OPPO Reno6Z 5G เตรียมเปิดตัวด้วยสเปกที่มาพร้อมกับ MTK dimensity 800U และ มาพร้อมกับสโลแกน “อารมณ์ไหน ก็พอตเทรต”  ซึ่งจะมาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล และในรอบนี้ชูจุดเด่นเน้นถ่ายภาพแนว Portrait ด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนได้อย่างสวยงาม และ Portrait Beautification Video ส่วนงานออกแบบของ OPPO Reno6 Z 5G ออกแบบให้มีความสอดคล้องกับดีไซน์ที่บางและเบาของ Reno Series ซึ่งถือเป็นความสวยงามที่มีการผสมผสานกันระหว่างรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและดีไซน์อันเหนือระดับ พร้อมดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ทำให้ OPPO Reno6 Z 5G นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว การจับถือก็กระชับมือด้วยเช่นกัน มาด้วยกัน 2 สี คือ  Aurora และ  Stellar Black สีดำล้วน

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับการใช้งาน ชิปประมวลผล Dimensity 800U 5G พร้อมกับ RAM 8GB ขนาดใหญ่ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี RAM Expansion เพื่อการเล่นเกมที่ ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และความจุ 128GB พร้อมกับระบบ Android 11 + ColorOS11.1 ตัวล่าสุด  บนหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (1080p+), อัตราส่วน 20:9, ใช้กระจก Gorilla Glass 5 และ โดดเด่นในเรื่องของกล้องหลังกล้องหลัง 64MP + กล้อง ultra-wide 8MP + กล้องมาโคร 2MP พร้อมกับ อัลกอริทึม AI ที่มีประสิทธิภาพจาก OPPO ทำให้ OPPO Reno6 Z 5G เต็มไปด้วยฟีเจอร์การถ่ายพอตเทรตอันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น Bokeh Flare Portrait และ Portrait Beautification Video ช่วยให้ถ่ายวีดีโอพอตเทรตได้อย่างคมชัด สวยงามเป็นธรรมชาติพร้อมกับ กล้องหน้า 32MP ที่รองรับ การถ่ายจัดเต็ม รวมถึง โหมดการถ่ายวีดีโอ Dual-View ต่างๆครับ และจัดเต็มกับ แบตเตอรี่ 4,310mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W  VOOC flash charge 4.0 มาตรฐานทำให้ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 100% ได้ในเวลาเพียง 49 นาที พร้อม Super Power Saving Mode + Super Nighttime Standby มีน้ำหนักเบา ดีไซน์สวยเช่นเดิม Reno Glow มีการใช้กระบวนการ Diamond Spectrum แบบใหม่ เพื่อให้โทรศัพท์มีสีที่ ‘เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา’ เมื่อมองจากมุมหรือแสงที่แตกต่างกันด้วยเช่นกันเป็นสีที่สวยโดดเด่น

OPPO Reno6 Z 5G มาพร้อมกับ MTK Dimensity 800U 5G พร้อมกับ RAM 8GB STORAGE 128 GB ในราคา เปิดตัวที่ไทย  12,990 บาท  มาพร้อมกับสี AURORA และ  STELLAR BLACK 

UNBOX

ตัวกล่องนั้นเป็นสีเขียวอมฟ้า และมีเขียนชื่อรุ่นตามปกติครับซึ่งตัวกล่องข้างในนั้นจะเป็นดำครับ อุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาครบทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จ 30W VOOC Flash Charge 4.0  ชาร์จ 20 นาที ได้แบต 50% และ มีเคสใสแถมมาให้รวมถึงตัวฟิล์มของหน้าจอก็ติดมาให้แล้วเรียบร้อยครับผม

  • ตัวเครื่อง OPPO Reno6 Z 5G พร้อมฟิล์มกันรอย
  • เคส TPU ใส
  • หูฟัง Earbuds
  • คู่มือการใช้งาน ที่จิ้มซิม
  • ที่ชาร์จ 30W
  • สาย USB-A ไป TYPE-C

เคสที่แถมมานั้นจะเป็นแบบ TPU ใสนิ่มความหนาระดับกลางๆครับไม่ได้แข็งหรือหนามากนัก ครอบเครื่องได้ดี มีจุกปิดกันฝุ่น ส่วนด้านล่างที่เป็นช่องชาร์จไฟ การป้องกันนั้นรองรับได้ระดับนึงในส่วนของด้านหน้าและด้านหลังเวลาวางนั้นไม่โดนตัวเลนส์กล้องหรือหน้าจอ แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้เยอะมากนักเพราะไม่ได้นูนออกมาเยอะ และไม่ได้หนา เรียกได้ว่าอาจจะพอดีๆกับเลนส์กล้องเลย ส่วนวัสดุนั้นเป็นแบบสีใสใช้งานนานๆก็มีเหลืองได้ปกติของวัสดุนี้ครับ

DESIGN 

งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าเมื่อใช้งานและสัมผัสแล้วอย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือความเบา และบางที่ทำได้ดีครับคือรู้สึกเลยว่ามันพกพาได้ง่าย  ส่วนเรื่องรูปทรงและงานออกแบบในภาพรวมนั้นจับถนัดมือมีความโค้งมนในส่วนของขอบซ้ายและด้วยดีไซน์แบบ Reno Glow ที่ทำให้นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว การจับถือก็กระชับมือด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ 2 สีได้แก่ สีStellar Black และ สีAurora สวยมากเลยจริงๆ เป็นวัสดุแบบด้านพื้นผิวสวยและไม่มีรอยนิ้วมือ ส่วนหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอ AMOLED เต็มตาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรู และ สแกนนิ้วบนหน้าจอ ถือว่าภาพรวมนั้นทำได้สวย น้ำหนักตัวเครื่อง 173 กรัม และบางเพียง 7.92 มม.เท่านั้น

หน้าจอในส่วนของรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรู มาพร้อมกับขนาด 6.43″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 90.8% ใช้หน้าจอ Super AMOLED Display FHD+ ในเรื่องของความสว่างสามารถทำได้สูงสุดถึง 1200 NITS เลยทีเดียว และได้รับการรับรอบจาก Netflix & Amazon HD Streaming อีกด้วยใช้งานได้สบาย

หน้าจอในส่วนของขอบด้านบนนั้นถือว่าบางเท่าๆกับขอบซ้าย ขวา จะเห็นว่าเป็นหน้าจอเจาะรู และส่วนขอบด้านบนนั้นจะเป็นขอบลำโพง และพวกเซนเซอร์นั้นจะแฝงอยู่ตรงขอบๆ กล้องหน้าในรุ่นนี้ให้มาที่ 32 ล้านพิกเซล (f/2.4), FOV 85°, 5P lens รองรับการถ่ายพื้นฐาน รวมถึงละลายหลัง และการถ่ายวีดีโอฟีเจอร์ใหม่ๆทั้งหมดเช่นกันครับ

หน้าจอในส่วนข้างล่างนั้นขอบส่วนสีดำนั้นมีความบางพอสมควรครับและสามารถใช้งานการควบคุมแบบเต็มหน้าจอ หรือ จะเป็นแบบปุ่มปกติได้ ส่วนขอบหน้าจอๆรอบๆนั้นถือว่าบางพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆถือว่าใกล้เคียงกัน

ส่วนของขอบบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของ ไมค์ตัดเสียง ส่วนขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นโทนสีอ่อนปัดเงาครับ ส่วนความหนาบางเบานั้นรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลย แม้จะเป็นขอบพลาสติกแต่ก็ทำออกมาได้เนียนและแข็งแรง

ส่วนขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power ตำแหน่งอยู่เยื้องไปทางข้างบน เป็นตำแหน่งที่พอดีเวลาถือ จะเห็นว่ากล้องหลังนั้นนูนนิดหน่อยจะไม่ได้นูนเยอะ และ การออกแบบขอบเครื่องเงานั้นดูบาง และ สวยพรีเมี่ยมมากขึ้นครับ

ในส่วนขอบเครื่องในด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของรู 3.5 มม. และ รูไมค์ รวมถึงให้ USB-C มา และตัวลำโพงหลักนั้นจะอยู่ในส่วนด้านขวาของเครื่องตามภาพ ในรุ่นนี้จะเป็นลำโพง 1 ตัวแต่ตัวหลักนั้นจะเป็นส่วนขอบขอบด้านล่าง

ในส่วนของขอบเครื่องฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่รองรับการใช้งาน 2 ซิม Triple Slot และรองรับ Micro-SD ครับส่วนเรื่องปุ่ม เพิ่ม / ลดเสียงนั้น แยกปุ่มกันและอยู่ในตำแหน่งกำลังดี และขอบเครื่องเงา บางสวยเลยทีเดียว

ฝาหลังการออกแบบวางกล้องมุมเครื่องเรียงกันพร้อมมีความนูนพอประมาณ โลโก้วางแนวนอนอยู่ทางขวาล่างของหลังเครื่อง สีที่เรารีวิวนั้นจะเป็น Aurora มีการไล่สีสวยงามน้ำเงินไปฟ้าอมเขียวครับ พร้อมสีการออกแบบ แบบ Reno Glow มีการเล่นสีตามมุมแสงวัสดุฝาหลังเป็นกระจกโค้งลงทั้ง 2 ด้านพร้อมกับมีการเคลือบเลเยอร์สีในมีสะท้อนไล่สีได้สวยงามตามภาพ ซึ่งการออกแบบแบบนี้นอกเหนือจะเล่นกับแสงแล้วยังช่วยลดรอยนิ้วมือ และ จับถือได้ถนัดมือมากขึ้นไม่ลื่น และ ไม่ต้องมาคอยเช็ดฝาหลังครับ เรื่องงานออกแบบตัวนี้ถือว่าโดดเด่นและแตกต่างมาก

กล้องหลังมาพร้อมกับดีไซน์ที่คล้ายกับ Reno 5 series ก่อนหน้าพอสมควร กล้องหลังวางเรียง 3 ตัว พร้อมกับความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 และ กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 119 องศา ส่วนใน กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Macro 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ส่วนไฟแฟลชนั้นวางในกรอบสี่เหลี่ยมเป็นโมดูลเดียวกันและมีความนูนนิดๆ มีการเขียน 5G  ตรงแฟลชและพื้นผิวรอบเลนส์กล้องแตกต่างกันครับ

SPEC

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว 60Hz (2400×1080พิกเซล), ความถี่การตอบสนอง 135Hz (180Hz ใน game mode), NTSC color gamut 96%, 409PPI, ความสว่างสูงสุด 800nits
  • ชิปประมวลผล Dimensity 800U SoC
  • ใช้การ์ดจอ ARM G57 MC3
  • RAM 8GB ( RAM Expansion 13GB ) + storage 128GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย ColorOS 11.1
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.7), เลนส์ 6P กล้อง Ultra-Wide กว้าง 119 องศา 8MP (f/2.2), เลนส์ 5P กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), เลนส์ 3P ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30fps, ถ่าย slow-motion 1080P ได้ที่ 120fps และ 720P ได้ที่ 240fps, ถ่ายวิดิโอที่ใช้งาน EIS ได้ 1080P ได้ที่ 30fps, 720P ได้ที่ 30fps
  • กล้องหน้า 32MP (f/2.4), เลนส์ 5P
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ + ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า
  • ช่องเสียบหูฟัง USB Type-C
  • ขนาดตัวเครื่อง: 160.20 x 73.38 × 7.97มม.(ในสีAurora)/ 7.92มม.(ในสีStellar Black);
  • น้ำหนัก:173 กรัม
  • รองรับเครือข่าย 5G, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi (2.4GHz + 5Ghz), Bluetooth 5.1, GPS, BDS, GLONASS, GALILEO, QZSS USB-C
  • แบตเตอรี่ 4,310 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 30W VOOC Flash Charge 4.0
  • สี Aurora , Stellar Black

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพตัวนี้แน่นอนว่าไว้ใจได้เพราะว่าใช้งาน MTK Dimensity 800U 5G และ RAM 8GB STORAGE 128GB สามารถทำคะแนน ANTUTU มาได้มากถึง 371134 คะแนน และ มาพร้อมกับหน่วยความจุแบบ UFS2.1 ที่มีคะแนนสูงมากๆที่ 950MB/s และ เขียนไป 493MB/s เลยทีเดียว และทำให้เรื่องของ Geekbench เองนั้นทำไปได้ คะแนน และ การดูหนัง Netflix อะไรนั้นสบายๆรองรับแบบสูงสุด FHD คอนเทนต์ไม่มีปัญหาครับ

SYSTEM UI 

ทางด้านระบบแน่นอนว่าหน้าตา ล่าสุดใช้งาน Android 11 + Colour OS 11.1 ตัวล่าสุดบอกเลยว่าหน้าตามีความเรียบ ลื่นไหล และทันสมัยมากขึ้นแถมไม่รกแล้วด้วยเช่นกันครับ มอบประสบการณ์การเล่นเกม ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพในการทํางาน ดียิ่งขึ้น หน้าล็อกจอ, หน้าตาหลัก และหน้ารวมแอปต่างๆนั้นใช้งานได้ดีเช่นเดิม การแจ้งเตือนต่างๆ เด้งไวชัดเจน และไอคอนอะไรก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ และ ความนึ่งทำได้ดีกว่ายุคก่อนๆเยอะ

หน้าตาในส่วนของการแจ้งเตือนมีการแยกสัดส่วนชัดเจนขึ้น มีความเหลี่ยมมากขึ้นและแน่นอนว่ายังคงโทนสีเขียว ขาวไว้ได้ดีเช่นเดิม ส่วนของ Quick Setting นั้นรองรับการปรับแต่งได้อิสระ และใช้งานได้เหมือนกับรุ่นก่อนๆ แต่การแบ่งหน้าจอนั้นรองรับได้หลากหลายมากขึ้นเยอะ สามารถใช้งาน Mini Windows – Floating – Split ได้

คีย์บอร์ดเองนั้นใช้งานของ Gboard ที่เราคุ้นเคยกันดี และทางด้านความจุตัวเครื่องให้มา 128GB และ เหลือ 110GB ถ้าหักระบบออกไป และมาพร้อมกับ RAM 8 GB ใช้งานไป 4.6 ครับเหลือใช้งานสบายๆและลื่นไหล

แน่นอนว่าทางด้าน OPPO เองยังคงใส่ RAM Expansion สำหรับการทำงานขั้นสูงจะเพิ่ม RAM ให้เยอะขึ้นโดยดึงจากความจุเข้ามาถือว่าทำได้ดี ส่วนปุ่มการสั่งงาน 3 ปุ่มมาตรฐาน หรือแบบ ท่าทางเองนั้นรองรับได้ทั้งหมด และ Gesture อื่นๆยังคงจัดหนัก จัดเต็มมาให้ครับอีกทั้ง ยังคงมีความหลากหลายในการใช้งานเยอะเหมือนเดิมเลย

ในเรื่องของความสะดวกสบายนั้นก็สามารถใช้งานตัวช่วยเหลือต่างๆได้ครบทั้งปุ่มการควบคุม ระบบควบคุม Gesture ต่างๆหรือแม้จะเป็นการถ่ายหน้าจอแบบ 3 นิ้ว และอีกมากมายในรุ่นนี้ที่ใส่เข้ามา รวมถึงการควบคุมผ่านอากาศ Air Gesture ที่จะทำงานร่วมกันกับกล้องหน้าทำให้เราไม่ต้องสัมผัสหรือแตะหน้าจอตัวเครื่องในการใช้งาน และมีหน้าจอ Always On ใส่เข้ามาให้รองรับการแจ้งเตือนและดูข้อมูลแต่ไม่สามารถปรับอะไรได้เยอะเท่าไรนะครับ

SCREEN

หน้าจอในรุ่นนี้เป็นการออกแบบหน้าจอแบบเจาะรู มาพร้อมกับขนาด 6.43″ ในอัตราส่วน 20:9 และสัดส่วนต่อตัวเครื่อง 90.8% หน้าจอใช้งาน AMOLED Display FHD+ และ  Corning Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างมากถึง 800 nit รองรับการแสดงผลถนอมสายตา ความไวความหน่วงนั้นไม่มีเลยซึ่งถือว่าดีสำหรับใครที่เน้นในเรื่องนี้ ส่วนตัวหน้าจอจากที่ลองทั้งเรื่องของการสู้แสงและมุมมองถือว่าใช้งานได้ดีและรวมถึงโทนสีมิติของภาพนั้นทำได้ดีคุณภาพสูงเหมือนเดิม แต่น่าเสียดายว่ายังคงใช้งาน 60Hz เท่านั้นครับตัวนี้ รองรับการใช้งานทั้ง Always On และในเรื่องของความสว่างการสู้แสง และ ตอบสนองที่ไว และยังมี เทคโนโลยี Sunlight Screen ช่วยเพิ่มการมองเห็นของหน้าจอ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นหน้าจอได้อย่างชัดเจนในเวลากลางวันแม้จะอยู่ภายใต้แสงแดดจ้า และ Moonlight Screen จะหรี่แสงหน้าจออัตโนมัติด้วยเช่นกัน ถือว่าหน้าจอทำได้ดีและคุณภาพสูงมากๆตัวนึงเช่นกัน

แน่นอนว่าเรื่องของสีสัน มุมมองเป็นจุดเด่นของ AMOLED อยู่แล้วทำให้เมื่อมองจากด้านข้างหรือเอียงๆความสว่างการใช้งานอะไรนั้นก็สามารถรองรับได้สบายๆทำให้มุมมองในการใช้งานจริงไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย และยังคงใส่ฟีเจอร์การใช้งานทั้ง การรวมกันของ Sunlight Screen และ Moonlight screen ทำให้ All-day AI Eye Comfort สามารถมอบการใช้งานที่สบายตาได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งยิ่งผู้ใช้ใช้โทรศัพท์นานเท่าไหร่ การปรับแต่งหน้าจอก็จะสามารถปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้งานได้มากขึ้นเท่านั้น ทำให้หน้าจอตัวนี้ถือว่าคุณภาพ และสวย

SOUND

ของคุณภาพเสียงในรุ่นนี้ยังคงมีรูหูฟัง 3.5มม.มาให้ครับและในด้านของ Software นั้นจะรองรับระบบเสียง Real HD Sound แน่นอนว่าทำให้เสียงมันแตกต่างกับรุ่นก่อนๆทั้งหมด เรื่องของกำลังขับเสียงที่ดี มีกำลังมากขึ้นรวมถึงในแง่ของคุณภาพเสียงนั้นแตกต่างกันแบบรู้สึกได้ครับ เสียงที่ได้ลองฟังจากหูฟังประจำนั้นก็บอกได้ว่าเสียงมันปรับแต่งได้เยอะมีกำลังขับที่มากกว่า และรองรับการปรับแต่งเสียงเข้ามาแล้วครับ รองรับเสียงได้ดีขึ้นแน่นอนในเรื่องของลำลังขับที่ดีขึ้น เสียงชัดใสกว่าเดิมครับพวกนี้ถือว่าทำได้ดี เสียงภาพรวมเลยทำให้ไม่ได้ดรอปลงจากรุ่นก่อน ถือว่าทำได้ดีเลย

ส่วนหูฟังที่เเถมจะเป็นหูฟังสีขาวรูปทรงนั้นจะเหมือนกับตัวก่อนหน้าครับ และในด้านของโทนเสียงที่ได้ลองฟังก็อยู่ในระดับที่ฟังสบายเสียงที่ได้จากตัวเครื่องนั้นออกมามีเบสมาดีมาก เสียงย่านต่ำมาแบบนุ่มๆ และ เสียงมิติทำได้ค่อนข้างดี เวทีเสียงนั้นอาจจะไม่ได้กว้างมาก เสียงจะออกนุ่มๆฟังสบายๆเเละโทนเสียงไม่แหลมจนเกินไปครับ แต่ที่ชอบคือทรงแบบนี้มันใส่สบายและเหมาะสำหรับฟังเพลงนานๆหรือคุยโทรศัพท์อะไรพวกนี้ครับ ตัวหูฟังมีไมค์และปุ่มควบคุมมาให้ด้วย แต่ด้วยสีขาวอาจจะต้องรักษากันนิดหน่อยครับเป็นปกติเวลาใช้งาน รูปทรงนั้นจะเป็นแบบเดิมเช่นกันครับ

GPS

การนำทางตัวนี้แอดมินทดสอบนำทางจริงๆ และ ใช้แอปทดสอบเช่นเคยครับตัวนี้จากที่เคยลองตัวก่อนๆนั้นถือว่าค่ายนี้จะมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้แม่นขึ้นและแน่นอนว่าการใช้ CPU ตัวใหม่ๆก็มีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบนำทางพวกนี้ได้แม่นยำมากขึ้นเยอะมาก แม้จะเป็น MTK Dimensity 800U 5G แต่ในรุ่นนี้เมื่อเทียบกับการใช้งาน และ เรทราคาของมันถือว่ารองรับได้สบายและใช้งานได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนั้นเอง ส่วนในการใช้แอปทดสอบนั้นก็จับได้ทั้งหมด 37 ดวง จากทั้งหมด 57 ดวงครับทั้งบนรถ และ ทางเดินเท้าปกติ กลางแจ้งนะครับ และ ในที่ร่มนั้นทำได้ 24 ดวง จาก 64 ดวงนะครับ แต่ทดสอบในช่วงนี้ เมฆจะค่อนข้างเยอะมากๆครับ แต่ถ้าก่อนหน้านี้ทดสอบนั้นจะได้ 55 ดวงที่เจอ และใช้งานได้ 40 ดวงในสภาพอากาศปกติ และใช้งานข้างนอก ถือว่ายุคนี้สบายๆในการนำทางครับ

30W VOOC FLASH CHARGE 4.0

การชาร์จไวแน่นอนว่าเป็นจุดเด่นของค่ายนี้ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องในชื่อ VOOC ที่ตอนนี้มาถึง 30W VOOC FLASH CHARGE 4.0 ที่รองรับการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ และยังคงใจดีแถมมาให้ในตัวกล่องด้วยนะ ไม่มีการตัดทิ้งแต่อย่างใด รุ่นนี้สามารถชาร์จ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ความจุ 4,310mAh ได้อย่างรวดเร็ว โดยชาร์จได้ 100% ภายใน 49 และเรื่องของความปลอดภัยยังคงพัฒนาขึ้นต่อเนื่องทำให้เวลาชาร์จข้ามคืนนั้นจะมี Battery Guard ป้องกันแบตเตอรี่จากการชาร์จไฟที่มากกว่าปกติในเวลากลางคืน ในขณะที่ 30W VOOC Flash
Charge 4.0 ของ รุ่นนี้นั้นจะช่วยเรื่องความเสถียรและ ความรวดเร็วในการชาร์จในตอนกลางวันนั้นเองครับ และในการใช้งานจริงก็ถือว่าอึดกว่าที่คิด ใช้งานได้ 10 ชั่วโมง หน้าจอเปิด 4 ชั่วโมง และ เล่นเกมไปพอสมควรเหลือ 17%

GAMING 

OPPO Reno 6Z 5G เท่าที่ได้ทดสอบรุ่นนี้เรื่องของการเล่นเกม เเน่นอนว่าในรุ่นนี้ทางด้านของสเปกจะมาพร้อมกับชิปเซต MTK Dimensity 800U เท่าที่ได้ลอง ส่วนตัวคิดว่าเป็นมือถือที่เล่นเกมได้ดีอีกหนึ่งรุ่นเลยทีเดียว หากไม่ติดเรื่องของหน้าจอที่ให้มายังคงเป็นจอ 60Hz อยู่ หลังจากที่ได้เล่นเกมต่างๆตามในคลิปวีดีโอ PUBG , ROX , Cookie Run Kingdom , ROV เรื่องเฟรมเรทในเเต่ละเกมส์เท่าที่ได้ลองโดยรวมทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว การทัชติดนิ้ว คุมความร้อนได้ดีมากๆ เเละสำหรับใครที่เล่นเกมส์ ROV ในรุ่นนี้สามารถรันเฟรมเรทได้สูงสุดถึง 60 FPS เเละเล่นได้เเบบ 60 – 61 FPS ได้แบบสบายๆ ส่วนความร้อนเท่าที่ได้ทดสอบต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง กับการอัดหน้าจอไปด้วยสูงสุดจะอยู่ราวๆ 41 องศา เเบตเตอรี่ 1 ชั่วโมงจะลดไปประมาณ 15%

CAMERA

กล้องถือว่าเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลยทีเดียวแน่นอนว่านอกเหนือจากสเปกแล้วสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือเรื่องของระบบการถ่าย ซอฟต์แวร์ หรือแม้แต่จะเป็น AI เข้ามามีส่วนช่วยได้เยอะมากๆเช่นกันและรุ่นนี้ต้องบอกว่าเป็นกล้องในระดับเรทราคานี้ที่ถ่าย Portrait ได้ดีมากๆตัวนึงก็ไม่เกินไปเพราะว่ามีการพัฒนาระบบอะไรใหม่และค่ายนี้ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายคนอยู่แล้วทั้งโทนสี ความเนียนสวยต่างๆครับ ครั้งนี้เลยใส่ Bokeh Flare Portrait ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง โดยฟีเจอร์นี้จะเปลี่ยนแสงไฟบนพื้นหลังให้กลายเป็นดวงไฟโบเก้ พร้อมเพิ่มความสดใสของบุคคลในภาพอีกด้วย ถือว่าเป็นตัวชูโรงเลยแหละ ส่วนสเปกกล้องนั้นจะมาพร้อมกับ กล้องหลัง กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.7), เลนส์ 6P กล้อง Ultra-Wide กว้าง 119 องศา 8MP (f/2.2), เลนส์ 5P กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), เลนส์ 3P ถ่ายวีดีโอ 4K ได้ที่ 30fps, ถือว่ารูรับแสงกว้างกำลังดี และ ระบบต่างๆยังคงโดดเด่นอีกทั้งโหมดอื่นๆก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกันครับ

BOKEH FLARE PORTRAIT 

โหมดนี้ต้องบอกว่าเป็นโหมดที่ค่อนข้างน่าสนใจและเอามาใช้งานได้ดีทั้งกลางวัน และ กลางคืน ทำให้ข้างหลังเบลอแบบโหดๆคล้ายกับการใช้งานกล้องใหญ่ที่มีรูรับแสงกว้างๆ ไปเลยทีเดียวครับ ต้องยกความดีให้กับกล้องและระบบ AI ของ OPPO ในโหมด Bokeh Flare Portrait ที่จะได้ทั้งกล้องหน้าและหลังโดยฟีเจอร์นี้จะเปลี่ยนแสงไฟบนพื้นหลังให้กลายเป็นดวงไฟโบเก้ พร้อมเพิ่ม ความสดใสของบุคคลในภาพอีกด้วย เรียกได้ว่าถ่ายง่ายและสวยจบทันที

SELFIE

กล้องหน้าตัวนี้ถือว่าโดดเด่นรองรับการถ่ายมากถึง 32 ล้านพิกเซล ทำให้เรื่องของคุณภาพกล้องหน้านั้นไว้ใจได้และทางด้าน Software ค่ายนี้ต้องบอกว่าสบายๆในการรองรับการถ่าย และทำได้ดีมานานมากๆแล้วในเรื่องของความสวย สว่างและโทนสีของกล้องหน้าจากค่าย OPPO ครับแถมยังมาพร้อมกับ AI Beautification 2.0 จะช่วยปรับแต่งและเพิ่ม ความงามตามธรรมชาติของบุคคลในภาพถ่าย ด้วยฟีเจอร์ AI Beautification 2.0 ที่ได้รับการอัปเกรดในรุ่นนี้นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสีสันของปากได้ด้วยการระบุเฉดสีแดงบนริมฝีปาก พร้อมปรับแต่งการแต่งหน้า รายบุคคลได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เทพ Bokeh Flare Portrait ที่จะทำให้ละลายหลังแบบกล้องใหญ่ เบลอเด่นๆและ Bokeh เองนั้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ถือว่าน่าสนใจมากๆที่ใช้กับกล้องหน้าได้ครับ

PORTRAIT BEAUTIFICATION VIDEO

แน่นอนว่าโหมดนี้จะมาพร้อมฟีเจอร์การจดจำจุดสำคัญของใบหน้าได้ถึง 193 จุด ทำให้ OPPO Reno6 Z 5G สามารถมอบเอฟเฟกต์ความงามที่ประณีตและเป็นธรรมชาติให้กับวิดีโอได้สบายๆ ช่วยลดจุดด่างริ้วรอยบนใบหน้า พร้อมคงความงามแบบธรรมชาติ และช่วยปรับโทนผิวของใบหน้าให้มีความเหมาะสมกับผิวคอและแขน อีกทั้งยังช่วยปรับความสดใสของดวงตา เพื่อให้ดวงตาดูพิเศษมากยิ่งขึ้นด้วยถือว่าสาวๆน่าจะชอบกันเลยแหละโหมดตัวนี้

OPPO Reno6 Z 5G 

” กล้องถ่าย PORTRAIT เด่น ดีไซน์สวยบางเบา และ สเปกยังคงทำได้น่าประทับใจ “

OPPO เองนั้นยังคงเป็นค่ายที่ทำเรื่องของการถ่าย Portrait ได้ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการพื้นหลัง การจัดการ Skintone ต่างๆและ Effect ใหม่ในตัว Bokeh Flare Portrait ที่ใส่เข้ามาให้บอกเลยว่าน่าสนใจและสวยเลยทีเดียวครับ ทำให้คนทั่วไปถ่ายได้สวยง่ายขึ้นเยอะ และรองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังด้วยนะอันนี้บอกเลยว่าน่าสนใจ ส่วนสเปกอื่นๆนั้นก็ตามแบบของ OPPO ให้มาดีทั้งชาร์จไว หรือจะเป็นหน้าจอที่สวย อีกทั้งใช้งาน MTK Dimensity 800U 5G ตัวนี้ที่รองรับการใช้งานได้แบบสบายๆไม่ว่าจะเล่นเกม หรือ ใช้งานทั่วไปทำให้ตอบโจทย์มากๆ เช่นกันครับ ส่วนงานออกแบบ Reno Glow เองนั้นสะท้อนแสงได้สวยฝาหลังไม่ติดรอยนิ้วมือถือว่าลงตัวเลยเหมาะสำหรับคนที่เน้นใช้งานกล้องหลังกล้องหน้าถ่าย Portrait เน้นๆ รวมถึงดีไซน์สวย บาง เบา ตัวนี้ตอบโจทย์

ข้อดี

  • ดีไซน์ฝาหลังสวย เล่นกับแสงสีได้ดี บาง เบา พรีเมี่ยม
  • หน้าจอ สวย AMOLED สู้แสงได้ดี คมชัด
  • กล้องหลังทำได้ดี พร้อมกับโหมดการถ่ายมากมาย
  • Bokeh Flare Portrait โหมดการถ่ายใหม่ในการถ่ายละลายหลังทำได้ดีมาก
  • กล้องหน้ายังคงโดดเด่นและรองรับโหมดใหม่เช่นกัน
  • ประสิทธิภาพโดยรวมในการทำงาน MTK Dimensity 800U 5G เอาอยู่สบายๆ
  • ColorOS11.1 ลื่นไหล และสวยงามเช่นเดิม

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น 60Hz AMOLED
  • ลำโพงตัวเดียว ออกข้างล่าง

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares