MSI เป็นแบรนด์ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันครับในสาย Gaming ที่ออกสินค้ามาค่อนข้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฝั่ง PC หรือ Laptops และในครั้งนี้ทาง MSI ได้ออก Gaming Notebook ในตระกูล Bravo ตัวล่าสุดออกมาแล้วโดยจะเป็นการใช้งาน ทีม AMD ทั้งเครื่องไม่ว่าจะเป็น CPU GPU ครับ และได้ใช้งาน 7nm ทั้ง 2 ตัวเลยเช่นกัน ในรุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่เปิดตัวใช้งาน AMD ต่อจาก MSI ALPHA 15 ครับ แต่ถ้านับเรื่องของความใหม่แน่นอนว่าตัว BRAVO นั้นจะใหม่กว่าเช่นกัน และในเรื่องของจุดเด่นในรุ่น BRAVO 15 นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องความบางเบาที่ทำได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆเพราะในรุ่นนี้ น้ำหนักเพียง 1.96 เท่านั้น ส่วนทางด้านสเปกก็ใช้งานได้ดีเลยแหละในเรื่องของหน้าจอ 120Hz พร้อมกับ Ryzen 7 4800H และ RX5500M รวมถึงใช้งาน RAM 8 GB 3200MHz ด้วยเช่นกัน และในเรื่องของราคานั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับสเปกและใช้งานต่างๆ ส่วนในการใช้งานจริงนั้นมาอ่านกันได้เลย

MSI BRAVO 15 เปิดตัวมาพร้อมกับ CPU Ryzen 7 4800H ความเร็ว 2.90 – 4.20GHz โดยเป็นแบบ 8 คอร์ 16 เธรด / การ์ดจอ AMD Radeon RX5500M (4GB GDDR6) ใช้งาน RAM 8 GB Bus 3200 MHz  และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512 GB แน่นอนว่า ในเรื่องของหน้าจอนั้นมาพร้อมกับขนาด 15.6″ IPS 120 Hz  รองรับ Free sync ด้วยทำให้ภาพนั้นลื่นไหลขึ้น และในการเชื่อมต่อไร้สายนั้นใช้ Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.1 ส่วนการระบายความร้อนนั้นยังคงมาพร้อมกับ Cooler boost 5 ส่วนในเรื่องชองเสียงนั้น ตัวนี้เด่นๆเลยในเรื่องของการรองรับ Hi-Res Audio ที่รองรับเสียงคุณภาพสูงได้ อีกทั้งยังมาพร้อม Nahimic audio ตัวช่วยในการปรับแต่งเสียง ในการเล่นเกมให้ในเรื่องของทิศทางและความชัดเจนมีมิติมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

MSI BRAVO 15 นั้นมาพร้อมกับ 2 รุ่นสเปกที่แตกต่างกันในเรื่องของ CPU นั้นเองครับ 

  • Ryzen 5 4600H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz    ราคา 29,990 บาท
  • Ryzen 7 4800H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz.    ราคา 32,990 บาท

UNBOX

  • ตัวเครื่อง MSI BRAVO 15
  • ที่ชาร์จ ADAPTOR 180W
  • คู่มือ ในการใช้งาน และ รายละเอียดรับประกัน

DESIGN

ทางด้านงานออกแบบนั้นยังคงเอกลักษณ์ของค่ายนี้ได้ดีในเรื่องของรูปทรงงานออกแบบครับ ส่วนในรุ่นนี้จะเป็นรุ่น BRAVO ที่จะเปลี่ยนโลโก้อะไรให้แตกต่างกับรุ่นทั่วไปครับ จะเป็นโลโก้นกธันเดอร์เบิร์ด ที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างกับรุ่นทั่วไปชัดเจนครับ แต่ในฝาหลังอันนี้จะไม่ได้สีแสงไฟอะไรครับแต่โลโก้นกจริงๆ มันจะเป็นสีเขียวแบบในตัว Wallpaper ครับ ทางด้านวัสดุนั้นเป็นโทนสีดำทั้งเครื่องตัดกับสีแดงตรงคีย์บอร์ด วัสดุเป็นโลหะปัดลายสวยงามในฝาหลังครับ ตัดกับโลโก้สีเงินได้ดี และลวดลายแบบนี้เราคุ้นเคยกันดีในหลายๆรุ่นก่อนหน้าของ MSI ครับ ส่วนอีกจุดเด่นคงไม่พ้นในเรื่องของน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา 1.96 kg. แม้จะเป็นสายเกมมิ่งในราคาไม่แพง และ ความหนากำลังดี

ดีไซน์ในภาพรวมนั้นค่อนข้างเรียบๆครับ โทนสีดำทั้งหมดดีไซน์ยังคงไม่ได้หนีจากรุ่นอื่นๆของตระกูลนี้เท่าไรนักงานประกอบวัสดุอะไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้จะไม่ได้รู้สึกแบบรุ่นพี่ตัวอื่นๆแต่ถ้ามองในเรทราคานี้กับคู่แข่งตัวอื่นๆก็ถือว่าใช้งานได้ค่อนข้างพอใจครับ ฝาหลังเรียบๆวัสดุสีดำ พร้อมกับข้างในก็ใช้งานวัสดุแบบเดียวกันและตีดด้วยคีย์บอร์ดสีแดงทั้งหมด ไม่สามารถเปลี่ยนสีอะไรได้นะครับ ส่วนขอบหน้าจอก็ทำได้บางขึ้นเยอะพอสมควรแต่ขอบบนนั้นยังอยู่เป็นเพื่อนที่สำหรับ กล้องหน้าพร้อมกับตัวไมค์ ครับและโลโก้ MSI ตรงข้างในเป็นสีดำเรียบๆครับไม่เด่นเท่าไร

ด้านในนั้นด้านบนส่วนคีย์บอร์ดนั้นไม่มีช่องระบายอากาศ หรือดูดอากาศเข้าอะไรครับเป็นพื้นที่เรียบๆพอสมควรและการระบายความร้อนจะออกไปข้างด้านหลังเครื่องเป็นหลักจะเห็นว่าโลโก้ MSI นั้นเป็นสีดำมองยากพอสมควรครับ และตรงแป้นพิมพ์ข้างในนั้นวัสดุเป็นการเล่นลวดลายปัดลายตรงแบบเดียวกับฝาหลังแต่เป็นพลาสติกแทนครับ ตรงส่วนของคีย์บอร์ดนั้นมีความเว้าอะไรเข้าไปเล็กน้อย พร้อมกับปุ่มเปิดปิดเครื่องที่ค่อนข้างแปลกตาเป็นวัสดุเดียวกับฝาทั้งหมดแต่สามารถกดลงไปได้ ไม่ใช่แบบปุ่มลอยขึ้นมาครับพร้อมกับมีไฟสถานะตรงปุ่มมาให้ด้วยครับ และมุมขวาล่างนั้นเป็นการบอกสเปก และชื่อรุ่นในภาพรวมเหมือนกับรุ่นอื่นๆของค่ายนี้ มีพื้นที่สำหรับวางมืออะไรนิดหน่อยแม้จะใช้งานหนักๆตรงนี้ก็ไม่ร้อนเท่าไรด้วยครับ ถือว่าในการจัดการความร้อนในการวางมือส่วนใช้งานนั้นทำได้ค่อนข้างดี

ขอบหน้าจอนั้นทำได้ค่อนข้างบางในส่วนของขอบข้างๆครับ แต่ในด้านบนนั้นมีความหนาอยู่พอประมาณเลยทีเดียวและตัวด้านบนนั้นจะเป็นกล้อง Webcam ความละเอียด HD พร้อมกับไมค์สำหรับอัดเสียงครับ อีกทั้งตัวรอบๆขอบจอนั้นไม่ได้มียางรองอะไรแต่จะเป็นขอบยกสูงขึ้นมารอบขอบจอครับ และจะเห็นว่าหน้าจอนั้นใช้งานแบบด้านทั้งหมดในการเล่นเกมจอด้านนั้นต้องบอกว่าให้ผลที่ค่อนข้างดีในการเล่นเกมและแสงรบกวนนั้นถือว่าน้อยมากด้วยเช่นกัน

ฝาหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับลวดลายใหม่และจะเห็นว่าเป็นรุ่นที่เปิดช่องระบายค่อนข้างเยอะมากๆจนเราสามารถเห็น heat pipe ได้เลยครับทั้งส่วนของตรงกลางเครื่อง และ ขอบซ้ายขวาขอบเครื่องด้านบนครับ และยังเปิดช่องในนุมซ้ายล่างของเครื่องสำหรับการระบายเพิ่มเติมด้วย และด้วยพัดลมตัวนี้ระบายได้ 3 ทิศทางครับจริงๆในเรื่องของการระบายความร้อนถือว่าไม่น่าเป็นห่วงทั้งตัวช่องระบาย พัดลม และ Heat Pipe และในการระบายของ Cooler Boost 5 ที่พัฒนามาต่อเนื่องนั้นเอง ส่วนช่องข้างหลังยิงออก 1 ฝั่งท้ายเครื่องเหมือนกับรุ่นอื่นๆครับ

ในส่วนของการอัพเกรดนั้นเมื่อเปิดฝาหลังออกมาเราจะเห็นว่า Heat Pipe ค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยครับ จัดเต็มๆมา 6 เส้นพร้อมกับพัดลมคู่  และ RAM ให้มา 8 GB 3200 MHz และมีช่องว่าง 1 ช่องสำหรับการอัพเกรดครับ ส่วนในการอัพเกรดนั้นจะเห็นว่าตัว SSD M.2 Nvme ที่มาพร้อมกับ 512GB แต่ก็มีอีกช่องให้มาสำหรับการอัพเกรด อีก 1 แถวได้เลยสำหรับเพิ่มความจุถือว่ารองรับการใช้งานได้สบายและอัพเกรดได้ แต่น่าเสียดายไม่มีที่สำหรับ HDD หรือ SSD SATA อะไรพวกนั้นยังไม่รองรับการอัพเกรดนั้นเอง แต่ภาพรวมถือว่างานข้างในดูดีขึ้นและอิสระในการอัพพอสมควรครับ และการระบายความร้อนในการเป่าออกทั้ง 3 ทิศทางนั้นถือว่าเป็นจุดที่ทำได้ดีพอสมควรครับ

SPEC

  • CPU AMD RYZEN 7 4800H
  • GPU AMD RADEON RX5500M 4GB DDR6
  • หน้าจอ 15.6″ FHD (1920×1080), 120 Hz, IPS-Level
  • RAM 8 GB DDR4 3200 MHz + รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
  • SSD M.2 SSD slot (NVMe PCIe Gen3) 512 GB  รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
  • กล้องหน้า HD type (30fps@720p)
  • Backlight Keyboard ไฟสีแดง
  • Gb LAN 802.11 ax Wi-Fi 6 + Bluetooth v5.1
  • 2x 2W Speaker
  • 1x RJ45 1x (4K @ 30Hz) HDMI 2x Type-C USB3.2 Gen1 2x Type-A USB3.2 Gen1
  • 180W adapter
  • 1.96 kg

PERFORMANCE

ในรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีครับใช้งาน AMD Ryzen 4000 Series  มากับเจ้า AMD Ryzen 7 4800H ขนาด 7nm 2.9-4.2 GHz 8 Core/16 Thread L3 Cache 12MB และในส่วนการ์ดจอ นั้นก็ใช้ทีมแดงเช่นกันคือตัว RX5500M  มาพร้อมกับ 4 GB GDDR6 และทางด้าน Ram ให้มา 8 GB DDR4 bus 3200 2 ช่องใส่มาให้ 1 ช่องคือ 8 GB รองรับได้ 32 GB สูงสุดนั้นเองครับ ส่วน SSD 512 GB PCIe® Gen3 SSD M.2 ให้มาเรียบร้อยและ มีช่องว่างโล่งๆ 1 ช่องสำหรับใส่เพิ่มได้เลย และมาพร้อมกับ Windows 10 เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลยครับ

PCMARK

นั้นทำคะแนนไปได้ค่อนข้างสูงมากๆแน่นอนว่าตัว Ryzen 7 4800H นั้นทำออกมารอบรับพวกนี้อยู่แล้วครับทำ ไปได้ 5341 คะแนน จริงๆพวกระดับราคานี้การใช้งานทั่วไปทำงานคงไม่ต้องกังวลตอบโจทย์ทำงาน ทั่วไปแทบจะทุกรูปแบบครับ ไม่ต้องห่วงเลยแหละ ตั้งแต่ Word ไปยังตัดต่อ เรนเดอร์ 3 มิติ งานเขียนงานวาดแปลนบ้านทุกอย่าง และ รองรับได้สบายด้วยความแรงทั้งหมดถือว่าชิลๆและดีกว่าตัว i7 9750H อยู่ด้วยในคะแนนส่วนนี้ครับ ส่วนในการทดสอบนั้นเป็นอุณหภูมิปกติ เช่นเดิมไม่ได้เปิดแอร์ แต่ถ้าเปิดแอร์นั้นจะได้คะแนนประมาณ 5,400 คะแนนครับ

3DMARK

นั้น ทำคะแนนเรียกได้ว่าสูงในการทดสอบทั้ง 4 แบบนะครับ ตัว FIRESTRIKE EXTREAM ที่เน้นไปเจาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ระดับท็อป เกมมิ่ง ทำคะแนนได้ 5857 ถือว่าดี ทดสอบตัวเทพสุด FIRESTRIKE ULTRA 3216 คะแนนในแบบที่โหดๆขึ้นมานั้นเอง ต้องบอกว่าผ่านการทดสอบใช้งานระดับสูงๆของ 3D Mark สบายๆ ส่วนในเรื่องความร้อน แอดมินทดสอบต่อเนื่อง 4 แบบ และในส่วนของ TIME SPY ทำได้ 4428 และ EXTREAM 2101 ครับ แต่เรื่องความร้อนนั้นถือว่าจัดการได้ดีนะ  ความร้อน  CPU 82 GPU 76

CINEBENCH R20 R15 / SSD 

R15 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูง เลยแหละ R15 นั้นทำได้ 1738 cb/ 94.23 FPS ประมวลผลหนักๆได้แบบสบายมากๆและดีกว่าพวกรุ่นก่อนหน้านี้แบบชัดเจนครับผมส่วนเรื่องความร้อนนั้นตามที่แจ้งไป ทดสอบในอุณหภูมิห้อง ไม่มีเปิดแอร์ นะครับผม R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผลตัวโหดกว่า R15 คะแนนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกันครับดีกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก และทำได้ดีกว่าตัว i7 9750H ด้วยนะ ในตัว R20 นั้นที่ประมวลผลหนักหน่วงกว่าเดิม ทำคะแนน 4002 CB เลยครับ ดีกว่าพวกรุ่นปกติเยอะเลย และ เช่นเดิมทดสอบในสภาพอากาศปกติไม่มีแอร์ครับ ทำได้ดีทั้ง Single และปกติ ส่วนตัว SSD นั้นทำการอ่านเขียนไป 1624 MB/s และ 916 MB/s  ถือว่าค่อนข้างน้อยพอสมควรจริงๆถ้าใส่ตัวเทพเข้ามาน่าจะทำประสิทธิภาพได้ดีกว่านี้ แต่ตัวนี้ก็สามารถใส่ได้เพิ่มอีก 1 แถวนะครับในการอัพครับ ความเร็วประสิทธิภาพอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งตัวอื่นๆเลย

SCREEN

ทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอ IPS LEVEL ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 15.6 นิ้วและใช้งาน 120 Hz ในเรื่องของความลื่นไหลในการใช้งานนั้นถือว่าทำได้ดีครับ หน้าจอใช้งานหน้าจอแบบ Anti-Glare แบบด้านทำให้รองรับการเล่นเกมทำงานได้ดีครับ แสงถือว่ามีความสว่างได้ดีใช้งานข้างนอกได้สบายสู้แสงง่ายครับ และด้วยความที่ได้ 120 Hz ทำให้ลื่นไหลและมี Free sync ทำให้ภาพนั้นไม่ฉีกขาดด้วยเป็นข้อดีของระบบนี้ครับ และงานออกแบบหน้าจอยังได้ขอบบางข้างๆแค่ 4.9 มม เท่านั้นแต่ขอบจอด้านบนนั้นถือว่ามีความหนาอยู่ในพื้นที่ของกล้องหน้าครับหน้าจอนั้นแน่นอนว่าแม้จะเป็นสายเกมมิ่งแต่ได้จอ IPS มาก็ถือว่าน่าสนใจครับ มุมมองอะไรไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องของความแม่นยำของตัวสีหน้าจอนั้นต้องบอกกันตรงๆว่าประมาณ 60% ใกล้เคียงกับคู่แข่งอีกค่ายเลย

หน้าจอเมื่อมองเอียงๆนั้นถือว่าทำได้ดีอยู่นะเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆหรือแม้แต่คู่แข่งอีกรุ่น มุมมองอะไรถือว่าสมกับเป็นหน้าจอแบบ IPS แต่แน่นอนว่ามุมมองดี แต่เรื่องของความแม่นยำของสีในการใช้งานถ้าใครเอาไปทำงานนั้นต้องบอกว่าอาจจะต้องต่อจอนอกน่าจะดีกว่ารวมถึงถ้าใครที่เน้นเรื่องความแม่นยำในการทำงาน ปริ้นภาพ หรือ ทำกราฟิกอาจจะต้องดูเรื่องสีกันอีกทีครับ เพราะว่าหน้าจออาจจะไม่ได้แม่นเท่าไร แต่ถ้าเอามาเล่นเกมหนักๆแน่นอนว่าตัวจอนี้ไม่มีปัญหาเลยครับ พร้อมกับเวลาหันกล้องอะไรพวกนี้บอกเลยว่าลื่นไหลและภาพไม่ฉีกขาดเลยแม้แต่น้อยครับรุ่นนี้

KEYBOARD

ทางด้านคีย์บอร์ดในรุ่นนี้นั้นถือว่ารูปทรงอะไรเปลี่ยนใหม่นิดหน่อยตัดปุ่ม Numpad ออกไปครับและปุ่มอะไรแน่นเต็มมากกว่าเดิม อีกทั้งปุ่มยังเป็นไฟ RGB สีแดงเช่นเดิมเลยและใช้งานจาก Steel Series เหมือนเดิมครับเรื่องของความรู้สึกในการใช้งานเล่นเกมอะไรยังคงแน่นดี และเด้งรับได้ดีครับแน่นอนว่าด้วยข้อจำกัดด้วยความบางอะไรนั้นเลยทำให้ระยะของปุ่มมันไม่ได้ลึกอะไรมากครับ  แต่ก็ไม่ได้ตื้นหรือกลวงเกินไปชอบที่ระยะกดและความแน่นของแต่ละปุ่มนั้นทำได้ดีครับ และตัวอักษรอะไรค่อนข้างชัดแต่เสียดายในเรื่องของไฟ RGB นิดหน่อยน่าจะเปลี่ยนได้ครับ และสามารถปรับได้ 3 ระดับสำหรับตัวไฟ ส่ว่นการวางปุ่มอะไรนั้นเหมือนกับรุ่นอื่นๆครับใช้งานไม่ยากและปรับตัวง่าย

ทางด้านการใช้งานจริงๆตัวปุ่มนั้นมีระยะห่างแต่ละปุ่มค่อนข้างน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ แต่ก็กดได้ดีเพราะตัวปุ่มมันใหญ่แบนมากขึ้นนั้นเองครับ ความรู้สึกเวลากดปุ่มนั้นรู้สึกแน่นและกดตรงส่วนไหนของปุ่มก็ได้รู้สึกดีตรงจุดนี้ กดขอบปุ่ม หรือ ตรงกลางปุ่มก็ให้ความรู้สึกเดียวกันไม่โยก ไม่เอียงครับถือว่าคีย์บอร์ดของค่ายนี้จริงๆแอดมินใช้มาตั้งแต่ยุค GE62 ก็ชอบคีย์บอร์ดค่ายนี้พอสมควรครับ และในรุ่นนี้ปรับอะไรให้มันลงตัวขึ้นปุ่มเรียบมากขึ้นแต่ใหญ่แบนมากขึ้นนั้นเอง

TOUCHPAD

ทัชแพดในรุ่นนี้ใช้งานวัสดุคนละแบบกับตัวเครื่องครับ เป็นแบบด้านเรียบๆไม่ได้มีลวดลายอะไรครับขนาดของทัชแพดนั้นถือว่ากำลังดีไม่ได้ใหญ่มากหรือเล็กมากด้วยความที่เป็นสายเกมจริงๆ พวกทัชแพดนั้นถือว่าไม่ค่อยได้ใช้เท่าไรครับแต่ก็มีไว้ยามจำเป็นเวลาทำงานข้างนอกได้อยู่ ส่วนการออกแบบคลิกซ้ายขวา ซ่อนเนียนอยู่ในทัชแพดไม่ได้มีปุ่มแยกหรือขีดแยกอะไรถือว่าค่อนข้างแตกต่างกับรุ่นอื่นๆ ส่วนความรู้สึกความลื่นไหลนั้นทำได้ดีนะ แต่เวลากดดูไม่ค่อยแน่นไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรดูกลวงๆตรงระยะกดและเสียงต่างๆแอบรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย จริงๆในเรทราคานี้เจอในหลายๆยี่ห้อเหมือนกันครับ เวลากดลงไปซ้ายขวาเลยไม่ได้แน่นมากเท่าที่ควรสำหรับการใช้งาน ทัชแพดของรุ่นนี้นั้นเองครับ

SPEAKER 

ลำโพงในรุ่นนี้มาให้ 2 ตัวซ้ายขวาเสียงถือว่ากำลังดีเลยแหละ เสียงที่ออกมานั้นถือว่ามิติของเสียงนั้นทำได้ดีระดับนึงในการเล่นเกมฟังเพลงครับ เสียงที่เด่นๆคือความดังที่ทำได้ดีเลยแหละสามารถเล่นเกม ฟังเพลงเสียงดังได้สะใจเลยทีเดียว แต่เสียงปืนเวลายิง หรือ ระเบิดนั้นยังไม่ได้แน่นสะใจเท่าไรนัก แต่ก็ยังสามารถปรับเสียงเพิ่มมิติเสียงเบส EQ อะไรพวกนี้ได้อยู่บ้างครับ และเสียงรอบทิศทางนั้นก็สามารถปรับได้ ถ้าเน้นเล่นเกมเสียงคนพูดอะไรชัดเจนดี แต่เสียงยิงปืนอะไรนั้นยังไม่ได้แน่นเท่าที่ควรครับ แต่ถ้าเอาเรื่องความดังสะใจตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์อยู่เช่นกันนะ แยกชัดเจน

CONNECTOR

ทางด้านพอร์ตเชื่อมต่อนั้นในรุ่นนี้จะค่อนข้างจัดหนักมาที่ด้านขวาของเครื่อง เป็นหลักครับจริงๆด้านนี้แอบเกะกะพอสมควรถ้าคนถนัดขวาแบบแอดมินใช้งานจะเกะกะมากๆเวลาใช้งานเมาส์ครับ ไม่ค่อยชินเท่าไร ในด้านนนี้จะเป็น รู 3.5 Combo พร้อมกับ USB-A 3.1 รวมถึง USB-C 3.1 ทั้งหมด อย่างละ 2 ช่อง และ LAN RJ45 พร้อมกับตัวล็อก Kensington ส่วนช่องระบายฝั่งนี้จะไม่มีนะครับไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด

ทางด้านฝั่งซ้ายนั้นเราจะเห็นเป็นช่อง ระบายความร้อนอีกฝั่งและรูสำหรับเสียบไฟเข้านะครับ และยังดีที่ใส่ HDMI มาให้ในฝั่งนี้ด้วยยังไม่ได้ตัดออกไป แต่ขอบ่นหลักๆเลยคือฝั่งนี้จริงๆน่าจะใส่ USB มาให้อีกสำหรับใช้งานทั่วไปหรือเมาส์ หรือเสียบทำงานเพราะอีกฝั่งนั้นเราจะเห็นว่ามันค่อนข้างแน่นและเกะกะเวลาเสียบใช้งานเมาส์เยอะพอสมควร

DRAGON CENTER 

สำหรับตัว DRAGON CENTER นั้นจะเป็น Software ที่จะช่วยปรับแต่ง อัปเดตไดรเวอร์ รวมถึงการดูสถานะของตัวเครื่องได้ทั้งหมดครับไม่ว่าจะเป็นการทำงานของ CPU GPU SSD RAM ทั้งหลายรวมถึงดูสเปกในการใช้งานส่วนอื่นๆและรวมถึงตั้งค่าเกี่ยวกับการเล่นเกมของตัวเครื่องว่าจะให้ปรับอะไรยังไงได้ครับ และยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการสตรีมเกมจากมือถือมาลงผ่านตัวคอมได้โดยไม่ต้องมีพวก Capture Card เลยครับ และยังรองรับการดูสถานะเวลาเล่นเกมความร้อนอะไรพวกนี้ได้ด้วย รวมถึงการเซฟเก็บ highlight ในแต่ละช่วงได้ด้วยในตัวเลยนั้นเองครับถือว่าเป็นโปรแกรมที่ให้อะไรมาเยอะมากๆในการ ดูสถานะ ปรับแต่งประสิทธิภาพของเครื่องในการใช้งานให้เต็มที่

WORKING

ในการทำงานแน่นอนว่าแม้จะเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับสายเกม แต่ด้วยประสิทธิภาพในตอนนี้ ยุคนี้ยุค AMD 7nm แบบนี้ สายทำงานต้องหันมามองเจ้านี้เยอะขึ้นมาแน่ๆการประมวลผลการทำงานของแต่ละส่วนแยกกันได้ชัดเจนและไม่มีอาการหน่วงหรือค้างอะไรแม้จะทำงานหนักๆทั้ง 3-4 โปรแกรมได้เลยครับถือว่ายกข้อดีให้กับทาง CPU Ryzen 7 ตัวใหม่ในรหัส 4800H เลยจริงๆการทำงานเลยขอยกตัวอย่างการทำงานจริงมาให้ชมกันครับทั้งในเรื่องของงานออกแบบ งานเรนเดอร์ทำคลิป หรือจะเป็นงานด้าน 3 มิติ รองรับได้สบาย และ เรื่องความร้อนอะไรก็จัดการได้ดีครับต้องบอกว่าทางแอดมินเองก็ใช้ MSI สายเกมทำงานมาก่อนและแบรนด์นี้แหละที่แอดมินใช้มาช่วงเรียนมหาลัยครับถือว่าสายเกมนั้นทำงานได้ดีไม่แพ้กันเลย อีกทั้งยามว่างก็สามารถเล่นเกมได้ด้วยเป็นเครื่องเดียวจบสำหรับเราเลยครับ

LUMION 

ลูเมียนโปรแกรมในการทำงานเรนเดอร์ตึกเป็นแบบวีดีโอหรือ อนิเมชั่นล้วนๆเลยครับทำให้เราสามารถเรนเดอร์แบบวีดีโอเดินพาชมตึกใส่คนเดิม หรือจะเป็นการใส่สภาพแวดล้อมให้ใกล้เคียงกับภาพที่เราอยากได้มากที่สุดครับและเป็นการเรนเดอร์ที่ใส่พื้นผิวท้องฟ้าได้ค่อนข้างสมจริงรวมถึงการจัดแสง จึงเป็นโปรแกรมที่เน้นการใช้ CPU แบบหนักหน่วงครับ ในการเรนเดอร์ทดสอบโดยการเรนเดอร์แบบเดียวกับรุ่นอื่นๆ ในความละเอียด 4K เพื่อในการเทียบเวลากับตัวอื่นซึ่งในรุ่นนี้จะใช้เวลาเรนเดอร์ไป 2.09 ชั่วโมง จริงๆแอบแตกต่างกับรุ่นอื่นๆอาจจะเป็นที่อัปเดตไดรเวอร์ยังไม่ปล่อยตัวล่าสุดมาเลยยังมีแปลกๆอยู่ครับแบบเดียวกับที่เจอกับเกม MW แต่ถ้าเทียบกับ i7 ก่อนหน้าทำเวลาไป 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ยังถือว่าไวกว่า i7 9750H อยู่บ้างและ รวมถึง ตัว Ryzen 3000 Series ก็ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงเลย

PREMIRE PRO 

CPU เลยขอเอามาทดสอบเรนเดอร์กันหน่อยครับว่า 4K 60 FPS นั้นทำได้ดี ในตัวนี้ จะเรนเดอร์ได้ภายใน 24 นาที แต่ถ้าใช้งาน i7 9750H นั้นจะใช้เวลาประมาณ 37 นาที และในการเรนเดอร์คลิปต้องบอกว่ามันมีผลแบบชัดเจนถ้าเราเอาคลิปแต่ละเครื่องมาเทียบกันกับระยะเวลาในการเรนเดอร์ครับโดยทางเราทดสอบในการเรนเดอร์คลิปแบบเดียวกันทั้งหมด ถือว่าจัดการในการทำเวลาค่อนข้างต่างกัน แต่จะเท่าๆกับตัว Ryzen 7 4800HS เลยครับ

SKETCH UP

ในงานนี้ก็เป็นการทดสอบแบบจัดเต็มเลยคือเรนเดอร์ไฟล์ความละเอียดสูงพร้อมกับใส่ Texture ที่อิงกับแสงและทั้งตัวกระจกเองรวมถึงดีเทลในอาคารก็ถือว่าเป็นการทดสอบได้ดีครับ แต่ถ้าอยากหนักกว่านี้แนะนำเลยว่าใส่ต้นไม้และท้องฟ้าอาคารข้างหลังจะรู้เลยว่ามันทำงานไหวไหม ซึ่งจริงๆก็ลองอยู่ต้องบอกว่าไหวสบายครับแต่ความร้อนจะมีขึ้นมากกว่าปกตินิดหน่อย แต่ที่เรนเดอร์ในภาพตัวอย่างนั้นจะทดสอบเทียบกับคอม RTX ทั่วไปครับ เลยได้คร่าวๆว่าตัว GAMING จะเรนเดอร์พวกนี้คือ 110 นาที แต่ถ้าที่ทดสอบนั้นทำได้ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ถือว่าไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรกับคอมสเปกแรงๆ ครับถือว่าระยะเวลานั้นทำได้ค่อนข้างไวพอสมควรเลยแหละ ประหยัดเวลาไปเยอะในการเรนเดอร์ครับ แน่นอนว่าข้อนี้ยกให้กับ Ryzen ตัวใหม่และการจัดการความร้อนของทาง MSI ที่คุมประสิทธิภาพได้

GAMING 

แน่นอนว่าเราเคยแต่ลอง AMD+NVIDIA แต่ในครั้งนี้จะเป็นทีม AMD ทั้งหมด จริงๆต้องบอกว่าในยุคใหม่ทำได้ดีและเย็นมากๆจากที่ลองมาหลายๆตัว และ ประสิทธิภาพในการทำงาน หรือ สตรีมเกมก็ทำได้ดีมากทางผมได้ลอง สตรีมและเล่นไปด้วยแบบปรับภาพสุดก็ไม่เจออาการกระตุกอีกทั้งในการ แคปภาพหน้าจอทั้งหมดคือทำขณะที่ สตรีมไปด้วยในบางเกมนะครับเช่น Overwatch   ต้องบอกว่าแม้จะสตรีมหรือไม่สตรีม ตัวเครื่องจัดการได้ดีมากๆและไม่เจอ FPS ตกเลยแม้แต่น้อยคือเปิดปิดไม่ต่างกันเลย ส่วนเรื่องความร้อนที่ลองทำได้ดีมากๆในแง่ของ เวลาเล่นแล้วเอามือวางบนเครื่องมันไม่ร้อนเลยเล่นแบบไม่เปิดแอร์ทุกเกมนะส่วนเมื่อวัดในโปรแกรมจะเจอแตะ 90 ไปด้านในด้านของ CPU เพราะเล่นในสภาพอากาศปกติ ครับถือว่าเลขอาจจะดูสูงแต่ประสิทธิภาพในการใช้งานจริงๆไม่ตกเลยนะครับไม่เจอคอขวดหรือหน่วงอะไรให้เห็นยังรองรับและ FPS ค่อนข้างนิ่งพอสมควรเลยแหละ แต่ตอนนี้เหมือนยังมีบัคกับบางเกมอยู่เช่นตัวเกม COD MW ที่ภาพยังแปลกๆน่าจะเป็นไดรเวอร์ของ RX5500M กับตัวเกมยังไม่ซิงค์กันมาก ทางเราเลยยังไม่ได้ทดสอบนะครับ แต่เกมอื่นๆนั้นปรับภาพสุดได้เลยไม่มีปัญหาในการใช้งานเล่นเกมอะไร

จากหลายๆเกมที่แอดมินได้ลองนั้น FPS ทำได้ดีรองรับกับจอ 120Hz ได้บางเกมรันได้สบาย ทุกเกมที่เอามาให้ดูคือปรับภาพสูงสุดทุกเกมนะครับ เอาให้สุดหมดทุกอย่างเลย  ถ้าอยากได้ 100+ FPS ในบางเกมต้องปรับต่ำลงมาหน่อยนะครับ และทำได้ดีมากส่วนเรื่องความร้อนในสภาพอากาศปกติไม่ได้เปิดแอร์ หรือ เปิดพัดลมอะไรนั้นไม่ใช่ห้องแอร์และเล่นต่อเนื่องกันยาวๆ 2ชม + โดยประมาณครับถือว่าในด้านของความร้อนก็มีพอประมาณในตัว CPU มีแตะ 95+ บ้างในบางครั้งครับ แต่ความร้อนก็ระบายได้ไวบางทีแตะสูงแต่ก็ระบายได้ดีเมื่อปิดเกมหรือพักเกมครับ

  • Overwatch นั้น ทำไปได้ FPS 70-75 อุณหภูมินั้น GPU 80 CPU 97  : EPIC
  • APEX ทำไปได้ FPS 98-110 อุณหภูมินั้น GPU 86 CPU 95 : ULTRA
  • PUBG ทำไปได้ FPS 70-79 อุณหภูมินั้น GPU 86 CPU 95  : ULTRA

โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิดีมากนะจากที่ทดสอบ สภาพอากาศทั่วไป เสียงพัดลมก็ดังตามปกติครับผม ระบายความร้อนได้ดีกว่าที่คิด การทดสอบทั้งหมดไม่ได้เปิดแอร์เลยนะ GPU  แต่ CPU นั้นจะแตะ 95+ บ่อยอยู่เหมือนกัน ต้องบอกว่าความร้อนแบบนี่ลองเทียบกับตัวอื่นๆที่ใช้ CPU ตัวนี้ต้องบอกว่าไม่ได้หนีกันมากเท่าไรนักครับ

MSI BRAVO 15 

” Gaming Notebook ทีม AMD ทำงานได้ลงตัวระหว่าง CPU GPU และ Hardware “

สำหรับ MSI BRAVO รุ่นนี้ถือว่ายังคงตอบโจทย์สำหรับสายเกมมิ่งได้ดีในหลายๆด้านทั้งเรื่องของการออกแบบ ประสิทธิภาพรวมถึงการใช้งานทั่วไป และในครั้งนี้ได้ใช้งาน AMD รุ่นล่าสุดทั้งตัว CPU 7nm และ GPU 7nm ทั้งคู่ทำให้มันทำงานเข้าขากันได้ดีคุยกันรู้เรื่องและยังได้ Free sync มาใช้งานด้วยและการปรับมาใช้งานทั้งหมดแบบนี้ทำให้ในเรื่องของการใช้พลังงานนั้นดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ ทางด้าน CPU GPU ทำงานได้ลงตัวคุยกันรู้เรื่องทำให้ประสิทธิภาพนั้นทำงานได้ดีไปอีกขั้น ส่วนทางด้าน Hardware นั้นก็รองรับได้ดีตอบโจทย์ทั้งเรื่องของ หน้าจอ RAM SSD อะไรทำงานได้เข้ากันทั้งหมด แต่เรื่องของ RAM อาจจะน้อยไปหน่อยในการใช้งานจริงควรเพิ่ม RAM เมื่อซื้อครับ และเรื่องของการจัดการพลังงานความร้อนก็ถือว่าทำได้ดีอยู่เหมือนกัน และเด่นๆอีกคือเรื่องน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาครับ ส่วนหน้าจอนั้นรองรับเหมาะกับสายเกมหนักๆ แต่ถ้าเอามาทำงานเรื่องของสีอาจจะยังไม่เป๊ะเท่าที่ควรนั้นเอง

ข้อดี

  • หน้าจอทำได้ดีในการรองรับเล่นเกม 120 Hz และ Free sync
  • น้ำหนักตัวเครื่องในภาพรวมนั้นค่อนข้างเบาและพกพาได้ง่าย
  • ลำโพงทำได้ดีมีความดังพอสมควร แยกซ้ายขวาได้ดี
  • คีย์บอร์ดให้ความรู้สึกในการเล่นเกมและทำงานได้ดี
  • ระบายความร้อนถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
  • รองรับระบบเสียง Hi-res Audio
  • ให้ RAM Bus 3200MHz มาเลย
  • TEAM AMD ทำงานได้เข้ากันสุดๆ ทั้งประสิทธิภาพและพลังงาน
  • ประกัน 2 ปี มาพร้อม Windows 10 แท้

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการอัพเกรด HDD หรือ SSD 2.5″ SATA 3
  • RAM 8GB ให้มาค่อนข้างน้อยไปในการใช้งาน
  • หน้าจอสียังไม่ได้แม่นเท่าไรนัก
  • ไฟคีย์บอร์ดเป็นสีแดงสีเดียว

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares