Oneplus 7 Pro แบรนด์นี้ได้กำจัดคำว่านักฆ่าเรือธงไปแล้ว และมันกลับกลายมาเป็นเรือธง ที่ดีกว่าเรือธงทั่วไป เป็นการพยายามยกระดับตัวเองครั้งใหญ่ และในครั้งนี้ถือว่าทำได้ดีมากๆเป็นโจทย์ครั้งใหญ่ทางแบรนด์ต้องทำให้คนเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพราะมีกระแสตอบรับที่อาจจะมองว่าราคาแพงพอสมควรแต่ถ้าเราเทียบกับราคาและสเปครวมถึงสิ่งต่างๆที่ได้กลับมาในครั้งนี้มันเปลี่ยนไปมากพอสมควรครับและอาจจะต้องเข้าใจกับตำแหน่งของมันใหม่ Oneplus 7 Pro ครั้งนี้มาแบบจัดเต็มทั้งกล้อง ประสิทธิภาพ หน้าจอ รวมถึงหน่วยความจำถือว่าปรับเยอะมากๆและรีวิวในครั้งนี้เรามาดูกันว่าแต่ละส่วนนั้นจะทำได้ดีสมกับการเป็น Super Flagship จริงไหมและทำได้ดีแค่ไหนกันครับ

เปิดตัวมาด้วยจุดเด่นที่ครั้งนี้ค่อนข้างจัดเต็มครั้งนี้ทาง Oneplus นั้นลงทุนพัฒนาไปค่อนข้างมากและได้การันตีระดับ A+ จากทาง DisplayMate มีความละเอียด QHD รองรับ HDR10+ และ RefreshRate 90Hz เลยทีเดียวพร้อมหน้าจอแบบ Fluid Display และในด้านของกล้องครั้งนี้ทำคะแนนขึ้นมาอันดับ 2 ได้ถึง 111 คะแนนจากทาง Dxomark และยังมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีมุมกว้าง เทเล และ มุมปกติอีกด้วย และยังมาพร้อมกล้องหน้าแบบ PopUp 16MP ที่ซ่อนอยู่ตามสมัยนิยมที่เน้นใช้งานหน้าจอแบบเต็มตาไม่มีติ่งหน้าจอ อีกทั้งในเรื่อง หน่วยความจำมาพร้อมกับ UFS3.0 และ พ่วงด้วย RAM 12GB อีกทั้งยังใช้ Snapdragon 855 พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวอีกด้วย และยังมาพร้อมระบบชาร์จไว Warpcharge 30 ครั้งนี้ยกระดับจัดเต็มสมกับเป็นที่สุดของเรือธง

Oneplus 7 Pro ในประเทศไทยนั้นเปิดตัวมาทั้งหมด 3 รุ่นหลักๆครับ

  • ONEPLUS 7 PRO : RAM 6 GB STORAGE 128 GB : MIRROR GRAY 24,990
  • ONEPLUS 7 PRO : RAM 8 GB STORAGE 256 GB : MIRROR GRAY 26,990
  • ONEPLUS 7 PRO : RAM 12GB STORAGE 256 GB : NEBULA BLUE 29,990

UNBOX

ตัวกล่องนั้นใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเก่าค่อนข้างชัดเจนทั้งเรื่องของขนาดตัวเครื่อง ที่ชาร์จอะไรต่างๆที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและยังมีในเรื่องของการออกแบบที่คล้ายๆกับรุ่นก่อนหน้า มีชื่อรุ่นและโลโก้ด้านบน ยังคงเอกลักษณ์โทนสีขาวแดงได้ดีมากๆในค่ายนี้  ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมแต่ในครั้งนี้ไม่มีตัวแปลง Type-C ไป 3.5 มม.แล้ว

  • ตัวเครื่อง Oneplus 7Pro
  • ตัวเคสใส TPU
  • ที่ชาร์จ WarpCharge 30W
  • สายชาร์จ Type-C
  • สติกเกอร์ คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน

ตัวเคสที่แถมมานั้นยังคงทำได้คุณภาพดีเหมือนเดิมมีเขียนชื่อแบรนด์แปะไว้ขอบเครื่อง และ คลุมทั้งหน้าและหลังได้ดี แต่ด้านหน้านั้นจากที่รุ่นก่อนนั้นจะมีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้แต่ในรุ่นนี้ด้วยการที่เป็นขอบจอโค้ง อาจจะทำให้การปกป้องนั้นไม่ได้ดีมากเท่ารุ่นก่อนๆ ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึงแต่ทำให้น้ำหนักโดยรวมนั้นค่อนข้างหนักขึ้นแบบรู้สึกได้เพราะเครื่องเปล่าจริงๆน้ำหนักมันก็มากพอสมควรอยู่เหมือนกัน

DESIGN

ในด้านการออกแบบรุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดในด้านหน้าที่มีการพัฒนาขึ้นแต่ในด้านหลังนั้นอาจจะไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรการวางกล้องยังคงวางตรงกลางและเป็น  3 กล้องแนวยาวแบบ Triple Camera แต่ในรุ่นที่ขายในไทยจะไม่มีเขียนว่า 48MP นะครับ และ ฝาหลังในรุ่น 12GB นั้นจะเป็นสีน้ำเงินแบบด้านค่อนข้างสวยงาม และเล่นกับแสงสีได้ดีมากๆ แต่อีกอย่างที่รู้สึกได้ถึงความหนาและมีน้ำหนักพอสมควรสำหรับตัวนี้และมีขนาดใหญ่แบบรู้สึกได้ในการจับถือ ส่วนหน้าจอนั้นเป็นแบบเต็มจอเต็มตาไม่มีติ่งและในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขอบโค้งครั้งแรกของทาง Oneplus

ทางด้านหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเต็มตามาในชื่อ Fluid AMOLED ขอบโค้ง ซึ่งมีขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ รีเฟรชเรท 90Hz ความหนาแน่นพิกเซล 516ppi อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9  และสว่างสูงสุด  800 NITS

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ  ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ ส่วนเรื่องไฟแจ้งเตือนนั้นไม่มีแล้วนะครับ จะใช้เป็นไฟแจ้งเตือนตรงขอบข้างหน้าจอแทนที่เป็นส่วนโค้ง

ในส่วนของกล้องหน้านั้นเป็นแบบ PopUp ความละเอียด 16MP ที่ซ่อนอยู่ในตัวเครื่อง ใช้เวลาเรียกใช้งานค่อนข้างไวมากๆและรองรับการใช้งานมากกว่า 3 แสนครั้ง รวมถึงมีทดสอบความแข็งแรงกันอีกมามากพอสมควร และมีระบบเก็บอัตโนมัติถ้าทำหล่นครับ

ขอบเครื่องส่วนล่างนั้นเป็นที่อยู่ ของถาดซิมแบบ Dual sim ( 2CA )รูไมค์ และ ช่องชาร์จแบบ USB-C รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องและในรุ่นนี้มีลำโพงคู่ ทำงานร่วมกันกับด้านบนนั้นเอง ตัวถาดซิมด้านล่างนั้นเป็นแบบใส่ซิมได้ 2 ซิมซ้อนทับกันคนละฝั่ง และจะเห็นว่ามีซีลยางอยู่ด้วยแม้จะไม่มี IP Rating กันน้ำแต่ก็ไว้ใจได้ระดับนึงเลยทีเดียวครับ

ขอบด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเห็นถึงความโค้งทั้งหน้าและหลังของตัวเครื่องและกระจกหน้าจอและฝาหลังที่โค้งรับมือได้ดี และมีการไล่เฉดสีของตัวเครื่องด้วย ส่วนปุ่ม Power และ สวิทช์ เลื่อนเสียง นั้นยังมีมาให้อยู่ฝั่งนี้ทั้งหมด

ตัวขอบเครื่องด้านบนจะเห็น รูไมค์อีกตัว และรวมถึงกล้อง PopUp ที่ซ่อนอยู่ตรงส่วนนี้ วัสดุขอบเครื่องเป็นแบบเงาทั้งหมด แต่มีการไล่เฉดสีที่แตกต่างกัน

ฝั่งขอบด้านซ้ายตัวเครื่องตัวนี้จะเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นและ ส่วนขอบเครื่องก็มีการเล่นสีเช่นเดียวกันกับอีกฝั่ง

ด้านหลังนั้นยังคงมีการออกแบบที่เรียบๆฝาหลังนั้นใช้วัสดุกระจกแต่มีการทำให้เป็นวัสดุแบบด้านเล่นกับแสงสีได้ค่อนข้างดีรวมถึงการจัดวางตำแหน่งกล้อง 3 ตัว ตรงกลางนั้น พร้อมกับโลโก้ Oneplus ฝาหลังนั้นโค้งลงมุมทั้ง 2 ข้างทำให้จับได้ค่อนข้างถนัดและถือได้ง่ายแม้จะมีเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่

กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกันทั้งหมด 3 ตัว แบบ  Triple Camara ซึ่งเป็น ตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล F1.6  OIS กล้องตัวรองนั้น 8 ล้านพิกเซล, 3x เลนส์ telephoto, f/2.4, OIS และ กล้องมุมกว้าง 16 ล้านพิกเซล เลนส์ ultra-wide ที่มีการเล่นลวดลายตรงขอบกล้องบนล่าง เป็นวงล้อมรอบ และในรุ่นนี้มาพร้อมกับกันสั่น OIS ถึง2 ตัวเลยทีเดียวครับ ส่วนช่องระหว่างกลางนั้นจะเป็นพวกเซนเซอร์ต่างๆในการโฟกัสนั้นเอง

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3120 x 1440) รีเฟรชเรท 90Hz
  • CPU : Snapdragon 855
  • RAM : 12GB
  • ความจุ : (UFS 3.0) 256GB ไม่รองรับ MicroSD Card
  • กล้องหลัง : เลนส์หลัก 48MP (f/1.6), เลนส์ซูมออพติคอล 3x ความละเอียด 8MP (f/2.4), OIS +     เลนส์ Ultra-wide angle 117 องศา ความละเอียด 16MP (f/2.2)
  • กล้องหน้า: 16MP (f/2.0)
  • ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม
  • ลำโพงคู่สเตอริโอ Dolby Atmos
  • สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • 2×2 MIMO, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, 2.4G/5G
  • 4G LTE 4×4 MIMO, LTE Cat. 18, DL 5CA, UL CA, Supports up to DL Cat18 /UL Cat13 (1.2Gbps /150Mbps), depending on carrier support รองรับ 2CA
  • แบตเตอรี่ : 4,000 mAh รองรับ Warp Charge 30W
  • ระบบ Android 9.0 ครอบด้วย OxygenOS 9.5

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 855 พร้อมกับ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวรวมถึง RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 เจ้าแรกที่วางขายอ่านเขียนเร็วกว่าเดิมเยอะมากง่ายๆเทียบกับคอมแบบ HD VS SSD นั้นแหละครับ ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 360505  คะแนน และ Geekbench ได้ไป 3420 /10737 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,429 MB/s และ DRM L1

SYSTEM UI

Android 9 Pie ที่ครอบด้วย Oxygen OS 9.5 และ OnePlus ยังเปิดเผยอีกว่ามันจะได้รับการอัพเกรดซอฟแวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้นเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด (จะอัพเกรดไปถึง Android 10 Q และ Android 11 R) และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวและไม่เจอหน่วงเลย

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 6T ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับแต่มีฟีเจอร์เข้ามาเช่น การอัดหน้าจอ หรือพวก Zen Mode ให้ใช้งานกันครับผม สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอพและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ

ตัวระบบ ใช้งานได้ 240 ครับ และ RAM 12 GB ใช้ไป 4.8 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม  สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ Gboard อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ

การใช้งาน Gesture นั้นยังคงมีมาให้ครบครัน ทั้งถ่ายหน้าจอ เคาะเปิดเครื่อง วาดตัวอักษรต่างๆและพลิกเพื่อเงียบ ในส่วนของปุ่มนำทางสามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ หรือจะสลับปุ่มก็ได้ด้วยครับ เปลี่ยนได้หมด และ เปิดกล้องอย่างเร็ว ท่าทางแถบเลื่อนด้านขวานั้นสามารถปรับได้ทั้งหมด ส่วนหน้าจอนั้นก็ปรับได้ว่าเอา 60Hz หรือ 90Hz ครับผม ปรับโทนสีของหน้าจอรวมถึงปรับตั้งค่าความละเอียดได้รวมถึงโหมดกลางคืนเป็นต้น

โหมดเล่นเกมนั้นก็มีมาให้เช่นเดิมพร้อมกับการปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม และมี Fnatic Mode เข้ามาเพิ่ม ส่วนแถบนำทางนั้นจะมีทั้งหมด 3 แบบคือ แบบ 3 ปุ่มปกติ / แบบ Android 9 / และแบบ Gesture ล้วนครับผม / การสแกนนิ้วนั้นสามารถเข้าใช้งานด่วนได้ด้วยว่าแตะค้างแล้วลากเข้าแอพได้สบายๆครับ

Fnatic game mode ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม และบล็อกการแจ้งเตือนที่จะมารบกวนระหว่างเล่นเกมอีกด้วย และช่วยปรับให้ traffic flow ของเกมดียิ่งขึ้น โดยลดการทำงานของแอพใน background ลง  อีกทั้งยังมี Zen mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานวางมือจากสมาร์ทโฟนในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง เหลือไว้แค่การแจ้งเตือนการโทรฉุกเฉิน และการใช้กล้อง ซึ่งเป็นการตัดสิ่งรบกวนไป ทำให้เรามีสมาธิในการทำงานหรือการเรียนมากขึ้นนั่นเอง

SCREEN

หน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของค่ายและเป็นเจ้าแรกที่ทำหน้าจอระดับ 90Hz AMOLED QHD+ ออกมาเลยทีเดียวครับ พร้อมกับหน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว ขอบจอโค้ง อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9 ความละเอียด QuadHD+ 3,120×1,440 พิกเซล (516ppi) รองรับ HDR 10+ รีเฟรชเรท 90Hz  สัดส่วนพื้นที่หน้าจอ 93.22% ถือว่าเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดและได้รับการันตี A+ จาก Displaymate กันเลยทีเดียวแน่นอนว่าเป็นไม่กี่ค่ายที่ทำได้ จอรุ่นนี้การออกแบบก็เต็มตาสะใจไม่มีติ่งหน้าจอมากวนใจและรองรับการดูหนังอะไรเต็มที่มากๆครับ การใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย 800 Nits อันนี้ลองใช้งานกลางแจ้งได้ดีมากๆครับ

ส่วนเรื่องมุมมองข้างๆนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีเหมือนกันด้วยความที่เป็นจอ AMOLED แล้วนั้นทำให้มุมมองที่ได้นั้นค่อนข้างคลอบคลุมได้ดีและมองได้ชัดเหมือนมองตรงๆไม่เจออาการเพี้ยนอะไรครับ แต่ถ้าใครการปรับเปลี่ยนจาก 60Hz มาเป็น 90-120 ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นต้องบอกว่ามันมีความแตกต่างกันแบบชัดเจนยิ่งใครใช้จอ 60 แล้วปรับมาเป็น 90 จะชอบและติดใจมากๆครับ คือแค่เลื่อนหน้าฟีดก็แตกต่างแล้วไม่ต้องเล่นเกมดูหนังอะไรครับกดเลื่อนดูรูปก็ลื่นแล้ว เป็นอีกจุดที่หลายๆคนไม่ควรมองข้ามเลยครับ 90Hz ทำให้เรากลับไป 60Hz ไม่ได้แน่ๆ ส่วนการสัมผัสก็ทำได้ติดนิ้วไวไม่มีปัญหาอะไรตัวนี้มีฟิลม์ติดกันรอยมาให้เลยจากโรงงานรองรับการใช้งานสแกนนิ้วอะไรได้ปกติเลยครับ

AMBIENT DISPLAY + NOTIFICATION 

สำหรับหน้าจออันนี้นั้นก็ยังรองรับ Ambient Display คือหน้าจอนั้นจะมีการติดแบบขาวดำ และ จะมีสีในตัวเลข 1 สีแดงเป็นเอกลักษณ์ครับ จะแจ้งเตือน เวลา ข้อความ และ ไอคอนการแจ้งเตือนต่างๆ และ วันที่ครับ สามารถเปลี่ยนหน้าตาได้ 4 แบบหลักๆตามที่แจ้งไว้ในส่วนของ Software เลย จะเปลี่ยนหน้าตานาฬิกา การวางเป็นหลักครับผม และสามารถตั้งข้อความพิเศษได้ และ ตั้งได้ว่าจะให้ติดตอนแตะหน้าจอ หรือจะติดตอนยกมือถือครับผม

เนื่องจากรุ่นนี้ไม่มีไฟแจ้งเตือนแล้วแน่นอนว่ามีทางเลือกอันใหม่เข้ามาแทนเป็นไฟแจ้งเตือนขอบข้างๆซึ่งจะแจ้งเตือนเวลาปิดจอแล้วบอกว่าแอพไหนรวมถึงมีข้อความขึ้นมาครับ แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อเปิดจอมันจะไม่ทำงานและ เมื่อปิดจอนั้นจะแจ้งเตือนแค่ครั้งเดียวครั้งแรกเท่านั้นถ้าส่งมาหลายๆข้อความก็จะไม่มีไฟแจ้งเตือนแบบในภาพแล้วนั้นเอง

SOUND

มาที่เรื่องของระบบเสียงกันบ้างครับระบบเสียงในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกรอบคือในด้านของลำโพงมาพร้อมลำโพงคู่มีเสียงที่ค่อยข้างดังเเละชัดเจน  ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆกับตัว 1+6T เลยแหละถ้าเทียบกับหูฟังและตัวแปลงเดียวกันนะ ขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับ ชนิดหูฟัง ปรับ EQ ได้ครับ และ ตั้งค่าได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก  ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย

SPEAKER 

ทางด้านลำโพงนั้นทาง Oneplus ได้ปรับปรุงหลังจากที่หลายๆคนบ่นกันมานานว่าลำโพงตัวเดียวสู้เรือธงรุ่นอื่น ไม่ได้เลยแน่นอนว่าครั้งนี้เค้าปรับมาแล้วรับฟังและนำมาพัฒนากันอย่างต่อเนื่องเพราะว่ามาพร้อมกับลำโพงคู่  แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีและเป็นครั้งแรกที่ค่าย Oneplus ใส่ลำโพงคู่มาครับ รุ่นต่อไปคงพัฒนาได้ดีกว่านี้ขึ้นไปอีกขั้น

GPS

ในเรื่องของการนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาตลอดที่ทดสอบมาไม่เคยเจอตัวไหนที่ให้บ่นเลยนะ และเช่นกันว่าในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 32 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลยแหละ และกลางแจ้งจับได้ 40 เลยทีเดียวครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอพนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอพ ไม่มีปัญหาใดๆ

BATTERY

แบตเพิ่มเข้ามาอีกครั้งและทะลุไป 4,000mAh และรองรับชาร์จไว 30W Warpcharge ด้วยถือว่าจัดเต็ม แต่ครั้งนี้หน้าจอระดับเทพมันค่อนข้างกินแบต และปรับจอ 60Hz นั้นช่วยได้นิดหน่อยแต่ไม่ได้มากนักครับ ที่ทดสอบนั้น ใช้งานทั้งวันตามภาพด้านบน นั้นอยู่ได้ 12 ชั่วโมง แบตเหลือ 15 ครับ จอเปิด 4 ชั่วโมงกว่า ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ครับผม ถือว่าทำได้กลางๆ และ เปิด 4G ไว้ตลอด แอบมีเล่นเกม ไป 1 ตาครับ ROV

WARPCHARGE 30

การชาร์จแบบใหม่ที่มาแทน Dash Carge ต้องบอกว่าเปลี่ยนชื่อใหม่ก็โหดเหมือนเดิมเลยแหละ WarpCharge 30w นั้นจ่ายไฟเข้า 5V/6A ที่ต้องใช้หัวชาร์จและ สายชาร์จของมันที่มาในกล่องเท่านั้น และเคลมกันว่า 20 นาทีก็สามารถใช้งานได้สบาย ทางเราจึงได้ทำการทดสอบในการใช้งานชาร์จแบตดูกันเลยว่าจะใช้เวลาเท่าไรและเต็มภายในกี่นาที จากที่ทดลองนั้นต้องบอกว่า ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้ % และแบตเต็มภายในนาทีเลยครับ ถือว่าเทียบกับความจุแบต 4,000 mAh นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างไวระดับนึงเลยเพราะแบตก็ให้มาเยอะกว่ารุ่นก่อนด้วยครับ

GAMING

สายเกมต้องไม่พลาดแน่นอนสเปคระดับนี้เราข้ามไปเลยก็ยังได้เพราะมันเล่นได้หมดแล้ว ! แถมมี Gaming Mode 2.0 พร้อมกับ Finatic Mode ช่วยในการแจ้งเตือนต่างๆขณะเล่นเกมส์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ตัวนี้มาพร้อม Snapdragon 855 + Ram 12gb เรียกได้ว่าสบาย ทั้ง ROV 60fps PUBG ROS ARK RAGM FORTNITE COD Mobile ทั้งหลายเล่นได้ลื่น ความร้อน 44-45 องศาในการเล่นติดกันระยะเวลานานพอสมควรครับ ในห้องปกติไม่มีแอร์นะ 855 นั้นมีความแรงมากและ ความร้อนในรุ่นนี้ก็อยู่ในระดับที่จะไปทางปกติของตัว 855 นะ สำหรับทางด้านเกมส์อื่นๆไปตามคลิปข้างล่างเลย และในรุ่นนี้มาพร้อมกับการระบายความร้อนด้วยของเหลวทำให้จัดการได้ดีระดับนึงแต่ต้องเข้าใจก่อนว่าทั้งหน้าจอ ทั้ง CPU แรงจัดเต็มมากอาจจะมีความร้อนอยู่นิดหน่อยและสูบแบตนั้นเองครับเวลาเล่นเกม แต่รุ่นนี้ก็รองรับการชาร์จและเล่นไปได้ด้วยการไฟเข้า 30W และระบบป้องกันในตัวครับ

CAMERA

สำหรับกล้องตัวนี้จัดเต็มด้วยกล้อง 3 ตัวด้านหลังแบบ Trlple Camera ที่ทำคะแนนไปได้ถึง 111 คะแนนในส่วนของกล้อง หลักๆนั้นเป็น กล้องหลัง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เทคโนโลยี Pixel Binning มาพร้อมกับ เซนเซอร์ Sony IMX586 พร้อมกับ รูรับแสงกว้าง f/1.6 พร้อมระบบลดการสั่นไหวแบบ OIS ที่ใส่เข้ามาให้ และตัวที่ 2 นั้น  ระยะซูม 3x Optical Zoom ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 มี OIS ด้วยเป็น ทั้งหมด 2 เลนส์เลยสำหรับ OIS กันสั่น  และอีกตัวนั้นเป็น กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-wide 117 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2 ไม่มี AutoFocus นะครับ และใช้ระบบโฟกัส PDAF, CAF และ Laser AF และ มีโหมด Ultra Shot และ Night Scape 2.0 เช่นกัน จากที่ได้ลองนั้นภาพโดยทั่วไปค่อนข้างอยู่ในระดับดี แต่ด้วยคะแนนที่สูงเราคาดหวังว่ามันจะดีกว่านี้ทั้งเรื่องของมิติภาพ คุณภาพรายละเอียด และการใช้เลนส์มุมกว้าง HDR บางทียังแอบแปลกๆรวมถึง โหมดกลางคืนที่ค่อนข้างแบนไปหน่อย แน่นอนว่าทาง 1+ ก็แจ้งมาว่าจะมีอัปเดตมาให้ดีกว่านี้แน่นอนครับ แต่รวมๆ ถ้ายกถ่ายเลยก็ถือว่าอยู่ในระดับดี และพัฒนาได้ดีกว่าเดิมพอสมควรครับ แต่มันดีกว่านี้ได้แน่นอนและจะมีอัปเดตตามมาครับ

PORTRAIT

NIGHTMODE 2.0 

SELFIES

กล้องหน้าในครั้งนี้มาในแบบ PopUp แล้วทำให้หน้าจอนั้นไม่มีติ่งหน้าจออะไรทั้งนั้น  กล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซนเซอร์ Sony IMX471 ค่ารูรับแสง F2.0 มีโหมดเซลฟี่ปรับได้ 3 ระดับ ซึ่งการเรียกใช้กล้องใช้เวลาค่อนข้างไวเลยนะเมื่อเทียบกับกล้องแบบนี้หลายๆค่ายและแน่นอนว่าตัวกล้องมาพร้อมกับการรองรับการถ่ายทั้ง Portrait คุณภาพกล้องหน้านั้นทำได้ดีทั้งรายละเอียดสีสันต่างๆและการเก็บขอบเป็นกล้องหน้าที่ทำได้ดีอีกค่ายมุมมองรับภาพได้กว้างพอสมควร

VIDEO

การถ่ายวีดีโอค่ายนี้เป็นจุดเด่นอีกอย่างคือรองรับการใช้งานถ่ายสูงสุดที่ 4K 60FPS / 30FPS FHD 60FPS / 30FPS และรองรับการถ่าย SuperSlowmotion ได้สูงสุด แน่นอนว่าเป็นไม่กี่ค่ายจากทางจีนที่รองรับการถ่าย 60FPS ในความละเอียด 4K และทำความนิ่งของกันสั่นได้ดีเลยนะเพราะรอบนี้มาพร้อม OIS 2 เลนส์และมี EIS เข้ามาเสริมช่วยอีกด้วยนั้นเอง ส่วนเรื่องของเสียงนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีอยู่แล้วและตัดเสียงได้ดีพอสมควรเลยแหละ

ONEPLUS 7 PRO 

“ลบคำว่านักฆ่าเรือธงออกไป มาครั้งนี้คือ ที่สุดของเรือธงเป็นการยกระดับครั้งใหญ่”

ตั้งแต่เปิดตัวก็ได้ยกระดับตัวเองขึ้นมาและแน่นอนว่าหลังจากที่ได้ลองต้องบอกว่ามันคุ้มค่าและสมกับคำที่ยกระดับขึ้นมาจริงๆทั้งเรื่องของหน้าจอที่ค่อนข้างเทพและสวยมาก รวมถึงงานประกอบวัสดุการออกแบบที่ลงตัวและพรีเมี่ยม อีกทั้งในเรื่องของกล้องและประสิทธิภาพตัวเครื่องไม่ต้องกังวลเลยครับในระดับนี้ เป็นอีกครั้งที่ทำได้น่าประทับใจ และในเรื่องของการอัปเดตก็ทำได้ไวและระบบที่ลื่นไหลทำให้มันเป็นเรือธงได้ไม่ยากเท่าไรนัก และยังได้ UFS 3.0 ทำให้การใช้งานนั้นเซฟอะไรได้ไวมากๆ

ข้อดี

  • หน้าจอทำได้สวยที่สุดที่สุดในบรรดาเรือธง ทั้งการออกแบบและคุณภาพ
  • ระบบ Oxygen OS ทำได้ดีเสมอ
  • การออกแบบงานประกอบดูดีและสวยงาม
  • มาพร้อมลำโพงคู่ และ ระบบสั่นที่ดีขึ้น
  • ประสิทธิภาพแรงและใช้งานได้ลื่นไหล
  • หน่วยความจำแรงที่สุดในตอนนี้ UFS 3.0
  • สแกนนิ้วทำได้ไวและแม่นยำ

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างมีน้ำหนัก
  • ไม่มีหูฟัง หรือตัวแปลงแถม
  • แบตลดค่อนข้างไวเมื่อปรับจอเป็น 90Hz

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares