ทางค่าย realme เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่มาแล้วคือตัว 9 Pro และ 9 Pro+ โดยทั้งสองรุ่นนั้นเป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับชิปประมวลผลระดับกลาง ให้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่มาให้ใช้งานแบบจุใจ และรองรับชาร์จเร็วด้วย รวมทั้งที่น่าสนใจสุดๆคือค่ายให้เซนเซอร์กล้อง 50MP ระดับเรือธงที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานแบบจุกๆ มาพร้อมกับการดีไซน์ที่ล้ำสมัย ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาบาง หน้าจอใหญ่จุใจพร้อมขอบจอที่บางเฉียบ ทำให้เราสามารถใช้งานได้อย่างเต็มตา ด้วยเทคโนโลยีฝาหลังเปลี่ยนสีได้จากแสงอาทิตย์และสามารถเปลี่ยนเป็นสีปกติได้ภายในไม่กี่วินาที  การใช้งานนั้นลื่นไหลสุดๆ โดยรวมแล้วสเปกก็ต้องบอกว่ายังคงทำได้ดีทั้ง 2 รุ่น มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในแต่ละรุ่น วันนี้เราจะมารีวิวสมาร์ตโฟนในรุ่น realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยและตอบโจทย์ในทุกการใช้งานของค่าย realme

PRICE

realme 9 Pro เปิดตัวมาในราคา 8,999 บาท (6GB+128GB) / ราคา9,999 บาท (8GB+28GB) และ realme 9 Pro+ เปิดตัวมาในราคา 12,999 บาท (8GB+256GB)

realme 9 Pro +

ในส่วนของรุ่นนี้นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz และความถี่การตอบสนอง 360Hz ภายในตัวเครื่องใช้ชิปประมวลผล Dimensity 920 ที่รองรับเครือข่าย 5G ส่วนซอฟต์แวร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ครอบด้วย realme UI 3.0 ที่ทางบริษัทสัญญาว่าจะอัปเดตซอฟต์แวร์ Android เป็นเวลา 2 ปี มาพร้อม RAM 8GB ที่มี RAM เสมือนอีก 5GB นอกจากนั้นระบบระบายความร้อนมาพร้อม Vapor Chamber จำนวน 5 ชั้น ที่มี heat sink ขนาดใหญ่ถึง 13,029 ตร.มม. สามารถลดอุณหภูมิได้สูงสุด 10 องศาเซลเซียส ส่วนระบบเสียงตัวเครื่องมีลำโพง stereo และช่องเสียบหูฟัง 3.5มม. มาให้เราได้ใช้งานด้วยนะ

และในส่วนของกล้องหลังของ 9 Pro+ ประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ที่รองรับ OIS แบบเดียวกับในสมาร์ตโฟนเรือธงอย่าง Oppo Find X3 Pro + กล้องมุมกว้าง 119 องศา 8MP + กล้องมาโคร 2MP ทางบริษัทเพิ่มฟีเจอร์ ProLight Imaging และฟีเจอร์ AI Noise Reduction Engine 3.0 ที่เพิ่มคุณภาพของรูปถ่ายในสภาพแสงน้อย นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ถ่ายภาพ low exposure, Peak & Zoom และฟิลเตอร์ 90’s Pop ตัวเครื่องในสีฟ้า (Sunrise Blue) สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม โดยเมื่อสัมผัสแสงแดดหรือแสง ultraviolet ตัวเครื่องจะเปลี่ยนเป็นสีแดงภายในเวลา 3 วินาที ส่วนเมื่อนำออกจากแสงแล้วสีแดงจะจางกลับไปเป็นสีฟ้าในเวลา 2-5 นาที แบตเตอรี่มีความจุ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว SuperDart Charge 60W สามารถชาร์จแบตได้ 50% ในเวลา 15 นาที

UNBOX

  • ตัวเครื่อง realme 9 Pro+
  • เคสใส
  • สายชาร์จ USB Type-C + Adapter SuperDart Charge 60W
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม

DESIGN

งานออกแบบในรุ่นนี้ก็ยังคงออกแบบดีไซน์มาในลักษณะคล้ายๆรุ่นก่อนๆอยู่ แต่ดูทันสมัยมากขึ้น ดูเรียบๆแต่ฟาดเรียบกับทุกสายตาที่มองเลย ตัวฝาหลังมีความวิ้งวับ ประกายๆ เล่นกับแสงไฟหรือแสงอาทิตย์ได้ดีเลยแหละ มีการเล่นสีสันเป็นลูกเล่นเพิ่มขึ้นมาให้ดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น ขึ้นมือสุดๆขณะที่ถือ ที่สำคัญฝาหลังในรุ่นนี้สามารถเปลี่ยนสีเมื่อโดนแสงด้วยนะเป็นฟีเจอร์  Light shift Design ที่ใช้กับสี Sunrise Blue การดีไซน์นั้นจะมาพร้อมกับกระบวนการเคลือบ 3 ชั้น ช่วยให้สีสันประกายเจิดจ้า ทำให้มีความโดดเด่น อีกทั้งในรุ่นนี้ยังมีความบางที่สุดใน Number Series การวางตำแหน่งกล้องด้านหลังก็จะยังคงอยู่ในมุมซ้ายบนของด้านหลัง วางเรียงกันทั้ง 3 เลนส์อย่างเป็นระเบียบพร้อมไฟแฟลช ตำแหน่งของกล้องก็ยังคงคล้ายรุ่นเดิมๆเช่นเคย รวมๆแล้วดูดีขึ้นมากๆ ไฮโซขึ้นเยอะเลย และที่สำคัญน้ำหนักและขนาดตัวเครื่องมีความบางเบามากๆ น้ำหนักรวมๆอยู่ที่ 182 กรัมเท่านั้น สีมีมาให้เลือกถึง 3 สีเลย ได้แก่ Aorora Green, Sunrise Blue, Midnight Black ซึ่งแต่ละสีก็มีความสวยโดดเด่นที่ไม่แพ้กันเลย เห็นแล้วตกหลุมรักทันที

หน้าจอรุ่นนี้จะเป็น AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (2400×1080พิกเซล) Full HD+ มีรีเฟรชเรทอยู่ที่ 90Hz ความสว่างสูงสุด 1,000 nits ใช้กระจก Gorilla Glass 5 สังเกตจะเห็นว่าขอบหน้าจอนั้นจะบางมากๆ จะมีเพียงขอบด้านล่างเท่านั้นที่จะหนากว่าด้านอื่นๆ แต่ก็มากกว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้น และบริเวณด้านบนทางซ้ายจะเป็นบริเวณของรูกล้องที่มีมาให้

ต้องยอมรับเลยว่าขอบหน้าจอมีความบางมากจริงๆ ทำให้เราสามารถใช้งานได้อย่างเต็มตา ทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่เลย ในส่วนของขอบด้านหลังที่หนากว่าด้านอื่นๆก็ไม่ส่งผลอะไรต่อการใช้งาน ส่วนขอบด้านบนนั้นถึงจะมีความบางเฉียบแต่ยังคงเจาะรูกล้องมาให้ใช้งานเช่นเดิม

ขอบเครื่องด้านบนจะเป็นในส่วนของไมค์ตัดเสียงที่มีมาให้ และจะเห็นได้ว่าเมื่อมองจากด้านบน มุมของขอบเครื่องจะมีความโค้งมนแต่ยังคงความเหลี่ยมไว้อยู่ ดูดีมากๆ

ขอบเครื่องด้านล่างจะเป็นในส่วนของลำโพงตัวหลัก ถัดไปก็คือพอร์ตชาร์จที่เป็นแบบ USB Type-C ส่วนต่อไปก็คือไมค์ที่มีมาให้ รวมไปถึงรูสุดท้ายจะเป็นหูฟังที่เป็นรู 3.5 มม. มาให้ใช้งาน

ขอบจอด้านซ้ายจะเห็นได้ว่าตัวเครื่องมีความบางมากจริงๆ น้ำหนักเบาสุดๆ ด้านบนจะเป็นถาดใส่ซิม และถัดลงมาจะเป็นปุ่มสั่งงานเพิ่ม-ลดเสียง ที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

ขอบจอด้านขวาจะไม่ค่อยมีปุ่มสั่งงานใดๆมาให้เลย จะมีเพียงปุ่ม Power ที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือมาให้เท่านั้น โดยรอบๆบริเวณขอบเครื่อง ค่อนข้างเกลี้ยงดูสะอาดตามากๆ

และในส่วนของฝาหลังของตัวเครื่องนี้ทำให้เรามูฟออนไปไหนไม่ได้จริงๆ มีความสวยงาม ประกายวิบวับเล่นกับไฟให้ชวนหลงไหลมากๆ ด้วยความสามารถพิเศษที่เป็นฟีเจอร์ Light shift Design ที่ใช้กับสี Sunrise Blue ทำให้ฝาหลังมีปฎิกิริยาเปลี่ยนสีเมื่อเจอกับแสงอาทิตย์หรือแสงธรรมชาติ ฝาหลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเจอไฟภายใน 3 วินาที และจะกลับมาเป็นปกติในเวลา 2-5 วินาที วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ก็แข็งแรงทนทาน การดีไซน์ต่างๆลงตัว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของกล้องหรือจะเป็นในส่วนของชื่อค่ายที่สลักมาไว้สวยๆด้านซ้ายล่างของฝาหลัง

SPEC 

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (2400×1080พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 90Hz, ความสว่างสูงสุด 1,000 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass 5
  • ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 920 6nm ที่ใช้การ์ดจอ Mali-G68 MC4
  • RAM LPDDR4x 6GB + storage (UFS 2.2) 128GB, RAM LPDDR4x 6GB + storage (UFS 2.2) 128GB / 256GB
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • Android 12 ที่ครอบด้วย realme UI 3.0
  • กล้องหลัง
    • กล้องตัวหลัก 50MP (f/1.8) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766, OIS
    • กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.2) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX355
    • กล้องมาโครขนาด 4 ซม. 2MP (f/2.4) ที่ใช้เซนเซอร์ Galaxycore GC02M1
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.4) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอที่วัดอัตราการเต้นหัวใจได้
  • ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm, ลำโพง Stereo, Dolby Atmos
  • ขนาดตัวเครื่อง: 160.2×73.3×7.99มม.; น้ำหนัก: 182 กรัม
  • 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.2, GPS/ GLONASS/ Beidou
  • USB Type-C
  • แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 60W

CAMERA

ในเรื่องของกล้องในรุ่นนี้จัดให้มาแบบจุกๆเลย มาพร้อมกล้องหลังที่มีมาให้ 3 เลนส์ โดยเลนส์หลักให้ความละเอียดมาถึง 50MP (f/1.8) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 รองรับฟังก์ชัน OIS เลนส์ ultra-wide 8MP (f/2.2) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX355 และเลนส์มาโครขนาด 4 ซม. 2MP (f/2.4) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Galaxycore GC02M1 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับกล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมาสูงถึง 16MP (f/2.4) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ต้องบอกว่าในครั้งนี้เรียกได้เลยว่ากล้องระดับเรือธงจริงๆ มีความละเอียดคมชัดในทุกๆเลนส์ ใช้ลูกเล่นของเซนเซอร์อยากหลากหลายใส่มาให้แบบเหมาะสม สวยจบหลังกล้องเหมือนมือโปรถ่ายเลย ตอบโจทย์สายเซลฟี่สายถ่ายรูปเลย แม้จะถ่ายตอนอยู่ที่มืดแล้วนั้นก็ไม่เป็นปัญหาเลยนะ มีโหมดต่างๆให้ได้ลองเล่นใช้เยอะมากๆไม่ว่าจะเป็น โหมด Smart long exposure, 90s Pop Filter และโหมดต่างๆอีกมากมาย ส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ยิ่งเทียบกับราคาแล้วยิ่งถูกใจเลยคุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ จากที่ได้ลองใช้งานจริงแอดก็เก็บภาพที่ใช้เจ้ารุ่นนี้ถ่ายทั้งเซลฟี่หรือถ่ายภาพปกติในทุกๆช่วงเวลามาให้ชมกันว่าจะสวยสะใจขนาดไหน

LIGHT SHIFT ฝาหลังเปลี่ยนสีได้ !

การพัฒนาดีไซน์ใหม่ๆแบบไม่หยุดยั้งต้องยกให้ค่ายนี้เลยจริงๆ เพราะรอบนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ Light shift Design ที่ใช้กับสี Sunrise Blue สามารถเปลี่ยนสีฝาหลังได้ จากการโดนแสงอาทิตย์ ฝาหลังจะเปลี่ยนสีเป็นสีออกแดงๆ ภาพในเวลาเพียง 3 วินาที และเมื่อไม่โดนแสงอาทิตย์แล้วฝาหลังจะสามารถกลับมาเป็นสีปกติภายใน 2-5 วินาที ใช้หลักการ Photo chromic โดยเติมวัสดุ OCA เข้าไปในขั้นตอนของการเคลือบผิวทำให้ฝาหลังจะมีปฎิกิริยาเมื่อโดนแสงนั้นเอง เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่ชอบมากๆ เสมือนมีโทรศัพท์ 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเลย มอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน หยิบใช้ยังไงใครๆก็มองแน่นอน อย่างนี้ใครจะอดใจไหว

realme 9 Pro 

ในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz แบบปรับอัตโนมัติตามเนื้อหาได้ระหว่าง 30Hz/48Hz/50Hz/60Hz/90Hz/120Hz และความถี่การตอบสนอง 240Hz ภายในตัวเครื่องใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 695 ที่รองรับ 5G ที่จำเป็นมากๆในปัจจุบันนี้ และมีระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ตัวเครื่องมี RAM 8GB ที่มี dynamic RAM สูงสุดอีก 5GB ส่วนซอฟต์แวร์ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ครอบด้วย realme UI 3.0 ที่ทางบริษัทสัญญาว่าจะอัปเดตซอฟต์แวร์ Android เป็นเวลา 2 ปี

กล้องหลังของ 9 Pro ประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 64MP Omnivision OV64B  + กล้อง ultra-wide 8MP + กล้องมาโครขนาด 4 ซม. 2MP และมีกล้องหน้า 16MP ตัวเครื่องในสีฟ้า (Sunrise Blue) สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม โดยเมื่อสัมผัสแสงแดดหรือแสง ultraviolet ตัวเครื่องจะเปลี่ยนเป็นสีแดงภายในเวลา 3 วินาที ส่วนเมื่อนำออกจากแสงแล้วสีแดงจะจางกลับไปเป็นสีฟ้าในเวลา 2-5 นาที แบตเตอรี่มีความจุ 5,000mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Dart Charge 33W

UNBOX

  • ตัวเครื่อง realme 9 Pro
  • เคสใส
  • สายชาร์จ USB Type-C + Adapter Dart Charge 33W
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม

DESIGN

งานออกแบบดีไซน์นั้นจะคล้ายๆกับตัว 9 Pro+ เลย ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ยังคงความสวยหรู ทันสมัยอยู่เช่นเดิม รวมไปถึงตัวฝาหลังเช่นกันที่มีความวิบวับ เล่นกับแสงได้ดี ไม่ว่าจะถือรุ่นไหนก็ขึ้นมือสุดๆ เพียงแต่ว่าในรุ่นนี้ตัวฝาหลังนั้นไม่สามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อเจอแสง เลยทำให้ตรงนี้เป็นข้อเสียเปรียบนิดหน่อย แต่รวมๆแล้วนั้นสีธรรมดาของเครื่องก็สวยกินขาดอยู่แล้ว การวางตำแหน่งกล้องด้านหลังก็วางเรียงกันเหมือน 9 Pro+ เลย น้ำหนักและขนาดตัวเครื่องมีความบางเบามากๆเช่นกันแต่จะหนักกว่านิดหน่อย น้ำหนักรวมๆอยู่ที่ 195 กรัม สีมีมาให้เลือกถึง 3 สีเลย ได้แก่ Aorora Green, Sunrise Blue, Midnight Black โดดเด่นสวยงามตามความชอบของแต่ละบุคคลเลย

หน้าจอในรุ่นนี้เป็นแบบ หน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว (2400×1080พิกเซล) Full HD+ มีรีเฟรชเรทอยู่ที่ 120Hz ขนาดของหน้าจอจะใหญ่กว่าตัว 9 Pro+ นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ขอบจอรวมๆก็มีความบางเฉียบเหมือนกันเลย

ขอบจอด้านบนจะเป็นในส่วนของกล้องแบบเจาะรูกล้องเช่นเคย ที่อยู่บนขอบบางๆของเครื่อง หน้าจอใหญ่จุใจ ทำกิจกรรมอะไรก็เต็มที่สุดๆ

ในส่วนของขอบด้านล่างก็จะมีความหนาขึ้นมานิดหน่อยจากบริเวณขอบอื่นๆ แต่ก็ไม่มีผลอะไร หากพูดกันตรงๆขอบก็ไม่ได้หนาเลยนะ โดยรวมเรื่องขอบเครื่องรอบๆหน้าจอทำได้ดี

ด้านล่างในรุ่นนี้จะมีมาให้เหมือน 9 Pro+ เลย แต่จะสลับตำแหน่งกันนิดหน่อย โดยตัวนี้จะเรียงเป็นรู 3.5 มม. ตามมาด้วยพอร์ตชาร์จ USB Type-C และจบท้ายด้วยช่องลำโพง

ในส่วนด้านบนรุ่นนี้ก็จะมีเพียงไมค์ตัดเสียงเช่นกัน ขอบโค้งมนดูมีมิติมากๆ

ขอบเครื่องด้านซ้ายจะเป็นในส่วนของถาดใส่ซิมที่มีมาให้บริเวณด้านบนสุด ตามมาด้วยปุ่มสั่งงาน ลด-เพิ่มเสียง ที่อยู่ในตำแหน่งกำลังพอดีมือเลย

และสุดท้ายคือขอบเครื่องด้านขวาที่จะเป็นส่วนของปุ่ม Power แต่ในรุ่นนี้จะแตกต่างจากรุ่น 9 Pro+ ตรงที่ดีไซน์บริเวณรอบๆจะเว้าลงไป ดูสวยแปลกตาดีเหมือนกันนะ

ในส่วนของฝาหลังนี้ก็ต้องยกนิ้วให้เช่นกัน สีสันชัดเจนทะลุออกมาเลย มีความประกายวิบวับๆ เมื่อโดนแสงแล้วไม่ต้องพูดถึงความประกายเลย ทำให้ดูโดดเด่นมากๆขณะใช้งาน ในส่วนของตำแหน่งกล้องก็จะวางในตำแหน่งเดียวกันกับ 9 Pro+ เลย พร้อมสลักชื่อ realme ด้านล่างเช่นกัน วัสดุอุปกรณ์ก็แข็งแรงทนทานไว้ใจได้ โดยรวมแล้วรอบนี้ฝาหลังของทั้ง 2 รุ่นสวยมากๆ ชอบความประกายเล่นแสงเล่นไฟสุดๆ มองกี่ทีก็หลงไหล

SPEC

  • หน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว (2400×1080พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 120Hz
  • ชิปประมวลผล Snapdragon 695 8nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 619L
  • RAM LPDDR4x 6GB/8GB + storage (UFS 2.2) 128GB ที่ใส่ microSD card เพิ่มได้
  • ซิมคู่ (nano + nano + microSD)
  • กล้องหลัง
    • กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.79) ที่ใช้เซนเซอร์ Omnivision OV64B
    • กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.2) ที่ใช้เซนเซอร์ Omnivision OV08D10
    • กล้องมาโคร 2MP (f/2.4) ที่ใช้เซนเซอร์ Galaxycore GC02M1
    • แฟลช LED
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.05) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วด้านข้าง
  • ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm, ลำโพงตัวเดียว
  • ขนาดตัวเครื่อง:164.3×75.6×8.5มม.; น้ำหนัก: 195 กรัม
  • 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.1, GPS/ GLONASS/ Beidou
  • USB Type-C
  • แบตเตอรี่ 5,000mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 33W

CAMERA

ในเรื่องของกล้องรุ่นนี้ก็ไม่น้อยหน้าให้มาแบบจุใจเช่นกัน มากับกับกล้องหลัง 3 เลนส์เหมือนตัว 9 Pro+ เลย โดยหลักมาพร้อมกับความละเอียดสูงถึง 64MP (f/1.79) ที่ใช้เซนเซอร์ Omnivision OV64 เลนส์ ultra-wide 8MP (f/2.2) ที่ใช้เซนเซอร์ Omnivision OV08D10 และเลนส์มาโคร 2MP (f/2.4) ที่ใช้เซนเซอร์ Galaxycore GC02M1 อีกทั้งยังมาพร้อมกับแฟลช LED ในส่วนของกล้องหน้ารุ่นนี้ให้ความละเอียดมาที่ 16MP (f/2.05) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471 กำลังดีกับการเซลฟี่เลย ให้ภาพสวยคมชัดพอๆกันเลย ให้มาแบบไม่ยอมแพ้กัน ในรอบนี้ทางค่ายพัฒนาเรื่องกล้องออกมาได้ดีมากๆ ครบจบจริงๆ สำหรับคนชอบถ่ายรูปนี้ต้องชอบแน่ๆ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเลย โดยเฉพาะในเรื่องของเซนเซอร์ที่มีให้มาอย่างหลากหลาย ทำให้ได้ภาพที่มีประสิทธิภาพสุดๆ โหมดภาพต่างๆก็ยังคงมีมาให้ใช้งานอยู่แบบครบๆ และแน่นอนว่าแอดก็เก็บภาพจริงมาฝากให้ดูด้วยเหมือนเดิม

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพตัวเครื่องต้องบอกว่าไม่ได้หนีกันมากเลยทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับการใช้งานหน่วยประมวลผลระดับกลางๆทั้งคู่เลย จึงทำให้คะแนนภาพรวมรวมถึงทางด้าน CPU นั้นทำประสิทธิภาพไม่หนีกันเท่าไร ต่างกันไม่เยอะมากเรียกได้ว่าไม่มีผลอะไรเท่าไร โดย Processor ของรุ่น 9 Pro จะใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 695 5G และในส่วนของรุ่น 9 Pro+ จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 920 5G ทำให้ทั้ง realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ ไม่หนีกันในเรื่องของการใช้งานเลย คะแนนทางด้าน realme 9 Pro ทำไปได้ 398119 คะแนน และ realme 9 Pro+ นั้นจะทำไปได้ 490168 คะแนน ใกล้เคียงกันมากๆ ไล่เรียงกันมาติดๆเลย ในส่วนนี้ต้องบอกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไหร่เลย

STORAGE BENCH

ในด้านของหน่วยความจำของทั้งสองรุ่นนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆเลยนะ ในตัว 9 Pro นั้นมาพร้อม RAM LPDDR4x 6GB/8GB + Storage 128GB ที่สามารถใส่ microSD card ได้ด้วย และในส่วนของ 9 Pro+ นั้นจะมาพร้อมกับ RAM LPDDR4x 6GB + storage 128GB และ RAM LDDR4x 6GB + storage 128GB/256GB โดยรวมแล้วการใช้งานของทั้งสองรุ่นทำได้ดีเลย รองรับการใช้งานได้อย่างเพียงพอ แต่ในส่วนของตัว 9 Pro+ นั้นจะมีตัวเลือกให้หลากหลายกว่า จะดีกว่าตัว 9 Pro นิดหน่อย แต่จากที่ได้ลองใช้งานจริงทั้ง 2 รุ่นแล้ว การใช้งานต่างๆโอเคเลยนะ รองรับอะไรต่างๆได้เพียงพอมากๆ ในเรื่องของการระบายความร้อนนั้นก็ยังคงทำของมาได้ดีมากๆ มีระบบระบายความร้อน Vapor Chamber Cooling System เป็นแผงระบายความร้อนขนาดใหญ่ในรุ่น 9 Pro+ และระบบระบายความร้อนด้วย Liquid Cooling System ที่ระบายความร้อนได้ดีไม่แพ้กันเลย

 SCREEN 

หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นนี้ต้องบอกว่าค่อนข้างแตกต่างกันมาก โดย realme 9 Pro จะมาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว Full HD+ รีเฟรชเรทอยู่ที่ 120Hz ความถี่ตอบสนองที่ 240Hz ลื่นไหลแบบสมูทๆ และ realme 9 Pro+ นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาดให้มาที่ 6.43 นิ้ว Full HD+ รีเฟรชเรทแค่ 90Hz ความถี่ตอบสนอง 360Hz ความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 1000 nits เลย จะเห็นได้ว่าจะแตกต่างกันทั้งในเรื่องของขนาดและประเภทของหน้าจอเลยแหละ และแน่นอนว่าหนีไม่พ้นความแตกต่างในเรื่องของโทนสีแน่นอน ทำให้ที่เห็นชัดๆในเรื่องของหน้าจอเลยคือขนาดและโทนสีภาพที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่โดยภาพรวมแล้วนั้นขึ้นอยู่กับความชอบเลยนะ สวยทั้ง 2 ตัวเลยตัดสินใจไม่ได้จริงๆ 

CHARGING 

ในเรื่องของแบตเตอรี่นั้นเห็นว่าทั้ง 2 รุ่นนี้มีความเบาและบางมากๆ แต่แบตเตอรี่ที่ให้มานั้นเรียกได้ว่าเกินเครื่อง รองรับการใช้งานเพลินๆตลอดทั้งวันได้แบบสบายๆ หมดปัญหาการแบตหมดง่ายต้องพกสายชาร์จ พกพาวเวอร์แบงค์ให้จุกจิกกวนใจเลย โดยในรุ่นน้อง 9 Pro จะให้แบตเตอรี่ความจุอยู่ที่ 5,000mAh ชาร์จไว 33W Dart Charge และรุ่นพี่ 9 Pro+ ให้ความจุอยู่ที่ 4,500mAh ชาร์จไวด้วย SuperDaet Charge 60W ให้มาแบบจุกๆไม่ยอมกันเลย จากการได้ลองเล่นใช้งานแล้วนั้นไม่พบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เลย ใช้งานได้ชิวๆตลอดทั้งวัน เรียกได้ว่าให้แบตมาเกินเครื่องจริงๆ

REALME 9 PRO / REAMLE 9 PRO+ 

เปิดตัวกันออกมาแบบจุกๆปังๆเลยสำหรับสองตัวนี้ การใช้งานนั้นรองรับการใช้งานได้ดีทั้งคู่เลย จะแตกต่างกันไปในเรื่องของดีไซน์และสเปก จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป และจะเด่นๆไปในเรื่องของดีไซน์ฝาหลังที่มีความพิเศษสามารถเปลี่ยนสีได้จากการโดนแดด เป็นงานออกแบบฟีเจอร์ Light Shift Desigh ที่ใช้เวลาเปลี่ยนสีภายในไม่กี่นาที เป็นอีกหนึ่งจุดสนใจเลยสำหรับซีซั่นนี้ และความแตกต่างที่เห็นชัดๆเลยคือในเรื่องของลำโพงที่ทั้ง 2 รุ่นให้มาไม่เท่ากัน รวมไปถึงเซนเซอร์ที่ตัว 9 Pro+ จะมีความสามารถพิเศษมากกว่าที่จะสามารถสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ ส่วน 9 Pro จะเป็นเพียงเซนเซอร์สแกนนิ้วมือเท่านั้น และกล้องที่ให้จัดเต็มมาทั้งคู่เลยจะมีเป็นเซนเซอร์ที่เข้ามาเป็นลูกเล่นที่แตกต่างกันแทน ทำให้ในส่วนนี้ภาพจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง จากการใช้งานทั้ง 2 รุ่นนี้โอเคเลยนะ ใช้งานลื่นไหล ภาพรวมต่างๆทำได้ดีเลย การดีไซน์ก็พัฒนาขึ้นให้ล้ำสมัยสุดๆ โดยรวมแล้วดีทั้งคู่เลย อยู่ที่ความชอบส่วนตัวด้วย รวมๆแล้วแอดเองก็อยากจะเก็บไว้ทั้งสอง เพราะพัฒนา Series นี้ออกมาได้ปังมาก

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares