกว่าเดิมครับ

ส่วนรูปถ่ายไฟล์เต็มทั้งหมด สามารถตามไปดูได้ที่ลิงค์นี้ได้เลยนะครับ
— >>> GOOGLE PHOTO

SINGLE TAKE

จะเป็นฟีเจอร์ที่เรากดถ่ายทีเดียวได้ทั้ง วีดีโอ ภาพนิ่ง หรือจะเป็น ครอปภาพให้เลยครับ หรือถ้ามีคนจะครอปและละลายหลังให้เลยถือว่าฉลาด และถ้าเป็นภาพวิวก็จะเก็บมุมกว้างสุดมาให้ด้วย AI เก่งเลยแหละ

LIVE FOCUS 

1X-3X-10X-30X

CUSTOM FILTER เจอโทนภาพไหนชอบ ก็อปได้เลย !! 

เป็นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างโกงเหมือนกันครับว่าชอบโทนภาพของใครก็แค่เซฟรูปเค้ามา และ เอามาดึงโทนภาพจากนั้นก็จะสามารถใช้งานได้เลย ในชื่อ Custom Filter ครับแต่จะใช้ได้แค่ตอนถ่ายนะ ถ่ายเสร็จแล้วค่อยมาใส่โทนไม่ได้ครับ หลักการง่ายๆคือ 1.ไปเซฟภาพที่เราชอบ โทนที่ชอบมา 2.เข้าแอปกล้อง เลือกตรงมุมขวาบน และเข้าไปที่ฟิลเตอร์ส่วนตัว 3.กด + 4.เลือกรูปที่เราจะทำการ ก็อปโทนภาพ 5.จากนั้นก็กดบันทึก และพร้อมใช้งานถ่ายได้เลย ง่ายมาก

ส่วนรูปถ่ายไฟล์เต็มทั้งหมด สามารถตามไปดูได้ที่ลิงก์นี้ได้เลยนะครับ
— >>> GOOGLE PHOTO

SELFIES

กล้องหน้าก็มีความละเอียด 10MP F2.2 รองรับ Autofocus ตัวเดียวกับ Note10 + ครับบกมาเลยนั้นเอง แน่นอนว่ายังมีรูรับแสงแคบเพราะว่าจะทำให้ขนาดเล็กลง แต่ก็ทดแทนมาด้วยโหมดกลางคืนในกล้องหน้าครับทำให้ถ่ายแสงน้อยได้ดีกว่าเดิมไปอีกนั้นเอง  ส่วนการถ่ายวีดีโอรองรับการถ่ายกล้องหน้าที่ 4K เช่นเดิมและรวมถึง Live Focus ด้วยครับก็มีฟีเจอร์เข้ามาค่อนข้างเยอะ ส่วนภาพนิ่งนั้นก็ต้องบอกว่ามีโหมดกลางคืนเข้ามาช่วยแต่ก็เสียดายเรื่องรูรับแสงเล็กน้อยครับในกลางคืนอาจจะไม่ดีเท่า S20 Ultra เท่าไรนะ รวมถึงพวกความคมรายละเอียดพวกนี้ แต่การตัดขอบอะไรต่างๆนั้นทำได้ดีในการใช้งานละลายหลังต่างๆรวมถึงยังมีโฟกัสมาให้ไม่ได้ตัดทิ้งไปไหนครับผม

VIDEO 

ในแง่ของงานวีดีโอนั้นต้องบอกเลยว่าค่ายนี้พัฒนาเน้นๆอย่างมากและเอาใจสายวีดีโอมาเรื่อยๆเลย และในครั้งนี้ก็พลิกวงการอีกครั้งกับการถ่ายแบบ 8K 24FPS ครับ เป็นความละเอียดแบบที่จัดเต็มและเหมือนกับถ่ายหนังเลยและได้ 24FPS อีกด้วยครับแต่ถ้าถามว่าเหมาะกับการใช้ถ่ายทั่วไปไหมต้องบอกว่ายังไม่เหมาะครับด้วยขนาดไฟล์การกันสั่น รวมถึง เอามาแต่งตัดต่อยากแต่ในอนาคตไม่แน่ครับ ส่วนตัว 4K ก็รองรับ 60FPS 30FPS เช่นกันการกันสั่นทำงานได้ดีขึ้น ภาพเนียนสวยขึ้นเยอะและระบบเสียงอัดอะไรทำได้ดีมีการซูมเสียงอะไรเหมือนเดิมครับ และแน่นอนว่าที่ชอบมากๆคือถ่ายแล้วกดสลับกล้องได้เลยไม่ต้องถ่ายใหม่ กล้องหน้าหลัง มุมกว้างไกล เปลี่ยนได้ขณะถ่ายวีดีโอเลยเจ๋งมากครับ และงานวีดีโอแบบโหมดโปร สามารถใช้งานได้และเป็นครั้งแรกของค่ายนี้ครับตามภาพด้านบนเลย

8K SNAP ถ่ายขณะถ่ายวีดีโอ 

ในรุ่นนี้รองรับการถ่ายวีดีโอ 8K ครับแน่นอนว่าเราสามารถกดถ่ายรูปได้ในขณะถ่ายวีดีโอ แล้วภาพที่ได้นั้นมีความคมชัดและเหมือนถ่ายภาพนิ่งปกติเลยนั้นเองต้องยกความดีให้กับ 8K เลยทำให้เวลาถ่ายออกมานั้นมีความคมชัดสูงครับแม้จะเป็นการกดถ่ายตอนถ่ายวีดีโอก็ตามนะ ส่วนในแง่ของความไวก็ทำได้ดีครับกดถ่ายแล้วไม่หน่วงอะไรเลยนะตัวนี้

SAMSUNG GALAXY S20+

” เรือธงล่าสุด ตัวกลาง ขนาดกำลังดีบางเบา สเปค กล้องเด่น งานวีดีโอเทพขึ้น  ! “

เป็นเรือธงของปีนี้ที่เน้นเจาะจงในแง่ของกล้องหลังมากๆทั้งด้านภาพนิ่งและวีดีโอครับมาจัดเต็มจริงๆสำหรับ Samsung ในรอบนี้  แน่นอนว่าจากที่ได้ลองก็ไม่ผิดหวังเท่าไรเลยครับทั้งการถ่ายที่ทำได้ดี งานภาพนิ่งนั้นมิติอะไรสวย และถ่ายได้ไวพอสมควรอีกทั้งมีฟีเจอร์ โหมดอะไรเข้ามาเยอะขึ้น รวมถึง งานวีดีโอที่ต้องบอกว่าดีมากๆของค่ายนี้ครับ รองรับ 8K แล้วและการถ่ายปกติ 4k อะไรก็พัฒนานิ่งขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนในตัวภาพนิ่งแสงกวางวันยังมีแปลกๆอยู่เวลาเจอ Highlight เยอะๆครับยังจัดการได้ไม่ดีอาจจะต้องรออัปเดตกันอีกที ส่วนกล้องหน้ายังคงเป็นตัวเดิมกับ Note10+ ครับไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ที่ชอบคือการถ่ายวีดีโอและสลับกล้องหน้าหลังได้เลยขณะถ่ายครับ ในด้านของการใช้งานอื่นๆ ลำโพงนั้นทำได้ประทับใจ ดังและมิติดีมากๆ อีกทั้งหน้าจอก็พัฒนาขึ้นลื่นไหลกว่าเดิมและขอบบาง ส่วนการเล่นเกมก็ได้ทำได้ดีขึ้นแต่อาจจะไม่เหมาะมากนักสำหรับสายเกมเล่นหนักๆเท่าไร และในตัวดีไซน์ก็ปรับเปลี่ยนพอสมควรเรียบมากขึ้น วางกล้องแบบที่เราคุ้นเคยกันครับ แต่เรื่องความจุอาจจะขอบ่นนิดๆว่าน้อยไป

ข้อดี

  • หน้าจอสวย ขอบจอบาง และมีความลื่นไหลที่ดีกว่าเดิม
  • กล้องหลังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น รองรับมุมกว้างที่ดีกว่าเดิมและรวมถึงระยะซูม
  • ประสิทธิภาพใช้งานได้ดีกับ Exynos ตัวใหม่
  • ลำโพงเสียงดังและดีที่สุดในบรรดามือถือทั้งหมดในตอนนี้ รองรับ Dolby Atmos
  • ฟีเจอร์ในการถ่ายวีดีโอ และ ภาพนิ่งใส่เข้ามาเยอะขึ้น
  • การถ่ายวีดีโอ ดีขึ้น นิ่งขึ้น และ รองรับ 8K 24FPS
  • งานประกอบตัวเครื่องดูดี บางและเบาจับถนัดมือ

ข้อสังเกต 

  • หน่วยความจำมีมาให้ 128GB
  • กล้องหน้าเป็นตัวเดียวกับ Note10+
  • ฝาหลังเป็นสีพื้นๆไม่มีลวดลาย มิติเล่นกับแสงเท่าไร
  • แบตยังไม่อึดมากนัก

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares