Redmi Note 9s ก็ได้เปิดตัวในไทยกันไปเรียบร้อยครับแต่ในครั้งนี้เราจะมาพรีวิวแกะกล่องกันในรุ่นพิเศษคือรุ่น MFF นั้นเองมันคือรุ่นพิเศษ สำหรับ Mifans ทำออกมาทั่วโลกแค่ 2,020 เครื่อง เท่านั้นและจะมีจุดแตกต่างกันเล็กๆน้อยครับในส่วนของฝาหลังนั้นจะมีเขียนว่า MFF 2020 และมีรูปทรงสัญลักษณ์เจ้ากระต่ายประจำค่ายของ Xiaomi MFF Limited Edition ซึ่งเปิดขายในช่วง Mi Fan Festival 2020 (MFF 2020) ที่ผ่านมานั้นเอง  แน่นอนว่ามันเป็นความ Limited เด่นในเรื่องของสเปคอะไรแน่นอนว่าเหมือนกับรุ่นที่ขายไปก่อนหน้านี้ทุกอย่างครับทั้ง กล้องหน้าหลัง สีตัวเครื่องอะไรพวกนี้รวมถึงทางด้านสเปค CPU ด้วยเช่นกันมีแค่ลวดลายเท่านั้นตรงโลโก้ ที่จะพอมองออกว่าเป็นจุดแตกต่างกันสำหรับเข้า MFF Limited Edition ในรอบนี้ครับแน่นอนว่าสาวก Mifan ต้องไม่พลาดกันแน่นอนสำหรับรุ่นนี้ ส่วนเรื่องการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงกล้อง วีดีโอ การเล่นเกม มาอ่านกันได้เลย

ทางด้านสเปค Note9S นั้นมาพร้อมกับ Qualcomm® Snapdragon™ 720G ซึ่งประกอบไปด้วย octa-core CPU ให้ความเร็วสูงสุดถึง 2.3GHz และ GPU Adreno™ 618 และเทคโนโลยีการประมวลผล 8 นาโนเมตร พร้อมกับ RAM 6 GB STORAGE 128GB แบบ UFS ด้วยนะ ส่วนในเรื่องของหน้าจอนั้นมาพร้อมกับหน้าจอ  6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ 20:9 พร้อมกับเป็นหน้าจอแบบเจาะรูครับ ไม่ใช่ติ่งหยดน้ำแล้วนะ พิกเซล (2400 x 1080 พิกเซล) รองรับการแสดงผล 91% และใช้งานหน้าจอกระจกแบบ Corning Gorilla Glass 5 ส่วนทางด้านกล้องหน้าให้มาที่ 16MP พร้อมกับกล้องหลังให้มา 48MP  f/1.79 +  Ultra-Wide 119 องศา ความละเอียด 8MP f/2.2 +  Macro 5MP ระยะโฟกัส 2 ซม. + Depth 2MP ครับ ส่วนทางด้านแบตนั้นให้มา ความจุ 5,020 mAh รองรับ Fast Charge 18W ครับ แต่ที่ชาร์จในกล่องให้มา 22W เผื่ออนาคตไว้ให้เลยครับ

Redmi Note 9S รุ่น MFF Limited Edition ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 2020 เครื่องทั่วโลกเท่านั้น โดยจำหน่ายใน ราคา 7,999 บาท  ครับ สี INTERSTELLAR GRAY นะครับมีแค่สีเดียว และมีโลโก้ MFF 2020

UNBOX

  • ตัวเครื่อง XIAOMI REDMI NOTE 9S MFF 2020
  • เคสใสดำ TPU
  • หัวชาร์จ 22W
  • สาย USB-C
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • ตัวกล่องมีมุมซ้ายบนเขียนว่ารุ่นพิเศษ

ตัวเคสนั้นทำออกมาได้กระชับและมีความหนาเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่ครั้งนี้เหมือนจะทำวัสดุออกมาได้ดีกว่าเดิมนิดนึงครับตัวเคสเป็นสีเทาๆเข้มๆเล็กน้อยใส่แล้วฝาหลังสะท้อนน้อยลงไปแบบชัดเจน ตัวขอบกินเข้ามาบนหน้าจอและมีความหนาสูงเท่ากันกับหน้าจออาจจะไม่ปกป้องเท่าไร ทำให้เวลาวางหรืออะไรนั้นไม่ได้ปกป้องเท่าที่ควรทั้งหน้าและหลัง ส่วนวัสดุหนากำลังดี และมี จุกปิดพอร์ตมาให้ครับสำหรับช่องชาร์จ USB-C ถือว่าปกป้องได้ระดับนึงครับ แต่ตัวป้องกันหน้าจอและเลนส์กล้องนั้นจะไม่มีขอบพิเศษมาให้ครับคือจะปกป้องหน้าจอ หรือ เลนส์กล้องไม่ได้เลยนั้นเอง

DESIGN 

งานออกแบบในรุ่นนี้ต้องบอกว่าไม่ได้แตกต่างกับตัวปกติเท่าไร รวมถึงตัวเคสอะไรน่าจะมีความแตกต่างกันบ้างครับ แต่อีกอย่างก็พอเข้าใจได้คือราคามันแทบจะไม่ได้มีการ + เพิ่มจากปกติเลยทำให้มันไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากนักในเรื่องของอุปกรณ์เสริม จะมีแค่โลโก้ตรงกลางเครื่องเท่านั้นเอง ทั้งสีสเปคทุกอย่างเหมือนกับ NOTE9S ปกติทั้งหมดเลยครับรวมถึงสเปค RAM ROM และราคาด้วย งานประกอบวัสดุตามราคาครับ ฝาหลังสวยงามเล่นกับแสงได้ดี สะท้อนแสงเล่นสีอะไรสวยเลยแหละ สีเทาแต่ก็มีผสมฟ้านิดหน่อย พร้อมกับ รองรับการรับน้ำกระเด็นได้ มีขอบยางตรงถาดซิมมาให้ด้วยอันนี้คือข้อดีเลยแหละ ส่วนกระจกใช้ Gorilla Glass 5 ด้วยในส่วนของด้านหน้าตัวเครื่องครับ

ทางด้านหน้าจอ นั้นมาพร้อมกับ 6.67 นิ้ว. ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 20:9  พร้อมกับสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91% ถือว่าเยอะขึ้นและใช้งานหน้าจอแบบเจาะรูตรงกลางครับ ส่วนหน้าจอนั้นใช้กระจก GORILLA GLASS 5 พร้อมความสว่างสูงสุด 450 Nits รองรับ HDR 10 รวมถึง NTSC 84% ครับ

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีความหนามากกว่าส่วนอื่นๆนิดหน่อยครับ ส่วนทางด้านการควบคุมนั้นสามารถใช้งานทั้งแบบเต็มจอ และ แบบปุ่มในภาพได้ครับ จะเห็นว่าตัวหน้าจอนั้นจะมีฟิล์มติดมาให้อยู่เป็นพลาสติกปกติครับ

ขอบเครื่องด้านบน ทำได้ค่อนข้างบางมาก พร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรู พร้อมกล้องหน้า 16MP และ แทรกลำโพงอยู่ตามขอบ รวมถึง จะเห็นสถานะไฟแจ้งเตือนแทรกอยู่ ไฟ LED ขาวครับ และ ตรงเซนเซอร์อะไรก็แทรกไว้ทั้งหมดเลย

ขอบเครื่องทางด้านขวานั้นจะเป็น ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และมาพร้อมกับ ปุ่ม POWER พร้อมการรองรับสแกนนิ้วไปในตัวครับ ปุ่มนั้นจะสามารถกดลงไปได้เป็นปุ่มปกติ และสแกนนิ้วได้แบบสัมผัสครับ ตัวเครื่องทำออกมาได้บางกำลังดีเลย

ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของ ไมค์ตัดเสียง และ IR สำหรับการควบคุมอุปกรณ์ทั้งหลายครับ ยังคงมีมาให้นะ แต่ที่เห็นชัดนั้นจะเป็นเรื่องของกล้องหลังที่ค่อนข้างนูนพอสมควรเลยเมื่อเรามองจากด้านบนแบบนี้ครับ

ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมแบบ Triple Slot พร้อมกับรองรับการเพิ่ม Micro-SD แน่นอนว่าถาดซิมนั้นมียางซีลกันน้ำมาให้ด้วยสำหรับการป้องกันน้ำกระเด็นพวกนี้แต่แน่นอนว่าไม่รองรับ IP Rating นะครับ

วัสดุขอบเครื่องเป็นสีแบบด้านครับดูดีสวยงามพอสมควรเลย พร้อมกับลำโพงหลัก และรูไมค์ รวมถึง มี USB-C และ รู 3.5 มม. ยังคงมีมาให้ไม่ได้ตัดออกไปไหนครับสำหรับรุ่นนี้ ฝาหลังโค้ง 3D ลงมาสวยงามและรับมือได้กำลังดี

ฝาหลังนั้นเป็นสีเทาแบบเดียวกับรุ่นปกติครับ เล่นกับเงาแสงสีอะไรสวยงามมากมาพร้อมกับกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมแปลกตาดี และ โลโก้วางไว้ตรงกลางพร้อมกับ โลโก้ พิเศษ MFF 2020 เป็นจุดเดียวที่จะพอมองออกเลยก็ว่าได้ว่าเป็นรุ่นพิเศษครับ จริงๆถ้าทำสีพิเศษมาให้หน่อยจะดู LIMITED มากกว่านี้ไปอีก ฝาหลังใช้กระจก นะครับ และออกแบบลงสีอะไรมากว่า 20 ขั้นตอน ทับไปด้วย Corning Gorilla Glass 5 แบบเดียวกับด้านหน้าเลยโหดมาก

ทางด้านกล้องหลังมาในการออกแบบแบบสี่เหลี่ยมพร้อมกับ ไฟแฟลช และ มีการเล่นสีดำให้ดูใหญ่ขึ้นในส่วนของกล้องพร้อมกับ 4 ตัววางทำมุมสี่เหลี่ยมกัน มีกรอบล้อมรอบส่วนบน จริงๆถือว่าแปลกใหม่และแตกต่างดีครับเพราะบางยี่ห้อก็ยังคงอิงดีไซน์เดิมไม่ได้เปลี่ยนอะไรอาจจะเบื่อได้ง่าย แต่ของ redmi เองนั้นทำได้น่าสนใจเลยแหละ กล้องหลังมาพร้อมกับ 48MP  f/1.79 +  Ultra-Wide 119 องศา 8MP f/2.2 +  Macro 5MP ระยะโฟกัส 2 ซม. + Depth 2MP ครับ

SPEC

  • Android 10 + MIUI 11
  • หน้าจอเจาะรู ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ HDR10 ใช้งาน Gorilla Glass 5
  • ฝาหลังกระจก Gorilla Glass 5 3D
  • CPU Snapdragon 720G 8nm
  • RAM (LPDDR4x) 6GB
  • STORAGE UFS 2.1 128GB รองรับ MicroSD card
  • กล้องหลัง 48MP  f/1.79 +  Ultra-Wide 119 องศา 8MP f/2.2 +  Macro 5MP ระยะโฟกัส 2 ซม. + Depth 2MP
  • กล้องหน้า 16MP f/2.5
  • ใช้งาน USB-C พร้อมรองรับ IR Blaster
  • แบตเตอรี่ 5,020 mAh รองรับชาร์จไว 18W (แถมในกล่อง 22W )
  • สีเทา Interstellar Grey แค่สีเดียวเท่านั้นในรุ่น MFF

PERFORMANCE 

ทางด้านประสิทธิภาพนั้นต้องบอกว่าน่าสนใจเพราะตัวนี้นั้นใช้งาน Snapdragon 720G 8nm พร้อมกับ RAM 6GB ทำงานได้ค่อนข้างดีเลยแหละ และหน่วยความจำนั้นเป็นแบบ UFS อ่านได้ 507 ถือว่าอยู่ในเรทที่ดี และได้คะแนน Antutu ไปที่ 279293 คะแนนครับถือว่าแรงเอาเรื่องแรงกว่ารุ่นก่อนพอสมควรด้วยนะ แรงกว่า Mi9T ด้วย ในเรื่องความแรงนั้น Snapdragon จริงๆทำได้ดีมาตลอดนะ Geekbench ทำไปได้ 562 /1643  ส่วนในเรื่องใช้งานจริงไม่มีปัญหา แต่มีในส่วนของ NETFLIX DRM L3 ได้แค่ SD เท่านั้นนะครับ

SYSTEM UI 

หน้าตาระบบใช้ MIUI 11 ที่คุ้นเคยกันดีพร้อมกับ Android 10 ตัวล่าสุด หน้าตานั้นคุ้นเคยกันอย่างดี หน้าตาแอปยังคงมาในแนวแบนๆ เรียบๆครับ แอปติดเครื่องเยอะตามแบบของ Xiaomi และ มีโฆษณาแฝงตามแอปมาให้เหมือนเดิม ต้องไปไล่ปิด ข้อเสนอแนะเอาแต่ละแอปครับ ส่วนเรื่องของการแจ้งเตือนทำได้ดี มีเลขมุมแอปมาให่และรองรับภาษาไทยปกติครับสำหรับเครื่องศูนย์ของ Xiaomi ถือว่าแจ้งเตือนดีอยู่เหมือนกันครับ

หน้าตาตัวการตั้งค่าอะไรก็ สามารถปรับแสงหน้าจออะไรได้ ตั้งค่าแบบด่วนต่างๆ รวมถึงถ้าลากลงมาสามารถปัดหน้าไปซ้ายขวา ได้ และ แบ่งหน้าจอ เคลียร์แอปอะไรได้ปกติครับผม ใช้งาน 2 หน้าจอพร้อมกันได้เลยเลือกแอปเอาเลย

หน่วยความจำ 128GB  พื้นที่ระบบกินไป 8-9GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 120 GB ครับ ส่วน RAM 6 GB ตัวนี้ใช่งานไป 2.2 ครับ เหลือใช้งานได้ 3.8 GB เหลือๆสบายๆ ส่วนแป้นพิมพ์ของเดิม Google มาใช้งานกันละกัน พิมพ์ไทยได้สบายครับ เป็นคีย์บอร์ดที่บอกในทุกรีวิวว่าค่ายไหนติดมาให้แบบนี้จะชอบมากๆเลยแหละ

Gesture ต่างๆเยอะแยะมากๆสามารถเลือกใช้งานได้ตามภาพเลยครับ และ  ความปลอดภัยรองรับ สแกนใบหน้า สแกนนิ้วต่างๆ และ สามารถ กดปุ่มเพิ่มเสียงเพื่อเปิดหน้าจอได้ รวมถึง กดลดเสียง 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้องแบบด่วนๆได้ครับ ใช้งานเต็มหน้าจอ สลับปุ่มควบคุมได้ ใช้งานแบบปัดไปมาเต็มหน้าจอได้  ไฟสถานะตัวนี้ยังคงมีอยู่นะแต่ฉลาดมากๆว่าไปซ่อนตรงกล้องขอบด้านบนครับเป็นไฟสีฟ้าทำให้ยังพอรู้ว่าเสียบชาร์จหรือแจ้งเตือนอะไรใหม่ๆเข้ามาดีกว่าตัดออกไป และสามารถเปิดปิดติ่งได้ครับเป็นการถมดำแถบข้างบน รุ่นนี้ยังคงมีมาให้ปรับใช้งาน

หน้าจอสามารถใช้งาน ปรับแสง เปลี่ยนโหมดเป็นธีมสีดำได้ และ แตะหน้าจอเพื่อเปิดหน้าจอได้ ยกขึ้นเพื่อจอติดได้ และ มี GameBooster มาให้สามารถปรับแต่งเพื่อเล่นเกมได้เยอะขึ้นครับ และในส่วน การใช้งาน ล็อคแอป โคลนแอป พวกนี้สามารถใช้งานได้ปกติครับ

THEME

ธีมหน้าตาการใช้งานเป็นอีก จุดเด่นของค่ายนี้ครับคือมันปรับแต่งได้เยอะมากๆและเปลี่ยนหลายหน้าต่างเลยไม่ใช่แอปเปลี่ยนพื้นหลัง หรือ เปลี่ยนแค่ไอคอน แต่มันเปลี่ยนไปถึงแอปอื่นๆของทางเครื่องด้วย รวมถึงหน้าตาโทนสีของหน้าแจ้งเตือน หน้าตั้งค่าอะไรทั้งหลาย เวลาใช้งานโทรเข้าออกก็เปลี่ยนตามด้วยครับเป็นจุดที่หลายๆค่ายนั้นเริ่มหายไปเพราะปรับเปลี่ยนได้น้อยลงเรื่อยๆเลย สำหรับใครชอบเปลี่ยนธีม MIUI ยังคงตอบสนองจุดนี้ได้ดีมากๆเลยแหละ

SCREEN 

ทางด้านหน้าจอนั้นในรุ่นนี้มาพร้อมกับการออกแบบหน้าจอแบบเจาะรู มาในขนาด 6.67 นิ้ว. ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 20:9 พร้อมกับสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 91% ถือว่าเยอะขึ้นและใช้งานหน้าจอแบบเจาะรูตรงกลางครับ ใช้กระจก GORILLA GLASS 5 พร้อมความสว่างสูงสุด 450 Nits รองรับ HDR 10 รวมถึง NTSC 84% ครับ ส่วนทางด้าน CONTRAST 1500:1 แน่นอนว่าเรื่องหน้าจอนั้นการแสดงผลอะไรทำได้สวยและสู้แสงกำลังดีอาจจะไม่ได้โหดมากนักแต่ก็พอใช้ได้ครับ หน้าจอสวยมีมิติ ใช้กระจกดี ขอบบางสวยงามแต่ในเรื่องของการสัมผัสนั้นแอบรู้สึกว่ามันยังไม่ลงตัวเท่าไรมีหน่วงบ้างครับในการสัมผัสความติดนิ้วอะไรนั้นยังไม่ค่อยดีมากนัก

SOUND 

เสียงเพลงตัวนี้มาพร้อมรูหูฟัง 3.5 มม. แน่นอนว่าเสียงตัวนี้เรื่องของการฟังเพลงอาจจะไม่ได้เด่นมากเท่าไรนัก หูฟังที่แถมไม่มีมาให้แอดมินจึงใช้หูประจำในการทดสอบ Ibasso it01 ครับมาใช้งานและแน่นอนว่าตัว นี้นั้นเสียงออกมาธรรมดาเลยแหละ เป็นปกติของ Mi พวกนี้เสียงพอๆกับเลยคือไม่ค่อยมีแรงขับมากนักและเสียงจะออกแบนๆ ไปทางแหลมนิดหน่อยครับ แน่นอนว่าเรื่องเสียงไม่ใช่จุดเด่นเท่าไรเน้นฟังเสียงเกมส์มากกว่า ส่วนเรื่องของการปรับแต่งเสียงก็ยกมาจาก MIUI ทั้งหมดครับ แน่นอนว่าปิดไว้เสียงเป็นธรรมชาติและดีสุดเหมือนเดิม และทดลองฟังผ่าน Bluetooth นั้นก็เสียงใช้งานได้ดีเชื่อมต่อได้ง่ายและนิ่ง แต่ก็ยังไม่ได้มีความแตกต่างพิเศษอะไรครับทั้งเสียงและกำลังขับต่างๆ เหมือนกับรุ่นอื่นๆในเรทราคาเดียวกันครับในการใช้งานผ่านไร้สาย และไม่มีตัวช่วยแต่งเสียงอะไร

SPEAKER 

ในส่วนของลำโพงรุ่นนี้เป็นลำโพงเดี่ยวนะครับแน่นอนว่าในเรทราคาประมาณนี้จะเป็นลำโพงเดี่ยวกันทั้งหมดเลยส่วนใหญ่แน่นอนว่าค่ายนี้ยังไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงเท่าไรนักเมื่อเอามาเทียบกับรุ่นอื่นอย่างเช่นในคลิปครับเลยทำให้ลำโพงของรุ่นนี้จะดังแต่จะไม่สู้รุ่นอื่นๆในเรื่องของมิติเสียง หรือ คุณภาพ จะเห็นได้ชัดเมื่อเอามาเทียบกับ 6 ในคลิปจะได้ยินเลยว่าจะดังกว่าและแน่นกว่า ถ้าใครเน้นลำโพงมากๆในงบไม่เยอะตัวนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์แต่ถือว่าดีกว่ารุ่น 8 ก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกันครับสำหรับ redmi note 9s เมื่อเทียบกับ 8 Pro ก่อนหน้านี้นั้นเอง

GPS

ในการนำทางนั้นค่ายนี้ก็ถือว่าพัฒนาได้ดีขึ้นเรื่อยๆถ้านับในแบรนด์ Redmi หลังจากที่ใช้แอปทดสอบนะครับอย่างแรกในการนำทางจริงๆนั้นก็ไม่เจอปัญหาอะไรเท่าไรนัก แต่จะมีบางจังหวะที่ลงอุโมงค์ หรือ ที่ทึบๆทำให้ต้องหาสัญญาณกันใหม่และอาจจะมึนๆไปบ้างในช่วงเปิดแรกๆครับ แต่ถ้าจับติดแล้วก็ติดอยู่สบายไม่หายไม่นิ่งครับ ส่วนในการจับสัญญาณ ภาพกลางเป็นการทดสอบในที่ใต้ทางด่วนจับได้ 11 จาก 50 และ ที่กลางแจ้งจับได้ 21 จาก 54 ในที่กลางแจ้งบนถนนปกติครับ ซึ่งก็ถือว่าจำนวนในการจับได้และเจอนั้นไม่แตกต่างกับรุ่นอื่นๆในเรทนี้ถือว่าทำได้ดี

BATTERY 

ทางด้านแบตในรุ่นนี้มาพร้อมกับความจุ แบตเตอรี่ 5,020 mAh รองรับชาร์จไว 18W ถือว่าความจุแน่นๆจัดเต็มอย่างมากครับและให้ชาร์จไวมาด้วย แต่ที่แถมในกล่องนี่ไวล้ำหน้าไปอีกที่ 22W ครับแต่เครื่องรองรับแค่ 18 นะแอบใจปล้ำไปหน่อยในส่วนนี้ ในแง่ของการใช้งานด้วยสเปคอะไรในส่วนของ CPU จริงๆคิดว่าคงไม่ได้อึดอะไรมากคงพอดีๆทั้งวันแต่เท่าที่ลองนั้นบอกเลยว่าโหดมากจริงๆครับใช้งานหนักหน่วงมากๆในการทำงาน เล่นเกม ฟังเพลงทั้งหมดใช้งาน 11 ชั่วโมง หน้าจอเปิด 8 ชั่วโมง แบตเหลือ 46% เท่านั้นคือมันอึดมากๆครับในการใช้งานจริงแอบแปลกใจเลยแหละถ้าใครเน้นในการใช้งานตัวนี้ทั้งวันแบบสบายไม่ต้องพกที่ชาร์จไปอะไรเลยจัดการเรื่องพลังงานได้ดีกว่าที่คิด

GAMING

เรื่องของการเล่นเกมรุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจครับเเละเล่นได้ลื่นมากๆ รุ่นนี้การเล่นเกมคนที่เน้นลื่นไหลไม่มีปัญหาอะไรเลยปรับภาพสุดทุกเกมเท่าที่ลอง FPS ดีมาก เเต่ขอติอย่างนึงคือเรื่องของการทัชอาจจะยังไม่เเม่นยำเท่าไร มีอาการหนืดมือพอสมควร ส่วนเรื่องของความร้อนถือว่าจัดการได้ดีเมื่อเทียบกับ redmi note 8 หรือ 8 Pro เท่าที่ทดสอบร้อนสูงสุดเพียง 43 องศา ส่วนเรื่องของเเบตเตอรี่เท่าที่ทดสอบต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง เเบตลดไปราวๆ 12%

CAMERA 

กล้องหลังในรุ่นนี้ให้มา 4 ตัวแน่นอนว่ารองรับทั้ง มุมกว้าง โหมดกลางคืน และ โหมดโปรครับ กล้องหลังให้มาสูงสุด 48MP พร้อมกับรูรับแสง f1.79 ในตัวหลักเรื่องของคุณภาพนั้นไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนๆเท่าไร ส่วนเรื่องของมุมกว้างให้มาด้วยในตัวที่ 2  Ultra-Wide 119 องศา 8MP f/2.2  และแน่นอนว่าในยุคนี้หลายๆคนให้ Macro 5MP สามารถถ่ายได้ที่ระยะโฟกัส 2 ซม. และ เลนส์ตัวสุดท้ายเป็นจับระยะ สำหรับทำหน้าชัดหลังเบลอ Depth 2MP ในภาพรวมนั้นถือว่าถ่ายได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าใครเน้นเรื่องของกล้องหนักๆอาจจะไม่ได้เหมาะมากนักครับสำหรับรุ่นนี้ แต่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นในเรื่องของกล้องจากรุ่นเดิมแต่อาจจะไม่ได้เยอะมากนัก เราไปลองดูตัวอย่างภาพถ่ายกันเลยครับ

PORTRAIT 

SELFIES

ทางด้านกล้องหน้าในรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องหน้า แบบเจาะรูแล้วครับตรงกลางมาพร้อมกับความละเอียด  16 ล้านพิกเซลมาพร้อมกับรูรับแสง f/2.5 เอาจริงๆถือว่าแคบพอสมควรครับสำหรับกล้องหน้าทำให้เวลากลางคืนมันอาจจะไม่ได้เด่นมากนักในกล้องหน้าตัวนี้ ซึ่งมีผลในการถ่ายวีดีโอด้วยเวลากลางคืนเลยจะติดมืดพอสมควร แต่ถ้ากลางวันเท่าที่ลองนั้นสบายๆครับ รูรับแสงแคบทำให้เก็บระยะชัดลึกได้ดีหน้าคนคมชัดได้ง่ายไม่เรื่องมาก รวมถึงโทนสีอะไรสวยงามและแม่นพอสมควรครับ มีละลายหลังมาพร้อมใช้งานและมุมมองของภาพกว้างพอสมควรเลยแหละ ความคมชัดทำได้ดี ระยะเบลอเนียนตาถือว่าเป็นกล้องหน้าที่พัฒนาขึ้นพอสมควรหลังจากค่ายนี้กล้องหน้ารุ่นก่อนๆไม่เด่นเท่าไรแต่ครั้งนี้บอกเลยว่าทำได้ดีขึ้นแน่นอนแหละ สาวๆก็ชอบได้เหมือนกันไม่หลอกตาและไม่สมจริงมากเกินไปครับ

VIDEO 

งานวีดีโอในรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีรองรับการถ่ายสูงสุด 4K 30FPS ถือว่าในภาพรวมนั้นทำได้ดีในแง่ของสีสันคุณภาพของงานวีดีโอแน่นอนว่าในเรื่องของกันสั่นต่างๆนั้นทำได้กลางๆในหลายๆความละเอียดและในรุ่นนี้ไม่ได้มีกันสั่นพิเศษอะไรมาให้เมื่อเทียบกับเพื่อนตัวอื่นๆครับแน่นอนว่างานวีดีโออาจจะไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากทั้งกล้องหน้าและหลังเลย แต่ถ้ามองในเรื่องของคุณภาพในการถ่ายก็ถือว่า สีสันมิติของภาพนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว ส่วนในกล้องหน้านั้นค่อนข้างมือในเวลากลางคึนถ้าใครที่เน้นในเรื่องของการถ่ายกล้องหน้านั้นอาจจะยังไม่แนะนำครับแต่ถ้าไม่เน้นก็ถือว่าพอใช้ได้เลยแต่อีกจุดคือเรื่องของการตัดเสียงรอบข้างนั้นยังทำได้ไม่ดีเท่าไรแม้จะเงียบแต่เสียงแวดล้อมนั้นเข้ามาเยอะพอควร

REDMI NOTE9S MFF EDITION 

” ตัวคุ้มอีกตัวจาก Redmi ดีไซน์สวย แบตอีด คุ้มค่ากับราคาที่สุดในตอนนี้ “

ถ้ามองราคาเทียบกับสเปคนั้นบอกเลยว่ามันคุ้มสุดในบรรดามือถือเรทนี้ครับแต่ถ้าเน้นในเรื่องหน้าจอ หรือ ชาร์จไวตัวนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์มากนักในบางทีแน่นอนว่ามีหลายตัวที่อาจจะให้หน้าจออะไรดีกว่าแต่ความคุ้มค่าต่อราคานั้น Redmi ทำได้ดีสุดแน่นอนครับในงบนี้ได้ทั้ง Snap720G พร้อมทั้งกล้อง 4 ตัว หน้าจอเจาะรูรวมถึงแบตที่จัดเต็มถือว่ามันเป็นสเปคที่ใช้งานทั่วไปสบายๆหรือจะเป็นสายเกมก็พอไหวครับแน่นอนว่าตัวนี้ตอบโจทย์น่าจะทั้งหมดเลย ส่วนเรื่องกล้องหน้าอาจจะยังไม่ได้เด่นมากนักในเรื่องของสภาพแสงกลางคืน แต่ถ้ากลางวันนั้นถือว่าทำได้ดีเลยครับส่วนกล้องหลังนั้นพัฒนาขึ้นในทั้งกลางวันกลางคืนถือว่าโอเคเลยแหละ แต่จะติดแค่กล้องหน้าเพราะรูรับแสงแคบเท่านั้น ส่วนในเรื่องของเป็นตัว Limited แอบเสียดายนิดนึงว่าจุดเด่นๆมันน้อยไปนิดหน่อยในแง่ของความพิเศษ

ข้อดี

  • ดีไซน์สวยและแตกต่างกับรุ่นก่อน วัสดุฝาหลังทำได้ดีเล่นกับแสงสวย
  • หน้าจอสวยและเจาะรูตรงกลาง ดีไซน์พัฒนาขึ้น
  • มาพร้อม Snapdragon 720G ในราคาคุ้มๆ
  • ราคาทำได้ดีมาก ไม่เกิน 8 พันบาท แม้จะเป็นรุ่นพิเศษ
  • แบตใช้งานได้อึดมาก ทั้งวันได้แบบสบายกลับมาเหลือ 40%
  • กล้องหน้า หลัง ทำได้ดีพอสมควรในเวลากลางวัน
  • โหมดกลางคืนทำได้สวย

ข้อสังเกต 

  • MFF Limited Edition จุดแตกต่างกับรุ่นปกติน้อยเกินไปมาก
  • กล้องหน้า แสงน้อยทำได้ไม่ดีนัก
  • หน้าจอการสัมผัสแอบหน่วงกว่าที่คิด
  • หน้าจอยังเป็น 60Hz
  • ชาร์จไวแค่ 18W

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares