MG4 ELECTRIC เปิดตัวในตลาดเมืองนอก และ ได้รับกระแสได้แง่บวกมาโดยตลาดในจากหลายๆสื่อทั้งเรื่อง คุณภาพการขับขี่ ความสนุกในการขับขี่ และ อะไรหลายๆอย่างดีขึ้นกว่า MG ในยุคก่อนๆ ซึ่งก็ทำให้หลายๆคนคาดหวังกับรุ่นนี้มาก แม้ว่าจะน่าเสียดายในไทยเองมาไม่ได้ครบทุกรุ่นย่อย หรือตัวสเปกแบตใหญ่ แต่หลายๆอย่างก็ทำได้น่าสนใจ เทคโนโลยีใหม่ แบตใหม่ Platform ใหม่ทั้งหมด และ การใช้งานแบบขับหลัง และช่วงล่างแบบอิสระก็ทำให้มันยังอยู่ในระดับที่ดีในการขับขี่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เรทราคาเดียวกันทั้งหมดซึ่งหลังจากที่เราทดสอบบอกเลยว่า ไม่เกินจริงครับ มันกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในงบราคาล้านต้นๆที่ขับขี่ดีที่สุด และ ช่วงล่างดีที่สุด รวมถึงขับสนุกที่สุดในตอนนี้ และ ครั้งนี้เราจะทดสอบในการขับขี่ทางไกลแบบไม่แวะชาร์จว่า 340 กิโลเมตร จะขับได้จริงถึงแค่ไหนกัน

MG4 ELECTRIC มาพร้อมกับ ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 170 แรงม้า  แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และ พ่วงด้วยแบตเตอรี่ RUBIK’s CUBE Baterry ขนาดความจุ 51 kWh ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น มาพร้อมระบายความร้อนแบบ LIQUID Cooling System รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 88 kW ทำให้สามารถรองรับการขับขี่ระยะทาง 425 km. ต่อการชาร์จ NEDC และสามารถชาร์จไฟฟ้าจาก 10% – 80% ใช้เวลาประมาณ 35 นาที รวมถึงในไทยเองมาพร้อม 2 รุ่นย่อยแตกต่างกับเรื่อง ออฟชั่น และ ดีไซน์ภายนอก ในรุ่นที่เรารีวิวจะเป็นรุ่นท็อปสูงสุดนั้นเองครับ จะมาพร้อมกับ ไฟหน้าแบบ LED  Galaxy Technology Headlights และ ไฟท้ายแบบ LED  พร้อมไฟ Position แบบ Cygnus Symbol สปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing ภายในตกแต่งแบบ 2-Tone เทาสลับดำ กระจกไฟฟ้าแบบ One-touch 4 บาน กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และ รองรับ อุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless charger) รวมถึงมีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ บรรดาระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมดที่ให้มากกว่ารุ่นเริ่มต้นคือ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ELK ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง RCTB ระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) และยังรองรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งพวกนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆระหว่างรุ่นเริ่มต้น กับ รุ่นท็อปนั้นเองครับ ส่วนระยะทางเหมือนกัน

  • MG 4 ELECTRIC X  ราคา 969,000 บาท , MG 4 Electric D ราคา 869,000 บาท

EXTERIOR

งานออกแบบภายนอกเส้นสายคมเยอะชัดเจน ซึ่งถ้ามองแนวคิดของรถเค้าจะอิงจากรถยนต์สปอร์ตเป็นหลักและทำให้เราได้เส้นสายหน้าตาแบบนี้มานั้นเอง ตัวรถมาในขนาดแบบ C-Segment ถ้ามองในคู่แข่ง EV ก็จะมี ORA GOODCAT นั้นเอง รวมถึงถ้ามองในรถยนต์ทั่วไปคือขนาดคู่แข่ง CIVIC , MAZDA3 เช่นกันแม้ว่าดูทรงรถอาจจะไม่ใหญ่ แต่จริงๆใหญ่เอาเรื่องเลยนะ เส้นสายภาพรวมถ้าชอบแนวนี้คือชอบเลยแต่ถ้าชอบความเรียบๆหรูอาจจะไม่ถูกใจมากนักนั้นเอง แต่ถ้ามองเทียบกับ MG ก่อนหน้า รุ่นนี้ถือว่ามีความเป็นตัวเอง และ แตกต่างกับรุ่นก่อนๆชัดเจน ตัวรถมาในขนาด ยาว 4.2 เมตร และ กว้าง 1.8 เมตร รวมถึงสูง 1.5 เมตร แต่ที่เด่นๆคือฐานล้อยาว 2.7เมตรด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า และ Platform Nebula ใหม่ทำให้ส่วนหน้ารถ ท้ายรถ สั้นลงได้ และ กระจายน้ำหนักได้ 50:50 ทำให้การขับขี่ รูปทรง ส่งผลดีทุกอย่างกับตัวรถ จุดนี้แหละทำให้ตัวรถมันโดดเด่นในแง่ของการขับขี่ครับ

เมื่อดูภาพรวมตัวรถต้องบอกว่าด้านหน้ารถแอบลงตัวกว่าท้ายรถจริงๆด้วยความที่เส้นสายกับรูปทรงที่เสริมกันเข้าได้ดีและความที่รถไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะแยะด้วยทำให้การออกแบบง่ายขึ้น ไฟหน้าทรงเรียวกับเส้นสายแหลมคมเข้ากันได้อย่างลงตัวรวมถึงการดึงเส้นสายแบบรถสปอร์ตเข้ามาบอกเลยว่าชอบด้านหน้า แต่ขัดใจโลโก้ที่ใหญ่ไปนิดหน่อย ส่วนเมื่อดูด้านข้างเราจะรู้เลยว่าหน้ารถ กับ ท้ายรถมันสั้นมากๆเพราะไม่ต้องมีเครื่องยนต์อะไร และ การได้ Platform ใหม่ทั้งหมดแบบนี้ทำให้จัดการอะไรได้ง่ายขึ้นตัวรถมาแนวเตี้ยเพรียวบางพร้อมกับเส้นสายส่วนล่างที่ทำให้ตัวรถมีเว้าโค้งมากขึ้น ดูไม่เรียบมากเกินไปได้ดีแม้ว่าส่วนล่างจะเป็นพลาสติกดำเรียบๆก็ตาม แต่มามองด้านท้ายรถเราจะเห็นไฟท้ายขนาดใหญ่สะใจก้อนโต เส้นสายเต็มๆในรุ่นท็อป แต่ถ้ารุ่นปกติจะไม่มีแถบตรงกลางครับ เสริมด้วยสปอยเลอร์หลัง และ ท้ายแบบสั้นๆทำให้ดูกระทัดรัดแม้ว่าตัวรถจะใหญ่ขนาดแบบ C-Segment ก็ตามครับ

ในด้านท้ายในรุ่น X แบบนี้เราจะได้ไฟท้ายแบบยาวเต็มจนถึงโลโก้ทำให้ตัวรถดูสวยมากขึ้น แต่ถ้าในรุ่นเริ่มต้นนั้นเราอาจจะได้ไฟท้ายมุม ซ้าย และ ขวา เท่านั้น รวมถึงสปอยเลอร์หลังที่รุ่นเริ่มต้นนั้นไม่มี แต่ถ้าส่วนตัวยังไงงานออกแบบส่งมาให้รุ่นท็อปเท่านั้นทั้งความสวยงามและเส้นสายไฟท้าย รวมถึงไฟเบรคดวงที่ 3 แบบสั้นๆด้านบนเราจะเห็นว่าตัวรถจะออกแนว กว้างๆเตี้ยแบนทำให้สัดส่วนตัวรถนั้นดูเตี้ยๆไปด้วยพร้อมกับไฟตัดหมอกด้านหลังส่วนล่าง และในด้านหน้าด้วยความที่ไฟหน้าใหญ่แนวยาวแบบนี้เสริมกับตัวรถทำให้ดูแบนเช่นกันเราจะเห็นเลยว่าไฟหน้าในรุ่นท็อปแบบนี้จะแยกไฟเลี้ยว ออกมาอยู่ด้านล้างทั้งเส้นแบบเช้มๆสวยๆ ก็ดูแปลกตาดีเช่นกัน รวมถึงตัวล้อเองนั้นคันนี้ยังให้มาที่ ขนาด 17 นิ้ว พร้อม AERO WHEEL COVER ซึ่งเป็นแบบฝาครอบพลาสติก ส่วนล้อจริงๆก็เป็นอีกลายนึงนั้นเองครับ ซึ่งเราจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆตัวพยายามใช้งานออกแบบนี้เช่นกันเพื่อความลู่ลมในการขับขี่นั้นเองแต่ที่น่าสนใจคือ เบรค และ ยางของ Continental ที่มีการพัฒนาร่วมกับการขับขี่ และคุณภาพยางคือดีมากๆครับ

สปอยเลอร์หลังแบบ 2 ชิ้นสวยงามแบบนี้เว้นช่องว่างให้ไฟเบรคดวงที่ 3 สวยงามเท่ลงตัว และมีแค่ในรุ่นท็อปเท่านั้นด้วยเช่นกันซึ่งแม้ว่าตัวรถอาจจะไม่มีใบปัดน้ำฝนหลังแต่การออกแบบไฟท้ายขนาดใหญ่และยื่นมาแบบนี้ช่วยลดเรื่องลมตีกลับส่วนหลังได้เยอะกว่าที่คิดฝุ่นไม่ค่อยมาถึงกระจกหลัง แต่ก็มีการเกาะของฝนอยู่บ้างเป็นปกติครับแต่ไม่แย่อบบที่คิด ส่วนไฟท้ายเองเป็น LED + หลอดไส้บางส่วน แต่ในรุ่นท็อปในภาพเราจะได้ไฟท้ายแบบเต็มๆยาวจนถึงโลโก้ซึ่งสวยลงตัวมากๆแถมยังมีไฟเส้นๆบนโคมด้วยเป็นเอกลักษณ์เด่นๆเมื่อมองจากมุมบน พร้อมกับไฟหน้าแบบเต็ม FULL LED พร้อมไฟเลี้ยวในส่วนล่างซึ่งในแง่ของความสว่างกำลังดี แต่ไฟสูงแสงค่อนข้างฟุ้งและกระจุกตรงกลาง

แต่ที่ค่อนข้างชอบอย่างนึงเลยคืองานออกแบบส่วนรอบๆที่ชาร์จไฟถ้ามองเทียบกันในเรทราคานี้ ค่ายนี้ถือว่าออกแบบเก็บงานรอบๆที่ชาร์จได้แบบลงตัวที่สุด คุณภาพดี และสวยงามที่สุดไม่มีรูน็อตให้เห็นรวมถึงมีไฟสถานะต่างๆมาให้ครบ 4 ขีดซึ่งบอกสถานะเวลาชาร์จ และ ความจุแบต ขีดละ 25% ซึ่งดีมากๆในการใช้งานและสวยกว่าคู่แข่งทั้งหมด ส่วนทางด้านกระจกมองข้างมาพร้อมกล้องรอบคัน และ BSM รองรับการใช้งานครบๆพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ส่วนจุดเด่นนึงของงานออกแบบนั้นเป็นเส้นสายบนฝากระโปรงหน้าที่ทำคล้ายกับ Airduct ของรถยนต์ Supercar นั้นเอง

INTERIOR

งานออกแบบภายในแน่นอนว่า MG นั้นแตกต่างกับรุ่นก่อนๆที่เราคุ้นเคยกันทั้งหมดแน่นอน รุ่นนี้ถือว่าสวยเน้นความเรียบง่ายเป็นหลักตามสมัยนิยม ไม่รกมากเกินไปเส้นสายไม่เยอะและใช้งานได้ง่าย พวงมาลัยรูปทรงใหม่พร้อมกับอะไรใหม่ๆทั้งหมดซึ่งถือว่าสวยและลงตัวทั้งนี้ในเรื่องของมุมมองการใช้งานขับขี่ถือว่าทำได้ดีเช่นกันมีความโปร่งโล่งและปุ่มต่างๆในการจัดวางเข้าถึงง่าย ด้วยความที่เป็นการพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทำให้คอนโซลพื้นที่ข้างในโล่งไม่มีอะไรมาให้เกะกะและสามารถออกแบบได้เต็มที่ ความมินิมอลเป็นหน้าจอกลาง และ คนขับเท่านั้น แต่เรื่องขนาดถือว่าลงตัว แต่ถ้ามองมุมนี้ก็อาจจะมีส่วนนึงที่ขัดใจกระจกตัดแสงออโต้ที่ดีไซน์ดูขอบหนา ย้อนยุคไปพอสมควรเลย

แน่นอนว่าหน้าจอกลางของตัวรถได้หนาตาใหม่ทั้งเรื่องของงานออกแบบ และ หน้าตา UI ซึ่งเราจะเห็นเลยว่าแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด ใช้งานได้ง่ายขึ้น คลีนสวยขึ้น แถมในการใช้งานจริงถือว่าสะดวก รองรับ Apple Carplay , Android Auto แบบเสียบสบายปกตินั้นเอง ในการใช้งานนั้นจะเป็นแบบ USB-A เป็นหลักครับในการเชื่อมต่อ ส่วนหน้าจอมาพร้อมกับขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการสัมผัส และ หน้าจอคนขับ หน้าจอแสดงผล Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) ส่วนในการแสดงผลนั้นจะมีเรื่องความสว่างในเวลากลางคืนนั้นแอบแยงตาถ้าหรี่แสงมากที่สุดแล้วก็ตามเป็นจุดที่ถือว่าน่าจะปรับได้ดีกว่านี้

ทางด้านพวงมาลัยเปลี่ยนรูปทรงใหม่ทั้งหมดดูทันสมัยขึ้น และดูยุคใหม่ขึ้นทันทีมีการออกแบบขอบตัดทั้งบน และ ล่าง ซึ่งเป็นสมัยนิยมที่พยายามเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้นและในการใช้งานจริงก็ลงตัวขึ้นมาก แม้จะเป็นสองก้านก็ตามแต่ออกแบบได้ดีอย่างมากปุ่มต่างๆในการใช้งานลงตัว และมีคีย์ลัด รวมถึงการออกแบบปุ่มจอยควบคุมทั้งสองข้าง และ ทางด้าน คอนโซลเกียร์ที่เป็นการออกแบบใหม่ ใช้งานได้ง่าย เรียบ และ ชาร์จไร้สาย รวมถึงไม่มีอุโมงค์เกียร์มาเกะกะทำให้การใช้งานโปร่งโล่งและไม่เกะกะด้วยเช่นกันซึ่งถือว่าแตกต่างกับ MG ไฟฟ้าก่อนหน้าทุกคัน

ส่วนมุมมองภายในเองนั้นตัวรถอาจจะไม่ได้มีหลังคากระจกแต่ก็ได้โทนสีสว่างเข้ามาช่วยทำให้รถไม่อึดอัด และ พื้นที่ข้างในเองนั้นก็นั่งสบายโปร่งโล่ง และมุมมองตัวเบาะเองไม่ได้บดบังเท่าไร และ เราจะเห็นว่าเบาะหน้าเองนั้นมีช่องเก็บของต่างๆมาให้ครบทั้งส่วนบนและ ล่างนั้นเอง ถือว่าเน้นความใช้งานเป็นหลัก ส่วนด้านหลังจะไม่มีแอร์แต่มีที่ชาร์จมาให้ซึ่งถ้ามองถึงตัวรถขนาดแบบนี้แอร์หลังอาจจะไม่ได้จำเป็นเท่าไรในการใช้งานจริงและไม่ร้อนเท่าไรนัก และความสูงโปร่งโล่งดีไม่เตี้ยแบบที่คิด แต่ถ้ามองเทียบกับคู่แข่งคันนั้นจะสูงและดูโปร่งมากกว่าด้วยรูปทรงตัวรถนั้นเอง

TECHNOLOGY

เทคโนโลยีระบบช่วยเหลือการขับขี่ถือว่าเป็นจุดนึงที่รถยนต์ไฟฟ้าพยายามใส่เข้ามาให้เยอะมากท่ีสุดแข่งกันเรื่องแบบนี้มากที่สุดไปแล้วและทางด้าน MG4 X รุ่นนี้ก็จัดเต็มเช่นกันมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือรอบคันครบๆพร้อมใช้งานทีเดียว และในการทดสอบจริง ในการจับระยะเลนถนน รถข้างหน้า หรือ ความเนียนการขับขี่ดีกว่า BYD พอสมควร แต่ความเนียนฉลาดยังเป็นรอง ORA แบบนิดเดียวเท่านั้น แต่จะดีกว่าตรงที่ MG นั้นมีการรีเจนในการใช้งาน Adaptive Cruise Control และ หน้าจอแสดงผลที่สวยกว่าเยอะถือว่าไม่ธรรมดา และ เลขระยะทางไม่หลอกตา ตัวรถมาพร้อมกับระบบ กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ บรรดาระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมดที่ให้มากกว่ารุ่นเริ่มต้นคือ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ELK ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง RCTB ระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) และยังรองรับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART

แต่จุดนึงที่ผมชอบมากที่สุดของรถยนต์คันนี่คือการออกแบบที่คิดมาแล้วในแง่ของปุ่ม คีย์ลัดซึ่งในปัจจุบันเองหลายๆค่ายใช้งานหน้าจอมาแทนปุ่มกดทั้งหมดแล้ว แต่ยังมี MG คันนี้ที่แม้จะเป็นหน้าจอเช่นกันแต่เค้าคิดปุ่มพิเศษมาให้ 2 ปุ่มบนพวงมาลัย เราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะเอาไว้กด ปรับแอร์ในด้านขวา และ ในด้านซ้ายเป็นคีย์ลัดเข้า Apple Carplay หรือ สามารถตั้งค่าอื่นๆได้อีกเยอะเช่นกันครับ ซึ่งเราไม่เคยเจอรถยนต์ไฟฟ้าคันไหนใส่เข้ามาให้แบบนี้ แม้กระทั่งรถยุโรป ทำให้คนขับสามารถเข้า Apple Carplay ได้แบบไม่ต้องกดหน้าจอกลาง ไม่ต้องละสายตา และ สามารถปรับแอร์แบบในภาพข้างบนได้โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม หรือ สัมผัสหน้าจอ แค่ใช้งาน ปุ่มบนพวงมาลัย โยกขึ้นลง ซ้ายขวา แทนการสัมผัสหน้าจอ ! ซึ่งบอกเลยว่าใช้งานจริงผมชอบมากที่สุดในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่เคยลองมา

DRIVING

ก่อนอื่นหลายๆคนอยากทราบกันว่าแบตเหลือ 1% ขับได้ระยะทางเท่าไร ขอสรุปให้เลยคือ 340 กม. ในการเดินทางไกล ใช้ความเร็ว 100-110 และช่วง 20 โลสุดท้ายลดเหลือ 80-90 และ ขับเอง กินไฟเฉลี่ย 14.5 kWh/100km นั้นเองครับ ซึ่งถือว่าระยะทางทำได้ดีเมื่อเทียบกับ แบตที่ให้มา และ ความเร็วที่ใช้งานเดินทางไกล

ส่วนในแง่ของการขับขี่บอกเลยว่า มันคือรถยนต์ที่ขับสนุกที่สุดในบรรดางบ 1 ล้าน และ เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยกันในงบนี้ทั้งหมด ทั้งช่วงล่างแบบอิสระ อัตราเร่ง ขนาดตัวรถ การกระจายน้ำหนัก และ การเซ็ทของตัวรถทุกอย่างทำได้ดีไปหมด ซึ่งถ้าเรามองในแง่ของช่วงล่างแบบอิสระ ไม่มีคู่แข่งรถยนต์ไฟฟ้าคันไหนใส่แบบ 5links มาให้ และ ไม่มีคู่แข่งใส่ระบบขับหลังมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียวทำให้มันตอบโจทย์สายซิ่งได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างเซ็ทมาแบบคนขับสนุก คนนั่งหัวโยก เพราะมีความเด้งนิดหน่อยแต่มันเด้งแบบหนึบเกาะถนน ไม่ได้เด้งแบบจะหลุดถนนนั้นเองครับเด้งแบบรถสปอร์ตนั้นแหละ ไม่น่ากลัวแต่ไม่เหมาะกับคนนั่ง แต่ถ้าคนขับซัดโค้งหนักๆรถสามารถเอาอยู่ทั้งหมด และ สามารถซนได้ถ้าเติมเพื่อเอาท้ายออกให้มีความสนุกบนสนามแข่งก็ทำได้เช่นกัน ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อนคือลงตัว แต่ทางด้านการเก็บเสียง วัสดุต่างๆอาจจะไม่ได้โดดเด่นกว่าคู่แข่งเท่าไรนักในเรื่องนี้ ส่วนทางด้านพวงมาลัย มอเตอร์ สามารถปรับแต่งได้ละเอียดมากๆว่าจะน้ำหนักแบบไหนถือว่าเซ็ทได้ดีครับ ส่วนทางด้านอัตราเร่งเอง อาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าไร เน้นขับชิลๆสามารถทำ 0-100 ภายใน วินาที และ 80-120 ภายในเวลา วินาทีนั้นเองครับ

MG 4 ELECTRIC

” รถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ขับสนุกที่สุด พร้อมช่วงล่างหลังอิสระที่น่าสนใจที่สุดค่าย MG ! ”

รถยนต์ไฟฟ้าของทาง MG ถือว่าน่าสนใจขึ้นเยอะเมื่อหลายๆส่วนมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้ง Platform ใหม่ แบตใหม่ ทุกแย่างพัฒนาใหม่หมดรวมถึงการกระจายน้ำหนักเองก็ทำได้ 50:50 กันเลยทีเดียวซึ่งใครที่สายรถยนต์จะรู้ว่าถ้าคันไหนทำ 50:50 ได้เนี่ยการขับขี่คือดีมากๆครับ และยิ่งได้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำได้แบบนี้ในงบไม่ถึงล้านจึงไม่แปลกใจว่าทำไมมันขับดีมากที่สุด รวมถึงพละกำลัง การชาร์จไว ดีไซน์ภายนอก และ ภายในเปลี่ยนแปลงทำได้ดีไปหมดจึงบอกเลยว่ามันเป็นการกลับมาของ MG อีกครั้ง แต่ในแง่ของคุณภาพวัสดุ หรือ ปัญหาในระยะยาวๆนั้นจะเป็นยังไงก็ต้องใช้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ครับ แต่เท่าที่ดูในแง่ของภาพรวมรู้สึกเลยว่าคันนี้ MG ตั้งใจขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเช่นกัน ถ้ามองรถยนต์ไฟฟ้า เน้นใช้ในเมือง แต่ก็ชอบการขับขี่ในงบนี้คันนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นๆได้เลยทันที

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

BY NINEZTR

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares