OnePlusได้เปิดตัว NORD 2 5G ในตลาดต่างประเทศกันไปแล้วและเป็นงานเปิดตัวที่ทำออกมาได้ว้าวมากๆคล้ายกับหนังสั้นเลยทีเดียว และ ซีรีส์นี้ถือว่าโดดเด่นและเป็นรุ่นที่น่าสนใจเลยแหละรวมถึงในประเทศไทยเองก็ตามครับ น่าเสียดายว่ารุ่นพี่ 9 ไม่มีข่าวอัปเดตในไทยและน่าจะข้ามการทำตลาดไปแล้ว เลยทำให้ NORD 2 5G ตัวนี้ถือว่ามาไวกว่าที่คิดและพร้อมขายได้เร็วๆนี้แน่นอนครับ และภาพรวมเองนั้นรุ่นนี้ ทรงพลังขึ้นจาก OnePlus Nord รุ่นแรก ครอบคลุมตั้งแต่ประสิทธิภาพของระบบกล้อง ไปจนถึงการชาร์จและการออกแบบตัวเครื่อง และถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนประสบการณ์ A.I. Technology ที่ยอดเยี่ยม ตัวนึงเพราะได้มีการร่วมพัฒนา CPU กับทาง MediaTek Dimensity 1200-AI: OnePlus เป็นแบรนด์เดียวที่ได้ร่วมพัฒนาชิปเช็ทนี้ร่วมกับ MediaTek และเป็นแบรนด์เดียวที่ ชิป CPU: MediaTek Dimensity 1200-AI  ด้วยอันนี้น่าสนใจครับ และระบบ AI ก็น่าจะมีส่วนเข้ามาช่วงทั้ง กล้อง การเล่นเกม หน้าจอ หรือแม้แต้การใช้งานทั่วๆไปด้วยเช่นกัน ส่วนงานออกแบบดูดีสวยขึ้นพอสมควรและยังคงเน้นโทนสีฟ้าไว้เช่นเดิม และยังคงสานต่อ ลำโพงคู่ ระบบกันสั่น OIS พร้อมกับ ชาร์จไวที่โหดขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว

OnePlus Nord 2 5G มาพร้อมหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว รีเฟรชเรท 90Hz, อัตราส่วน 20:9, รองรับ AI colour boost, AI resolution boost ฯลฯ ที่มีกล้องหน้า 32MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX615 แต่ไม่มีกล้องหน้า ultra-wide เหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา ใช้ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1200-AI ที่ทาง OnePlus จับมือกับ MediaTek ในการพัฒนาระบบ AI บนชิบดังกล่าว ซึ่งตัวชิปรองรับเครือข่าย 5G ทั้งแบบ SA และ NSA สำหรับ RAM มาพร้อม RAM สูงสุด 12GB ส่วนระบบปฏิบัติการใช้ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11.3 ที่ตั้งอยู่บน ColorOS 11.3 โดยทางบริษัทได้ยืนยันแล้วว่าจะทำการอัปเดต Android ครั้งใหญ่จำนวน 2 ครั้ง และอัปเกรดแพทช์รักษาความปลอดภัยจำนวน 3 ครั้ง กล้องหลังของ Nord 2 จะมาพร้อมกล้องตัวหลัก 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในเลนส์ ultra-wide ของ OnePlus 9 และ 9 Pro อีกทั้งมีขนาดใหญ่กว่าเซนเซอร์ Sony IMX586 ที่ใช้ใน Nord รุ่นแรก รวมทั้งยังรองรับ OIS ส่วนกล้องที่เหลือประกอบด้วยกล้อง ultra-wide กว้าง 119 องศา 8MP และกล้อง B&W สำหรับถ่าย portrait ทั้งนี้แบตเตอรี่จะเป็นแบบ dual-cell ความจุ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 65 ที่ชาร์จแบตจาก 0-100% ได้ในเวลา 30 นาที ตัวสมาร์ตโฟนมาพร้อมปุ่มสไลด์ปรับการแจ้งเตือน (alert slider) และมาพร้อมกระจก AG 3D ที่ให้ควาามรู้สึกบางลงและโค้งมนกว่าเดิม ซึ่งตัวเครื่องในสีเทา (Gray Sierra) ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ตหรู ตัวเครื่องสี Blue Haze มีดีไซน์คล้ายเครื่องเซรามิก (Porcelain)

PRICE

  • สีฟ้า Blue Haze รุ่น RAM 8GB+ ROM 128GB – 17,990 บาท ช่องทางวางจำหน่ายเฉพาะช่องทาง Online : Lazada, Shopee, JD Central และ Thisshop
  • สีเทา Gray Sierra รุ่น RAM 12GB + ROM 256GB – 18,990 บาท วันขาย 26 สิงหา 64 นี้ครับ ช่องทางวางจำหน่ายเฉพาะช่องทาง Online : Lazada, Shopee, JD Central และ Thisshop

UNBOX

สำหรับคนทั่วไปนั้นแน่นอนว่าได้กล่องที่เราคุ้นเคยกันดีในภาพด้านบนพร้อมกับอุปกรณ์ให้มาครบๆเช่นเดิมไม่ตัดออกไปไหน ทั้งหัวชาร์จ เคสต่างๆ รวมถึงสายชาร์จสีแดงครับ แน่นอนว่าครบๆพร้อมใช้งานและรองรับชาร์จ Warp charge 65

  • ตัวเครื่อง OnePlus NORD 2 5G
  • ตัวเคส TPU ใส
  • สายชาร์จ USB-A ไป USB-C
  • Adaptor ชาร์จไฟ Warp Charge 65
  • คู่มือการใช้งาน ที่จิ้มซิม

มาที่ตัวเคสถือว่าการออกแบบเล่นลวดลายข้างหลัง สีด้าน ตัดสลับกับสีแบบใส ถือว่าไม่ค่อยเห็นเคสแถมมีงานออกแบบพวกนี้เท่าไร แต่ชอบที่มันปกป้องเครื่องได้ดีมากๆทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตัวขอบกินเข้ามาบนหน้าจอ และมีความหนาสูงกว่าหน้าจอทำให้วางคว่ำได้สบาย ส่วนฝาหลังนั้นก็คลุมได้หมดครับรวมถึงตัวเลนส์กล้องนั้นก็ทำออกมาปิดได้ดี มีความหนาขึ้นมาปกป้องได้เวลาวางต่างๆ ใช้งานทั่วไปจะเห็นได้ว่าตัวเคสนั้นมีความนูนขึ้นมาปกป้องตัวเลนส์ และหน้าจอขึ้นมาอีกครับ และ ทั้ง 4 มุมนั้นในด้านหน้าจะทำความสูงพิเศษขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องหน้าจอให้ดีขึ้นไปอีก

DESIGN

งานออกแบบตั้งแต่แรกเห็นเลยตัวนี้จะมาพร้อมกับดีไซน์ที่แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าทันทีพร้อมกับสีฟ้าที่โดดเด่นขึ้น รวมถึงความหรูหรา แพงขึ้นแน่นอนดีไซน์คล้ายกับรุ่นเรือธง OnePlus 9 มากๆแต่วัสดุอะไรแตกต่างกันไป ซึ่งตัวนี้เองนั้นจะมาพรัอมกับ สีฟ้า Blue Haze และ สีเทาGrey Sierra สวยงามทั้งคู่ ซึ่งสีฟ้า ดีไซน์คล้ายเครื่องเซรามิก (porcelain) ที่สะท้อนแสงและเปล่งประกายมากกว่าเดิมและเป็นสีประจำตระกูล Nord ไปแล้วด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ ปุ่ม Alert Slider เช่นเดิมและ กล้องหลัง ความบางเบาอะไรนั้นอยู่ที่ 8.25มม และ หนัก: 189 กรัม กำลังดี

ด้านหน้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงว่าจะมีรูบนหน้าจอน้อยลงเพราะว่ากล้องหน้าเหลือตัวเดียว จะใช้งานหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว รีเฟรชเรท 90Hz, อัตราส่วน 20:9, รองรับ AI colour boost, AI resolution boost พร้อมกับขอบจอบางและรองรับการใช้งาน Always On Display และ สแกนนิ้วบนหน้าจอให้มาครบ

ด้านบนนั้นเป็นแบบเจาะรูมุมซ้ายตัวเครื่องเช่นเดิมที่มีกล้องหน้า 32MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX615 ถือว่ากล้องหน้าเทพขึ้นเยอะ เผลอๆดีกว่ารุ่นพี่ OnePlus 9 ซะด้วยซ้ำเพราะว่าใช้งานเซนเซอร์ตัวใหม่และความละเอียดสูงครับและยังคงใช้งานลำโพงคู่จัดเต็มทั้งบน และ ล่างตัวเครื่อง ถือว่าจุดเด่นของรุ่นก่อนๆยังสานต่อมาครบและดีขึ้นกว่าเดิม

ขอบจอด้านล่างนั้นจะเห็นว่าแอบมีความหนาอยู่นิดหน่อย ครับอาจจะด้วยเรทราคาของรุ่นนี้ ส่วนการควบคุมนั้นใช้งานเต็มหน้าจอ หรือ ปุ่มได้ทั้งหมดเหมือนรุ่นอื่นๆ แต่ถ้าหากเทียบกับรุ่นพี่นั้นบอกเลยว่าอาจจะไม่ได้บางเท่าเป็นปกติ

ขอบเครื่องข้างขวานั้นเราจะเห็น เอกลักษณ์ประจำค่ายอยู่คือตัว Alert Silder ที่เป็นปุ่มเลื่อนสำหรับเปลี่ยนเสียงการแจ้งเดือน เงียบ สั่นหรือมีเสียงถือว่าเป็นค่ายเดียวที่ใส่เข้ามา และ ใช้งานสะดวกมากๆรวมถึง ปุ่ม Power ส่วนขอบเครื่องวัสดุพลาสติกทั้งหมดรวมถึงเล่นสีฟ้าเงาๆ สวยงามพอสมควรเลย มีความบางระดับนึงเลยแหละ และฝาหลังโค้งเข้ามาขอบเครื่องมากกว่ารุ่นแรกและทำให้ดูบางมากกวาเดิม รวมถึงการจับถือนั้นถนัดและกระชับมากกว่ารุ่นก่อนหน้า

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเรียบๆไม่มีอะไรมาก แต่จะเห็นว่ากล้องนั้นถือว่านูนน้อยมากๆและการแยกชิ้นเลนส์ทำให้มีระดับมากกว่าตัวเดิม และ ตัวไมค์ตัดเสียงข้างบนนั้นก็ใส่เข้ามาให้ด้วยยังไม่ได้ตัดออกไปไหน และโค้งรับมือได้ค่อนข้างดี

ขอบเครื่องข้างซ้ายจะเป็นแค่ปุ่ม เพิ่ม ลดเสียงเท่านั้น ไม่มีอะไรมากและขอบเครื่องสีฟ้าเงาสวย แต่วัสดุขอบเครื่องทั้งหมดนั้นจะเป็นพลาสติกสำหรับทาง OnePlus Nord รุ่นนี้ แต่เก็บงานได้เนียนสวยและพรีเมียมกว่าตัวแรกชัดเจน

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นเป็นลำโพงหลัก พร้อมกับ USB-C และ รูไมค์ เราจะเห็นถาดซิมแบบ Dual SIM แต่ไม่รองรับการเพิ่มความจุ และจะแอบเห็นว่ามีซีลยางมาให้ด้วยถือว่าปกป้อง น้ำเข้าได้ระดับนึงแม้จะไม่ได้มี IP Rating ก็ตามครับรุ่นนี้ และ เป็นลำโพงคู่เช่นเดิมทำงานร่วมกันกับขอบหน้าจอด้านบน เสียงดังขึ้นและมิติเสียงดีกว่ารุ่นแรกเช่นกัน

สีฟ้า Blue Haze ยังคงเป็นสีที่โดดเด่นและสีประจำของซีรีย์นี้เลยทีเดียวแต่โทนสีรู้สึกว่าจะมีความอ่อนขึ้นและดูหรูหรามากกว่าเดิมไม่ได้ฟ้าสดมากนักซึ่งส่วนตัวชอบโทนสีนี้มากกว่าเดิม อีกทั้งการวางกล้อง การจัดวางเลนส์หลักต่างๆนั้นมีความพรีเมียมกว่าเดิมเยอะมากๆ ให้ความรู้สึกเป็นเรือธงได้ทันทีพร้อมกับการเล่นเลเยอร์กล้อง และ วัสดุแบบด้านเสริมเข้ามาตัดกับฝาหลังพลาสติกเงาได้ทันที อีกทั้งงานประกอบคุณภาพต่างๆมีความแน่นและเนียนเช่นเดิมครับ

ในส่วนตัวกล้องหลังของ Nord 2 จะมาพร้อมกล้องตัวหลัก 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในเลนส์ ultra-wide ของ OnePlus 9 และ 9 Pro เลยทีเดียวแน่นอนว่าคุณภาพนั้นโหดขึ้นเท่าตัว อีกทั้งมีขนาดใหญ่กว่าเซนเซอร์ Sony IMX586 ที่ใช้ใน Nord รุ่นแรกเยอะมาก รวมทั้งยังรองรับ OIS ระบบกันสั่นที่จัดเต็มช่วยในการถ่ายกลางคืน ส่วนกล้องที่เหลือประกอบด้วยกล้อง ultra-wide กว้าง 119.7 องศา 8MP (f/2.25), รองรับ EIS และกล้อง B&W 2MP (f/2.5), สำหรับถ่าย portrait  และ มีการออกแบบใหม่ซึ่งดูสวยและพรีเมียมมากกว่ารุ่นก่อนเยอะมากๆและเลนส์ใหญ่กว่าเดิมชัดเจน ครอบด้วยวัสดุสีด้านทำให้แตกต่างกับฝาหลังที่เป็นแบบเงา

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (1080×2400พิกเซล) Full HD+, ppi 408, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 90Hz, sRGB และ DCI-P3 colour gamut, video enhancement, AI-Super resolution
  • ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 1200-AI 6nm ที่ใช้การ์ดจอ ARM G77 MC9
  • RAM LPDDR4X 6GB/8GB + storage (UFS 3.1) 128GB,
  • RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11.3
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง
    • กล้องตัวหลัก 50MP (f/1.88) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766, ขนาดพิกเซล 1μm, รองรับ OIS
    • กล้อง ultra-wide กว้าง 119.7 องศา 8MP (f/2.25), รองรับ EIS
    • กล้องโมโน 2MP (f/2.5), ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30fps, slow motion 1080p ได้ที่ 120fps, 720p ได้ที่ 240 fps
    • แฟลช LED คู่
  • กล้องหน้า 32MP (f/2.45) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX615, รองรับ EIS
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ขนาดตัวเครื่อง: 158.9×73.2×8.25มม.; น้ำหนัก: 189 กรัม
  • ลำโพง Stereo
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax (2.4GHz + 5GHz) 2X2 MIMO, Bluetooth 5.2, GPS, GLONASS, Galileo, Beidou, NavIC, NFC
  • USB Type-C
  • แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 65

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพตัวนี้แน่นอนว่าเป็นการพัฒนาร่วมมือกันระหว่าง OnePlus – MTK ที่ออกมาตอบโจทย์การใช้งานได้ดี OnePlus เป็นแบรนด์เดียวที่ได้ร่วมพัฒนาชิปเช็ทนี้ร่วมกับ MediaTek และเป็นแบรนด์เดียวที่ ชิป CPU : MediaTek Dimensity 1200-AIที่ให้ประสิทธิภาพของ CPU เร็วขึ้น 65% และประสิทธิภาพของ GPU 125% เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพของ OnePlus Nord รุ่นแรกที่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมในปี 2020 ซึ่ง OnePlus ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ MediaTek เพื่อปรับปรุง คุณสมบัติ AI ของระบบประมวลผล  และทำให้คะแนนพุ่งไปที่ 586396 คะแนน พร้อมกับ UFS 3.1 1607MB/S และ เขียน 950 MB/S เลยทีเดียวอีกทั้งรองรับ NETFLIX L1  HD / และทางด้านคะแนน Geekbench 804 และ 2646 คะแนนภาพรวมทำได้ดีมากๆ

SYSTEM UI

Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 11 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlus มักจะได้รับการอัปเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น  เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วยและทำราคาถูกลงมาก

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 9 ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับ สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกดค้างหน้าแอปได้เลย แต่หน้าตาพวกนี้มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดี เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะสวยงามเลยหน้า Quick Setting

ตัวระบบใช้งานได้ 110 GB และ RAM 8 GB ใช้ไป 4.21 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม  สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและเสถียรมากๆเลยครับ

ในส่วนของ Gesture นั้นก็มีมาให้เยอะเช่นเดิมทั้ง 3 นิ้วในการแคปหน้าจอ การรับสาย การพลิกเพื่อเงียบ รวมถึง แตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่อง และยังสามารถปรับ ปุ่ม power 2 ครั้ง เข้ากล้อง หรือ กดค้างเพื่อ เรียก Google Assistant ได้ด้วย และ สามารถปรับว่า จะแสดงระดับแบตอะไรยังไงบ้าง หรือ แสดงความเร็วเครือข่ายได้ด้วยรวมถึงการเจาะรูกล้องหน้าว่าจะเป็นแบบไหน หรือซ่อนไป และปรับหน้าแอปเต็มหน้าจอ และทางด้านปุ่มควบคุมนำทางนั้นปรับได้ว่าใช้งานปุ่มหรือท่าทางและ แตะ หรือ กดค้างจะสั่งงานอะไร

ในส่วนของการปรับแต่งหน้าตาก็เช่นเดิมว่าสามารถปรับแต่งได้เยอะมากทั้งเรื่องของ ฟอนต์ การออกแบบ โทนสี ไอคอน รูปทรงถือว่ารองรับได้อิสระมากๆ  กล้องหน้าสามารถซ่อนได้น่าจะเอาแบบไหน ตามภาพ กราฟิกเลยครับ และ ในรุ่นนี้ หน้าจอ Ambient Display ในการแสดงเวลาหน้าจอดับหรือแตะเพื่อแสดงครับสามารถปรับแต่งได้อิสระมากๆ รวมถึงรองรับกับการใช้งานหน้า AMOLED ส่งผลในเรื่องนี้ด้วยเช่นกันและมีไฟแจ้งเตือนตามขอบหน้าจอ

SCREEN

หน้าจอที่มีความลื่นไหล 90Hz ยังไม่ได้หนีจากรุ่นเดิมเท่าไรนัก จริงๆก็ถือว่าเป็นหน้าจอที่โหดสุดๆอีกรุ่นทั้งเรื่องของความคมชัดสวยงามการสัมผัสที่ไว และ รวมถึงอัตราการตอบสนองที่ไวมากๆ หน้าจอนั้นการสัมผัสนั้นไวมากเลยทีเดียว ติดนิ้วมากๆ ในส่วนของหน้าจอก็สามารถปรับได้ว่าจะเอา 60 กับ 90Hz ครับ ช่วยประหยัดแบตได้นิดหน่อยส่วนเรื่องของสเปกนั้นมาพร้อมกับ หน้าจอในชื่อ Fluid AMOLED มาพร้อมกับขนาด 6.43 นิ้ว Full HD+, ppi 408, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 90Hz, sRGB และ DCI-P3 colour gamut, ถือว่าในสเปกอะไรทำได้ดี และเท่าที่ทดสอบใช้งานดูนั้น สู้แสงได้ดีระดับนึงพร้อมกับ มิติสีของภาพนั้นสวยใช้ได้เลยแหละ การออกแบบหน้าจอแบบเจาะรูทำให้แปลกใหม่และดูทันสมัยและเป็นกล้องหน้าตัวเดียวแล้วทำให้เรื่องของ ความเต็มหน้าจอการใช้งานนั้นดีขึ้น รวมถึงมี AI เข้ามาช่วย ทั้ง Super resolution รวมถึง HDR Remapping และ Smart On-Display HDR และฟีเจอร์ Daylight readability enhancement ช่วยเวลากลางแจ้งทำให้การใช้งานต่างๆนั้นดีขึ้นกว่าเดิมครับ

หน้าจอนอกเหนือจากมุมมองตรงๆแล้วตัวภาพในมุมมองอื่นๆก็ถือว่ายังตอบสนองได้ค่อนข้างดีมากแสงสีอะไรสวยงามและมีความสว่างพอสมควรเลยทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายๆสภาพแสงครับถือว่าทางด้านหน้าจอค่ายนี้ไว้ใจได้เลยและในเรื่องของการสัมผัสแน่นอนว่าแม้จะเป็นหน้าจอในรุ่นราคาเรทนี้แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีให้ความรู้สึกค่อนข้างใกล้เคียงกับทาง 90Hz ในรุ่นก่อนๆพอสมควรเลยแหละในความติดนิ้วอะไรใช้งานได้ดีคุณภาพยังคงทำได้ดี การสัมผัสเล่นเกมใช้งานไม่มีปัญหา รวมถึงความลื่นไหลในการใช้งานทั่วไปก็เป็นจุดที่แตกต่างแบบชัดเจน จนบางทีความรู้สึกในการใช้งานมันดีกว่า 120Hz แบบ IPS LCD ในบางตัวด้วยซ้ำไปอาจจะด้วยหน้าตา UI ที่เพียวๆและลื่นไหล ทำแอนนิเมชันต่างๆเนียนตา และอันนี้ถือว่าค่อนข้างประทับใจหน้าจอการสู้แสงและการใช้งานรวมๆ

FINGERPRINT 

สแกนนิ้วนั้นรองรับใช้งานบนหน้าจอรวมถึงสแกนใบหน้าต้องยกความดีให้กับการใช้งานหน้าจอแบบ AMOLED ทำให้สแกนนิ้วได้ไวและแม่นยำรวมถึงไม่ต้องมีการสแกนนิ้วในด้านหลังอะไรแล้ว และเทคโนโลยีก็จะคล้ายกับตัว NORD ก่อนหน้าด้วยเช่นกันครับ ส่วนการสแกนใบหน้าก็เป็นการใช้งานกล้องหน้ามาตรฐานเลยไม่ได้มีสแกน 3 มิติอะไรซึ่งเราจะเห็นการสแกนใบหน้าแบบนี้แทบจะทุกค่ายกันแล้ว เพราะใช้งานได้ง่ายและไม่ต้องมีเซนเซอร์อะไรเพิ่มเติมด้วย

ALWAYS ON DISPLAY 

Always On Display มีการใส่เข้ามาให้พร้อมกับรองรับการใช้งานได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมรวมถึงในการใช้งานจริงก็สามารถรองรับการปรับแต่งได้ดีขึ้นเยอะมากเพราะว่า มีการเปลี่ยนหน้าตาอะไรได้ทั้งหมดที่แตกต่างกับรุ่นก่อนๆแบบชัดเจน เพราะที่เคยบ่นกันไปในรุ่นก่อนหน้าว่าไม่สามารถติดตลอดเวลาหรือไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้ แต่ทางรุ่นนี้นั้นใส่เข้ามาให้พร้อมใช้งานในหลากหลายหน้าตาและสามารถบอกสถานะการใช้งานแต่ละคนที่แตกต่างกันได้

SOUND 

ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับชนิดการฟังเพลงได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย แต่น่าเสียดายว่าไม่รองรับการปรับ EQ อะไรมากนักรวมถึงในแง่ของการปรับแต่งเหมือนจะน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ในเรื่องเสียงถ้าผ่านระบบ Bluetooth นะครับแต่ถ้าเสียบตัวแปลงเสียบสายจะสามารถปรับโทนเสียงอะไรได้อยู่แต่ไร้สายไม่รองรับ

GPS

การนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาเสมอครับ และในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหน ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 30-35 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 42-45 เลยทีเดียวครับ และในที่ร่มนั้นได้ 18 ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอปนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอป ไม่มีปัญหาใดๆ รวมถึงการเปิดสถานที่ในแอปอื่นๆก็ใช้งานได้

BATTERY  WARP CHARGE 65

OnePlus Nord 2 5G มีแบตเตอรี่เซลล์คู่ขนาด 4,500mAh พร้อมด้วยเทคโนโลยีการชาร์จไวแบบ Warp  Charge 65 ชาร์จจาก 0-100% ในเวลาน้อยกว่า 35 นาที และยังมีระบบปรับเพื่อลดเวลาที่ใช้แบตเตอรี่ 100% เพื่อรักษาคุณภาพแบตเตอรี่ที่ดีในขณะที่ชาร์จข้ามคืน และ เทียบเท่ากับเรือธงของค่ายตัวเองทันทีและยังแถมหัวชาร์จมาให้ใช้งานด้วยเช่นกันครับ ส่วนในการใช้งานแบตเองนั้นทดสอบทั้งวันจะสามารถใช้งานได้สบายๆเหลือๆเลย

GAMING

เรื่องของการเล่นเกมส์รุ่นนี้หลังจากที่ได้ทดสอบก็ต้องบอกเลยว่าเด็ดดวงมากๆ ถือว่าเป็นอีกรุ่นในเรทราคาหมื่นกลางที่เล่นเกมได้สมกับราคาเลยทีเดียว หลังจากที่ได้เล่นเกมส์ต่างๆเท่าที่ได้ทดสอบ ลื่นไหลรุ่นนี้เเน่นอน CPU เเรงกว่ารุ่นก่อนถึง 65% GPU แรงกว่ารุ่นก่อนถึง 125% เล่นเกมส์ไหนๆก็เอาอยู่แน่นอน ในส่วนของเเบตรุ่นนี้เท่าที่ลอง 1 ชั่วโมงเเบตจะลดราวๆ 16 – 17% ส่วนความร้อนสูงสุดจะอยู่ที่ 45 องศา การทัชติดนิ้วเท่าที่ได้ลองตอบสนองนิ้วเเละเเตะได้ตามมือมาๆถือว่าเป็นมือถืออีกรุ่นที่เล่นเกมส์ได้ดีกับเกมส์ที่เอามาทดสอบใครเล่น 4 เกมส์นี้อยู่สอบผ่านเเน่นอน

AI CAMERA 50MP + OIS 

กล้องหลังพัฒนาขึ้นและมี OIS ! เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาแบบส่งผลต่อการใช้งานจริงๆ และยังไม่ได้ตัดออกไปไหนจากที่รุ่นก่อนก็ใส่เข้ามาให้ และรุ่นนี้ใช้งานเซนเซอร์ที่ดีขึ้นไปอีก OIS กันสั่นและเซนเซอร์ Sony IMX766 เลนส์หลัก 50MP ที่อยู่ใน OnePlus 9 ! ซึ่งสามารถจับแสงได้มากกว่า Sony IMX586 จาก OnePlus Nord ตัวแรกถึง 56% ด้วย Nightscape Ultra ซึ่งเป็นโหมดกลางคืนที่ได้รับการปรับปรุงของ OnePlus ผู้ใช้จะสามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้นและสว่างขึ้นแม้ในสภาพแสงน้อย  OnePlus Nord 2 5G ยังมีเลนส์ ultra-wide ความละเอียดชัดถึง 8MP มุมมองภาพกว้างถึง 119.7 องศา ส่วนทางด้านสเปกละเอียดนั้นจะมาพร้อมกับ กล้องตัวหลัก 50MP (f/1.88) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766, ขนาดพิกเซล 1μm, รองรับ OIS กล้อง ultra-wide กว้าง 119.7 องศา 8MP (f/2.25), รองรับ EIS และ กล้องโมโน 2MP (f/2.5), ถ่ายวีดีโอ 4K ได้ที่ 30fps, slow motion 1080p ได้ที่ 120fps, 720p ได้ที่ 240 fps ส่วนภาพที่ได้ต้องบอกว่าเทพขึ้นเยอะมาก ทั้งกลางวันและกลางคืนในเลนส์ระยะปกติ เก็บแสงสีได้ดี และ กลางคืนไม่ต้องใช้โหมดกลางคืนก็เทพมากเช่นกัน รายละเอียดมาครบมากๆ

PORTRAIT 

SELFIE 32MP 

กล้องหน้าเซลฟี่ 32MP เซนเซอร์ Sony IMX615 ซึ่งเป็นกล้องด้านหน้าที่มีความละเอียดสูงที่สุดของ OnePlus ฟีเจอร์ Group Shots 2.0 ในกล้องด้านหน้าสามารถตรวจจับใบหน้าได้สูงสุดถึงห้าใบหน้าในแต่ละครั้ง และช่วยปรับลักษณะต่าง ๆ ตั้งแต่โทนสีผิวไปจนถึงรายละเอียดของใบหน้าให้ได้ภาพที่สวยยิ่งขึ้น มาพร้อมกับรูรับแสง F2.45 รองรับมุมมองภาพกว้าง 85 องศา และ รองรับการถ่ายโหมดต่างๆครบจัดเต็มทั้ง AI Beauty หรือว่าจะเป็นการถ่าย  Portrait ก็รองรับได้แบบสบายๆทำให้ถ่ายได้สะใจมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่ารูรับแสงอาจจะดูแคบไปเล็กน้อย แต่รุ่นนี้ให้โหมดกลางคืนกล้องหน้าใส่เข้ามาพร้อมใช้งาน รวมถึงกันสั่น EIS ในการถ่ายวีดีโอต่างๆครับ และที่ชอบคือความคมชัด และมุมมองของภาพนั้นกว้างและภาพดูเคลียร์กว่ารุ่นอื่นๆ และแอบดีกว่ารุ่นพี่ 9 / 9 Pro นิดๆ แต่รู้สึกว่าทางการจัดการโทนสีของผิวต่างๆนั้นน่าจะมีอัปเดตให้ภาพหลังเพราะแอบติดแดงและแปลกๆบางสภาพแสง

ONEPLUS NORD 2 5G 

” NORD ที่ลงตัวขึ้น เสริมด้วย A.I. พร้อมกล้องหลังที่โดดเด่นและ ชาร์จไว 65W “

ONEPLUS NORD เป็นซีรีส์ที่เปิดตัวออกมาได้หลากหลายรุ่นและแน่นอนว่ามีความโดดเด่นทั้งสีสัน การใช้งาน และรุ่นนี้ที่เน้นในเรื่องของการประมวลผล  AI เข้ามามีส่วนในหลายๆอย่างและการใช้งาน MediaTek Dimensity 1200-AI ที่ทาง OnePlus จับมือกับ MediaTek ในการพัฒนาระบบ AI อันนี้ถือว่าน่าสนใจ และเรื่องของกล้องหลังดึงเซนเซอร์เทพจากรุ่นพี่ มาเป็นกล้องหลักเลยทีเดียวพร้อมกับ OIS กันสั่นกล้องหลัก และยังคงใส่ลำโพงคู่มาให้เช่นเดิม ส่วนทางด้านหน้าจอนั้นแอบเสียดายว่า 90Hz ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไร แต่ส่วนอื่นๆนั้นไม่ธรรมดา รวมถึงชาร์จไว Warp Charge 65  ด้วยเช่นกันมากกว่าเดิมเท่าตัว จากรุ่นก่อนแค่ 30W ทำให้ภาพรวมมันลงตัวขึ้นเกือบทุกด้าน และ หัวใจหลักคือ CPU ที่พัฒนาพิเศษต้องมาดูกันว่าจะช่วยในการใช้งานจริงได้มากน้อยแค่ไหน และ ที่โดดเด่นในตัว Oxygen OS เองนั้น รองรับ การอัปเดต Software อย่างน้อย 2 รุ่น และแพทช์รักษาความปลอดภัย 3 ปีและในแง่ประกันนั้น ผู้ใช้งานสามารถเข้ามาใช้รับบริการหลังการขาย ซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ หรือตรวจเช็กสภาพเครื่องผ่าน OnePlus Service Center ที่ MBK Center ชั้น 5 และศูนย์บริการ OPPO Service Center ทั่วประเทศ ได้อีกด้วยถือว่าไว้ใจได้สบายๆ ทั้ง Hardware – Software เลยทีเดียว ในงบ 17-18K นี้

ข้อดี

  • งานออกแบบหรูหรา พรีเมียมมากขึ้น สวยขึ้น
  • กล้องหลังคุณภาพระดับเรือธง 50MP IMX766 + OIS จัดเต็ม
  • กล้องหน้า IMX615 32MP คุณภาพดี มุมมองกว้าง คมชัด
  • ใช้งาน MTK Dimensity 1200-AI โดดเด่นและพัฒนาขึ้นพิเศษ
  • ระบบ Oxygen OS ทำได้ลื่นไหล อัปเดตระยะยาว
  • มาพร้อมการใช้งานลำโพงคู่ เสียงเด่นมีมิติ
  • ระบบชาร์จไว Warp Charge 65 โหดขึ้นเท่าตัว
  • ลำโพงคู่ใช้งานได้ดี เสียงดัง และ มิติเสียงเด่น
  • การจัดการพลังงานทำได้ดี แบตอึด และ ไม่ร้อน
  • ใช้งาน UFS 3.1 อ่านเขียนได้ไว

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังไม่ขยับไปจากเดิมเท่าไรนัก
  • กล้องมุมกว้างยังไม่โดดเด่น
  • โทนสีกล้อง-หน้าหลัง เวลาถ่ายคนยังมีอมแดงอยู่บ้าง

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares