AMG ชื่อ 3 ตัวอักษรแบบนี้เป็นตำนานของทางค่าย MERCEDES-BENZ แน่นอนว่าหลายๆคนน่าจะทราบกันดีเพราะว่าในยุคนี้รหัสแบบนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะอย่างมาก แต่ก่อนนั้นเอง AMG ตัวแรงๆของค่ายนั้นราคาแตะหลักสิบล้านได้เลยในเมื่อหลายๆปีก่อนหน้า หรือแม้แต่ตัวนี้เองถ้าเป็นก่อนที่จะประกอบไทยนั้นราคาก็แตะ 7 ล้านบาทได้เลยทีเดียวครับ สำหรับเจ้า AMG CLS53 ซึ่งรหัสแบบนี้ 2 หลักของทางค่าย MERCEDES-AMG นั้นถ้าเห็นแบบนี้พยายามอยู่ให้ห่างกันไว้ได้เลย แรงทุกตัวครับไม่ว่าจะเป็น 35-43-53-63-63s ก็ตามบอกเลยว่าอย่าไปเล่นกับเค้า ทั้งพละกำลังและระบบขับเคลื่อนเรียกได้ว่าที่สุดของค่ายแล้ว รวมถึงในตัว CLS53 ครั้งนี้ถือว่าเป็นตัวแรงที่สุดของตระกูล CLS แล้วในปีนี้เพราะว่าไม่ได้ทำรหัส 63 แล้วจึงเป็นตัว 53 ที่ทำไม่ได้แรงเท่าตัวก่อนแต่ก็ทำให้หลายๆคนจับต้องได้ง่ายขึ้น ขับได้ง่ายมากขึ้นในเมืองหรือในการใช้งานชีวิตประจำวัน และทางด้าน CLS53 ประกอบไทย MY2021 รุ่นนี้เป็นรหัสปีล่าสุดพร้อมกับ ราคา 5.39 ล้านบาทไทย และ ระบบ MBUXใหม่ใส่มาแล้ว

MERCEDES-AMG CLS53 4MATIC+ รุ่นนี้มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์ เบนซิน แบบ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี. เทอร์โบ พละกำลัง 435 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,800 รอบ/นาที พร้อมระบบ EQ Boost มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังเพิ่มอีก 22 แรงม้า และ แรงบิดอีก 250 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG Speedshift TCT 9G 9 จังหวะ ทำให้สามารถเร่ง 0-100 ภายใน 5 วินาทีเท่านั้น และ ทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และตัวรถเองนั้นขับเคลื่อน 4 ล้อผ่านระบบ 4MATIC+ ที่จะพิเศษคือสามารถทำให้การขับขี่เน้นการขับหลังมากกว่าเดิมได้ด้วยเช่นกัน หรือรองรับ Driftmode พวกนี้ได้ดีกว่าแบบทั่วไปทำให้การขับขี่นั้นสนุกมากขึ้นกว่าเดิม แต่น่าเสียดายว่าในตัว CLS53 นั้นไม่มีครับ แต่จะได้ ปรับการส่งพลังไปที่ล้อแต่ละข้างได้อย่างอิสระ หรือสามารถส่งไปที่ล้อหลังเพียวๆ เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองลง ได้นั้นเองครับ ส่วนงานตกแต่งนั้นมีหลากหลายส่วนที่แตกต่างกับรุ่น CLS300D ทั้งกระจังหน้าแบบ Twin-blade  ชุดแต่งส่วนท้ายรถ หรือกันชนหน้าหลังแบบ AMG ที่มีการใส่ท่อ 4 ท่อมาให้รวมถึง สปอยเลอร์ด้านหลังแบบ AMG Spoiler Lip พร้อมกับ ล้ออัลลอย AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 20 นิ้ว ตกแต่งด้วยสีดำ และ เบรก 370มม. ในด้านหน้าพร้อมกับ AMG ครับ รวมถึง ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Air Suspension และ ระบบควบคุม AMG Ride Control+ อีกทั้งในเรื่องของการตกแต่งภายในทั้ง เข็มขัดแดง เบาะแบบพิเศษ รวมถึง หนังแบบ AMG Nappa Leather ตัดสลับ Dinamica Microfibre พวงมาลัยแบบ AMG Performance Steering Wheel ก็จัดเต็มใส่เข้ามา อีกทั้งในปี 2021 นี้เปลี่ยนลวดลายงานออกแบบข้างใน รวมถึง ตัวควบคุมตรงกลาง และ หน้าจอแบบสัมผัส MBUX ใส่เข้ามาให้แล้วนั้นเอง แต่นาฬิกาบนคอนโซลก็หายไปแล้ว และ พวงมาลัยคาร์บอนก็เป็นหนังแทนครับ ส่วนฟีเจอร์ความปลอดภัยต่างๆนั้นใส่มาเต็มเหมือนเดิม แต่น่าเสียดายว่าไม่มีระบบ Active Distance Assist DISTRONIC และ ไม่มีระบบดึงพวงมาลัยกลับหรือเกาะตามโค้งถนนแล้วนะครับในปี 2021 นี้แอบน่าเสียดายพอสมควรเลย ส่วนงานออกแบบ ฟีเจอร์อื่นๆนั้นยังคงใส่เข้ามาให้จัดเต็มและได้ระบบ MBUX ในการใช้งานหน้าจอแทน

PRICE

MERCEDES-AMG CLS53 4MATIC+ : ประกอบในประเทศ : 5,399,000 บาทไทย

EXTERIOR

งานออกแบบทางด้าน CLS นั้นแน่นอนว่าเดิมๆก็มีความสปอร์ตซีดานสวยเตี้ย แบนอยู่แล้วแต่เมื่อมาเป็น CLS53 นั้นหลายๆส่วนดีเทลรายละเอียดนั้นมีความแตกต่างจากเดิมหรือว่า CLS300D ชัดเจนครับ แต่ถ้ามองผ่านๆความต่างกันกลับน้อยมากๆยิ่งถ้าคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องรถยนต์อาจจะไม่รู้เลยว่าเป็นตัวแรงครับ ทางด้านงานออกแบบของตัว CLS300D ที่ขายในไทยนั้นจะได้ชุดแต่ง AMG Dynamic อยู่แล้วทำให้หลายๆส่วนเลยเหมือนกันอย่างมาก แต่พวกดีเทล ทั้งกระจังหน้า ชุดกันชนหลัง ท่อไอเสีย กระจกมองข้าง และ เส้นโครเมี่ยมของคันนี้จะเป็นสีดำทั้งหมด แต่น่าเสียดายว่า สีดำเลยอาจจะยิ่งมองยากไปอีกครับ แต่ถ้ามองชัดๆ ตัวรถสีขาวจะได้กระจกมองข้างสีดำ และ ขอบกระจกสีดำด้วยครับ รวมถึงล้อนั้นก็จะมีความแตกต่างกันล้อ 20 นิ้ว พร้อมกับระบบช่วงล่างถุงลมที่จะปรับระดับได้

ดีไซน์ภาพรวมนั้นการที่ได้ล้อลาย 20 นิ้วแบบนี้ 5 ก้านคู้พร้อมกับลวดลายแบบนี้ทำให้ตัวรถนั้นดูลงตัวกว่า. cls300d ชัดเจนมากๆรวมถึงด้วยตัวรูปทรงแบบ Sportsedan อยู่แล้วและได้ช่วงล่างถุงลมในภาพนั้นปรับแบบ Sport+ ทำให้ตัวรถนั้นเตี้ยที่สุดเลยทำให้มีความดุดันมากจริงๆแน่นอนว่าตัวรถสีดำอาจจะมองไม่เห็นการเล่นสีมากเท่าไรนัก แต่ก็ได้ความเรียบหรูมาแทนในการใช้งานออกแบบแบบนี้หลายๆคนน่าจะชอบกันและเป็น AMG ที่เรียบหรูไม่เยอะแต่พละกำลังนั้นมหาศาลเลยจริงๆ การเสริมสปอยเลอร์ท้ายทำให้รถนั้นดูสปอร์ตขึ้นจากพ่อบ้านเดิมๆได้ดีมาก

หน้าตรงเราจะเห็นกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ AMG V8 ได้ดีแต่ครั้งนี้ดีไซน์กระจังหน้ากลับนำมาใช้ในรหัส 43 53 กันบ้างแล้วครับ แต่จะยังไม่ได้กระจังหน้าซี่แนวตั้งแบบพวก GLC 43 หรือ GT-R พวกนั้นนะ แต่จริงๆหลายๆคนก็เอาไปเปลี่ยนดีไซน์ดุดันขึ้นไปอีกครับ แต่พวกงานออกแบบชุดกันชนล่าง ไฟหน้าเรียกได้ว่าชุดเดียวกับ CLS300D แต่จะเปลี่ยนจากพวกโครเมี่ยมเป็นแบบสีดำทั้งหมดนั้นเองครับ ส่วนในด้านหลังจะเริ่มแตกต่างแล้วด้วย ชุดกันชนล่างแบบใหม่พร้อม Diffuser amg ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยท่อคู่ 2 ฝั้ง รวมเป็น 4 ปลายท่อครับ แต่เมื่อมองข้างในจะเห็นแค่ 2 ท่อทั้งหมด ส่วน สปอยเลอร์หลังดีไซน์คล้ายกับ Duck tail สวยงามเรียบๆแต่ก็ดุดันมากขึ้น

กระจังหน้าดีไซน์ที่ทางค่ายเรียกว่า กระจังหน้าแบบ Twin-blade ที่รุ่นก่อนๆเราจะเห็นได้แค่ในตัว AMG V8 เท่านั้น มีกันชนหน้าตกแต่งแบบ A-Wing Design ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา บอกเลยว่าดุดันครับ แต่ถ้ามองความต่างกับรุ่นปกติจะมีแค่กระจังหน้า และ เส้นสีโครเมี่ยมหายไปเท่านั้นเอง และจะมองเห็น เซนเซอร์รอบคัน และ กล้องหน้ามีใส่เข้ามาให้ จริงๆถ้าสีดำก็เด่นไปอีกแบบนึงเพราะว่าจะทำให้กระจังหน้า Twin Blade นั้นมีความโดดเด่นมากขึ้น

ทางด้านโลโก้ในบริเวณซุ้มล้อนั้นจะเห็นว่าเขียน Turbo ประจำตระกูล AMG และเขียนว่า 4MATIC+ นั้นเอง ถ้าของแท้จะต้องมีแปะข้างๆครับเป็นจุดสังเกตได้ง่ายๆ ส่วนกระจกมองข้างทรงเดียวกับรุ่นปกติแต่จะพิเศษที่เป็นสีดำ ไม่ว่าตัวถังรถจะสีอะไรก็ตาม แต่กระจกมองข้างนั้นจะได้สีดำล้วนทั้งหมด พร้อมกับกล้อง และ ไฟเลี้ยวในตัวรวมถึงงานออกแบบพวกบรรดารถ สปอร์ตซีดานแบบนี้ คือกระจกแบบไร้ขอบทำให้เวลาเปิดนั้นเป็นแบบรถสปอร์ตเลยถ้าเราเลื่อนกระจกลงมาสุดนั้นเอง เป็นอีกจุดที่ทำให้ตัวรถนั้นดูเท่มากขึ้นเวลาเปิดประตูและดูสวยมากกว่าแบบมีกรอบครับ

ล้ออัลลอย 20 นิ้วลาย 5 ด้านคู่พร้อมกับ เบรกจานโต 370มม. ในด้านหน้า และในด้านหลัง 360 มม. จัดเต็มใหญ่โตมากๆครับ มาพร้อมกับ คาลิปเปอร์เบรกแบบ AMG มีเขียนโลโก้ไว้เท่ๆสีเงิน และตัวล้อเป็นลายที่ต้องบอกว่าลงตัวสวย 5 ก้านแบบนี้แต่การเล่นสีเงิน สลับกับปัดดำเงาทำให้เล่นกับแสงได้สวยอีกทั้งด้วยขนาด 20 นิ้วทำให้ขอบยางบางมากๆ และแนะนำเติมลม 42+ ไปเลยนะครับตามสเปกของตัวรถจะแนะนำให้ปกป้องตัวล้อได้ดีที่สุดนั้นเอง

สำหรับ Sunroof รุ่นนี้มาพร้อมกับตอนหน้าขนาดไม่ได้ใหญ่มากนัก เปิดแล้วจะซ่อนไปในตัวหลังคา ไม่ได้ยื่นออกมานอกรถ อันนี้ถือว่าดี ส่วนด้านท้ายเราจะเห็นสปอยเลอร์หลังทรงเรียบๆคล้ายกับ Ducktail สีดำส่วนนี้จะเป็นสีเดียวกับตัวรถช่วยทำให้แรงกดด้านหลังตัวรถนั้นแน่นขึ้นนั้นเองเวลาขับเร็วๆ และท่อไอเสียสีดำเงาฝั่งละ 2 ข้าง AMG และมาพร้อมกับเสียงที่ดุดันมากๆแต่น่าเสียดายไม่มีการเปิดปิดวาล์วแบบรุ่น 63 พวกนั้นครับ และยังให้ Diffuser หลังมาให้ตรงกลาง พร้อมกับวัสดุสีดำด้านทรงสปอร์ตทำให้ด้านท้ายนั้นมีความแตกต่างกับ 300D ครับ

ไฟหน้านั้นจะมาพร้อมกับทรงเดียวและเทคโนโลยีเดียวกับรุ่นปกติทั้งหมดเป็น ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อม ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS และ ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light รวมถึง ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist รวมถึง ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED และ ไฟเลี้ยวในตัวครับ ส่วนไฟตัดหมอกนั้นไม่จำเป็นแล้วสำหรับรถรุ่นใหม่ๆที่ไฟธรรมดาแรงกว่าสมัยก่อนเยอะมากๆ แต่ไฟตัดหมอกหลังนั้นให้มาฝั่งขวา ในโคมนะครับ ส่วนกระโปรงหลังนั้นเองที่ด้านซ้ายจะไม่มีนะครับ ส่วนไฟทั้งหมดเป็น LED ทั้งโคมสว่างสวยคม และเส้นสายดูสวยงามแบบเดียวกับรุ่นปกติ

การที่ตัวรถนั้นใช้งานระบบช่วงล่างแบบถุงลมเป็นจุดสำคัญที่ส่งผลต่อการขับขี่แบบเยอะมากๆ รวมถึงส่งผลต่อการใช้งานขับขี่และแน่นอนว่าความสวยงามด้วยทำให้สามารถปรับระดับตัวรถได้และยังมีโหมดการยกตัวรถสูงที่สุดแบบในภาพทำให้หลบพวกคอสะพาน หรือ หมอนถนนสูงๆได้เหมาะกับประเทศไทยมากๆครับจะเห็นเลยว่าความสูงต่างกับแบบรู้สึกได้เมื่อเทียบกับแบบนี้ครับล้อหลังเราจะมองได้ชัดเจนมากๆเลยทีเดียวแต่ก็ไม่ทำให้ตัวรถโย่งเกินไป

ยามค่ำคืนเมื่อปลดล็อกรถนั้นไฟหน้าและไฟท้ายจะติดให้แบบไฟหรี่ทั้งหมด รวมถึงไฟส่องพื้นด้านข้างตรงกระจกมองข้างก็จะติดขึ้นมาด้วยเช่นกันเป็นดวงเดียวและส่งพื้นล่างทั้งหมด จะไม่ได้ติดตั้งไฟแยกตามที่จับประตูมาให้นะครับ ต้องบอกว่ายามค่ำคืนนั้นตัวเส้นสายไฟท้ายและไฟหน้าช่วยเสริมให้ตัวรถนั้นดูมีอะไรมากกว่าเดิมค่อนข้างชอบทรงไฟท้ายของรุ่นนี้ดูแตกต่างกับ MERCEDES-BENZ รุ่นอื่นๆแบบชัดเจนและเป็นไฟท้ายที่ลงตัวมากๆคันนึงเลยแหละ

ไฟท้ายยามค่ำคืนถ้าเราเปิดไฟหน้าจะเห็นเป็นเส้น Lighting Guide สวยงามเป็นกรอบล้อมรอบโคมไฟสวยงามเส้นสายไฟท้ายมีความสว่างและสม่ำเสมอครับ จุดนี้ถือว่าสวยและดูไกลๆแล้วมองออกเลยว่าเป็น CLS ส่วนไฟหน้าโคมไฟเส้นสวยงามพร้อมไฟหน้าคู่ Multibeam มีแสงที่คมส่องสว่างและเข้ม ทำให้เวลากลางคืนนั้นขับจริงๆถือว่าสบายๆเท่าที่ทดสอบไปนั้นการขับขี่ต่างจังหวัดถือว่าสบายเลย แสงส่อง Cutoff สวยคมเป็นเส้นตรง และไกลมากๆ ไม่แยงตาด้วย แต่ระบบเปิดปิดไฟเป็นช่องเวลารถสวนมานั้นก็ทำงานได้ดี แต่ก็มีช้าหน่วยไปบ้างเวลาขับเร็วๆครับ

INTERIOR

สำหรับ MY2021 นั้นทาง CLS53 AMG ได้เปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ งานออกแบบภายในไปเล็กน้อยจากรุ่นก่อนๆครับอย่างแรกที่เราเห็นชัดเจนคือเรื่องของวัสดุเป็นลายคาร์บอนมาแทนทั้งหมดในการตกแต่ง ผสมกับสีดำเงาตรงคอนโซลกลางแทน และไม่มีนาฬิกาเข็มมาให้แล้ว รวมถึงพวงมาลัยเปลี่ยนงานออกแบบวัสดุไปเช่นกัน อีกทั้งที่ควบคุมส่วนกลางระบบ MBUX ก็เปลี่ยนเป็นแบบใหม่แล้วไม่มีแป้นหมุนวงกลมเช่นกัน อีกทั้งหน้าจอกลางรองรับ MBUX รองรับระบบสัมผัสเต็มรูปแบบ แต่น่าเสียดาย Apple Carplay ไม่เต็มจอแบบตัวก่อนแล้วครับ รวมถึง การใช้งานระบบฟีเจอร์เช่น Adaptive Cruise ได้หายไปแล้ว และ ไม่มีระบบตามคันหน้าและเลี้ยวตามแบบรุ่นก่อนแล้ว

ทางด้านกุญแจยังคงเป็นหน้าตาแบบที่คุ้นเคยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในส่วนนี้พร้อมกับเป็นสีดำเงาผสมกับสีเงินอลูมิเนียมปัดด้าน แต่น่าเสียดายแม้จะเป็นตัว AMG แต่ก็ไม่ได้มีการใส่ AMG ไว้บนกุญแจเท่าไรทำให้ไม่ค่อนต่างกับรุ่นทั่วไปเลยครับ ทางด้านกุญแต่รองรับการใช้งาน Keyless-GO รองรับการพกกุญแตและอื้อมมือเปิดประตูได้เลยไม่ต้องกดอะไรครับ รวมถึงมี Welcome Seat มาให้และรองรับการเตะเปิดฝาท้ายได้ด้วยแค่ 1 ครั้งก็ติดแล้วครับ

ภายในหน้าตายังคงเป็นแบบที่คุ้นเคยกันในบรรดาเจนก่อนของทาง E-Class -CLS นั้นเองยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนงานออกแบบใหม่เหมือนกับพวก A-Class พวกนั้นที่จะล้ำกว่านี้ไปอีกขั้นครับ และตัว CLS เองก็ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนหน้าตา Facelift ด้วยทำให้ภายในก็ยังคงดีไซน์เดิมครับ การวางช่องแอร์เรียงกัน 4 ตัวพร้อมกับหน้าจอยาวยังคงเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ พร้อมกับ การนั่งข้างหลังจะมีแอร์หลังมาให้ตรงกลาง พร้อมกับ หลังคามี Sunroof ตอนหน้ามาให้ แต่จะไม่ได้ใหญ่โตหรือกินพื้นที่มาข้างหลังเท่าไรนัก อาจจะอึดอัดเล็กน้อย ส่วนตัวเบาะก็รองรับได้ดีครับ

พวงมาลัยทรงสปอร์ตปาดขอบด้านล่างทรงที่คุ้นเคยแต่ในปี 2021 นี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมาพร้อมกับวัสดุหนัง Nappa ผสมกับหนัง Dinamica Microfibre ซึ่งถ้าเป็นรุ่นก่อนนั้นจะเป็นแบบสีดำเงา Carbonfibre นั้นเอง รวมถึงมีโลโก้ในส่วนล่าง และ วัสดุแบบเงินด้านสวยงามครับ มาพร้อม Paddle Shift อันใหญ่ และปุ่มควบคุมครบเช่นเดิม แต่ในด้านขวานั้นจะเป็นการปรับระยะ ระหว่างรถคันข้างหน้าได้หายไปแล้วครับในระบบเก่าไม่มีแล้วนั้นเอง ส่วนหน้าจอเรือนไมล์ Digital Wildscreen Cockpit นั้นได้ปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ทั้งหมด พร้อมกับคุณภาพความคมชัดเช่นเดิมเลย  และจะเพิ่มระบบสัมผัสใหม่เข้ามา MBUX ทำให้จอตรงกลางนั้นรองรับการสัมผัสสั่งงานแล้วครับ

ตัวเบาะเองนั้นจะเป็นเบาะพิเศษที่มีการออกแบบเดินด้ายสีแดง พร้อมกับวัสดุหนัง  AMG Nappa Leather ตัดสลับ Dinamica Microfibre และ มี Badge AMG ตรงกลางเบาะด้วยเช่นกัน เบาะมาพร้อมกับระบบดันหลังปรับได้ รวมถึงที่รองขาก็ยืดได้ด้วยเช่นกันครับ และเอกลักษณ์ของ AMG คงหนีไม่พ้นการใช้งานเข็ดขัดสีแดงสดแบบนี้ครับ

การเปลี่ยนแปลงหลักๆอีกส่วนนั้นจะเป็นในเรื่องของตัวคอนโซลกลางที่มาพร้อมกับวัสดุแบบดำเงาทั้งหมด เปลี่ยนการควบคุมแบบใหม่เป็นแบบสัมผัสด้าน และ รองรับแรงกดครับรวมถึงปุ่มควบคุมข้างๆนั้นรองรับการเปลี่ยน เสียง โหมดเกียร์ โหมดการขับขี่ และ การตั้งค่าช่วงล่างครับ และปุ่มการควบคุม ESP ด้วยเช่นกันครับ และ ด้านบนเป็นที่วางแก้วน้ำพร้อมกับ ที่ชาร์จมือถือไร้สายสอดเข้าไปได้ และ USB-C สำหรับการเชื่อมต่อ Android Auto Apple Carplay นั้นเอง ส่วนแอร์ 4 ช่องยังคงอยู่พร้อมกับ จอสัมผัสขนาดใหญ่ในระบบ MBUX และหน้าตาทันสมัยมากขึ้นเยอะครับ ส่วนตรงกลางน่าเสียดาย นาฬิกาเข็มนั้นได้หายไปแล้ว เน้นความสปอร์ตมากขึ้น เป็นพื้นที่โล่งธรรมดาเลย

ตัวเบาะเข็มขัดสีแดงเด่นๆมาพร้อมกับ งานออกแบบพิเศษทั้งวัสดุ ด้านสีแดง หนังกลับ รวมถึงโลโก้ AMG ครับ แต่ยังคงไม่ใช้งานเบาะแบบ Bucket Seat นะครับรุ่นนี้ ตัวเบาะเองนั้นต้องบอกตรงๆว่าขับทางไกลแอบไม่สบายเท่าไรนักมีอาการเมื่อยหลังแบบชัดเจนแม้จะปรับแล้วก็ตาม แน่นอนว่าความกระชับซ้ายขวา บีบกำลังดีไม่แน่น ไม่หลวมยึดตัวคนนั่งได้ดีครับ รวมถึงที่รองขาก็ออกมาได้ดี ตัวเบาะนุ่มกลางๆ ไม่ได้นุ่มแบบรุ่นปกติ แต่ก็ยังคงเน้นความแน่นกระชับนั้นเอง แต่ตัวเบาะด้านในนั้นยังไม่ค่อยสบายเท่าไรตรงแผ่นหลัง ซึ่งให้หลายๆคนมาลองก็แอบบ่นเหมือนกัน ส่วนพื้นที่ภายในนั้นการนั่งไม่ได้เตี้ยอะไรมาก ยังคงมีความใกล้เคียงกับรุ่นปกติครับ ทั้งมุมมองและพื้นที่การขับ บริเวณเข่านั้นไม่ชนกับคอนโซลและพื้นที่ Headroom ก็เหลือๆสบายเลยนั้นเอง และการขึ้นลงมี Welcome seat ทำให้ขึ้นลงได้ง่ายกว่าเดิมด้วยเช่นกันครับ ส่วนทางด้านประตูกางได้อิสระกว้างทั้งหน้าและหลังก็ขึ้นลงไม่ติดขัด

ตัวเบาะนั้นในด้านหลังแน่นอนว่าด้วยทรงตัวรถ Sportsedan แบบนี้ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะนั้นไม่ได้เยอะเท่าไรนัก ถ้าใครที่สูงกว่า180 อาจจะมีติดหัวได้เลย และตรงกลางนั้นจะแคบกว่านิดหน่อยเพราะพื้นที่เว้นช่องให้ ซ้าย และ ขวาเยอะกว่านิดหน่อยครับเหมือนเป็นหลุมต่างๆ แน่นอนว่าด้านหลังก็ยังคงได้เข็มขัดสีแดงมาให้ทั้งหมด พร้อมกับด้านสีแดง และ ตรงกลางมาพร้อมกับที่วางแก้วน้ำ และที่เก็บของในตัว รวมถึงแอร์หลังให้มาตรงกลาง อุโมงค์กลางก็แอบสูงเช่นเดิมครับ ส่วนการนั่งจริงๆนั้น แอบนั่งได้แต่ไม่ได้โอโถ่งหรือกว้างมากนักในพื้นที่ด้านบน แต่ส่วนขานั้นเหลือๆในการนั่งจริงครับ แค่มันไม่รู้สึกโปร่งเท่าไรนักเพราะหลังคาลาดเตี้ย และ ซันรูฟนั้นไม่ได้กว้างหรือยาวมาข้างหลัง

ด้านหลังมีช่องแอร์มาให้ 2 ตำแหน่งตรงกลาง ไม่มีตรงเสาบีอะไรมาให้นะครับ และไม่สามารถปรับอะไรได้เลยในด้านหลัง เมื่อเทียบกับ A7 ตัวนั้นจะมีให้ 4 ตำแหน่งและปรับแยกอิสระได้ แอบน่าเสียดายส่วนนี้นิดหน่อย ส่วนที่ชาร์จในด้านหลังนั้นให้มา 2 ส่วน รองรับ USB-C 5V นะครับทำให้รองรับการชาร์จ iPhone รุ่นใหม่ๆได้กับสายที่แถมมาในกล่องหรือแม้จะเป็น Android ตัวใหม่ๆก็เช่นกันครับ พร้อมกับที่เขี่ยบุหรี่ยังคงใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน เลยทำให้เทียบกับคู่แข่งตัวนั้น ตอนหลังจะทำได้ดีกว่าทั้งแอร์มากกว่า การแยกโซน และ บรรยากาศความโปร่งพวกนี้

พื้นที่ห้องสัมภาระในด้านหลังจุ 520 ลิตรครับ และสามารถพับเบาะได้ แยกพับอิสระ 40 : 20 : 40 ทำให้พื้นที่เยอะขึ้นกว่าเดิมไปอีกครับ ส่วนด้านหลังนั้นจะเห็นว่าเป็นเนินขึ้นนิดหน่อยเพราะว่าจะมีพื้นที่ของแบตสำหรับการใช้งาน EQ Boost นั้นเอง ส่วนในด้านหลังสามารถเปิดขึ้นมาใส่ของรวมถึงอะไหล่ และ พวกชุดปะยางทั้งหมดเลย ไม่มีล้ออะไหล่

ทางด้าน CLS53 นั้นมาพร้อมกับ หน้าจอแสดงข้อมูลแบบ Digital Wildscreen Cockpit และ Head-up Display สำหรับการแสดงข้อมูล ระยะห่างจากคันหน้า รอบเครื่อง และ เกียร์ รวมถึงความเร็วสามารถปรับแต่งได้ครับ ส่วนทางด้านหน้าปัดหลักเองนั้นเปลี่ยนได้ หลากหลายแบบอย่างมากพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งหมดเลยนั้นเอง และหน้าปัดที่เห็นอยู่จะเป็นเฉพาะของ AMG 2 รหัสเท่านั้นจะเป็นเข็มวัดรอบตรงกลางพร้อมเลขเกียร์ แต่น่าเสียดายคันนี้จะไม่มีโหมด RS Racestart หรือ Launch Control แบบค่ายอื่นนั้นเองครับ ส่วนหน้าปัดเองนั้นมีความคมชัดสวยงามและใช้งานได้สะใจมากๆ ต้องยอมรับเรื่องของดีไซน์งานออกแบบนั้นเปลี่ยนแปลงไปชัดเจนสวยลงตัวมากขึ้น

ภายในยามค่ำคืนทางค่าย MERCEDES ยังคงทำได้โดดเด่นในเรื่องของสีสันทั้งสีไฟตามช่องแอร์หรือแม้แต่เส้นสายรอบๆคัน เป็นค่ายที่ทำกลางคืนออกมาได้หวือหวามาก และปรับได้ 2 ส่วนหลักๆรวมถึงให้เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆได้ จุดนี้ต้องยอมค่ายนี้เลยแหละครับส่วนไฟในห้องโดยสารยังคงโทนสีส้มๆเอาไว้แม้จะเป็น LED ก็ตามไม่ได้ใช้งานสีขาวจ้า ก็ถือว่ามีความอบอุ่นไปในตัว แต่ถ้ามองว่าทันสมัยไหมก็อาจจะไม่เท่าไรนัก รวมถึงไฟส่องเท้า และไปตรงประตูมาให้ครบทุกตำแหน่งทั้งหน้าและหลัง ส่วนไฟตามปุ่มบนพวงมาลัยต่างๆนั้นจะเป็นไฟสีขาวทั้งหมดเลยครับ

เมื่อเปิดประตูยามค่ำคืนต้อนรับเราด้วยแสงไฟส่องสว่างสีสันเต็มที่ทั้งคันไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตามครับ และประตูเองนั้นจะมีไฟสีแดงคอนเตือนเวลาเปิดด้วยและมีไฟส่องเท้าทุกบาน และที่ค่อนข้างชอบคือระบบเตือนเวลาเปิดประตู แล้วมีรถมาข้างๆในด้านนอก ไฟในรถจะเปลี่ยนเป็นสีแดงในบานที่เปิด แล้วมีเสียงเตือนด้วยบอกเลยว่าระบบนี้ดีมากๆครับทำให้ใช้งานได้ปลอดภัยขึ้นเยอะจริงๆ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาให้ในหลายๆรุ่นที่มีระบบเตือนมุมบอดครับเพราะว่าจะทำงานร่วมกันนั้นเองชื่อฟีเจอร์ Exit Warning Function บอกเลยว่าช่วยเตือนได้เป็นอย่างดี

https://www.facebook.com/1123832929/videos/10218551878724561/

ENGINE

เครื่องยนต์นั้นใช้งานเครื่องยนต์ เบนซิน แบบ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พละกำลัง 435 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,800 รอบ/นาที พร้อมระบบ EQ Boost มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังเพิ่มอีก 22 แรงม้า และ แรงบิดอีก 250 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG Speedshift TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+ ทำให้คันนี้มีพละกำลังที่ดีมาก เร่งแซงทันใจเหยียบเป็นมา ความเร็ว 0-100 ภายใน 5 วิเท่านั้นรวมถึงความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และ ถ้าไม่ล็อกจะได้ถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อกระจายอิสระได้ รวมถึงใช้งานขับหลังในบางจังหวะได้ทำให้การขับขี่นั้นสนุกมากขึ้น แต่น่าเสียดายไม่มี Driftmode แบบรุ่นพี่คันอื่นๆครับ ส่วนห้องเครื่องก็จะไม่มี One Man One Engine นะจะมีแค่พวกตัวแรงสุดๆแบบ GT-R GT-C  หรือ ตระกูล 45,63 พวกนี้จะมี แต่น่าเสียดายว่าในพวก 35 43 53 นั้นยังไม่มี

เมื่อเทียบขนาดตัวรถ 5 เมตรแบบนี้กับเครื่องยนต์และอัตราเร่งแบบนี้น้ำหนักขนาดนี้ บอกเลยว่าอัตราเร่งสบายๆมากแม้จะเห็นรูปทรงใหญ่ ยาว เตี้ยแบบนี้แต่ความเร็ว ความคล่องตัวในการขับขี่นั้นกระฉับกระเฉงมากๆ ทุกๆอย่างเซ็ตมาดีจนไม่นึกว่าเรากำลังขับเจ้า CLS ที่ยาว 5 เมตรแบบนี้ได้เลย ทั้งอัตราเร่งทันใจ ช่วงล่างแน่นหนึบ พวงมาลัยคมๆแบบนี้ทำงานร่วมกันทำให้การขับขี่ CLS53 นั้นคล่องทันใจจนไม่ต่างกับ C43 แถมยังเร่งได้เร็ว แรงกว่าด้วย และด้วยรูปทรงแบบนี้ทำให้ ยังคงพาครอบครัวไปไหนมาไหนได้แถมยังเร่งแรงซะใจบอกเลยว่าเครื่องยนต์ไม่ธรรมดา

DRIVING

การขับขี่ ขอให้ลืมทุกอย่างที่เจอใน CLS300D ไปให้ทั้งหมดมันแทบจะเหมือนรถยนต์คนละรุ่นกันไปเลย ซึ่งเอาจริงๆก็คนละรุ่นเครื่องยนต์ ช่วงล่างอยู่แล้วนะ แต่ด้วยความใหญ่ ยาวแบบนี้ และความย้วยที่เราเจอใน CLS300D เวลาขับเร็วหรือทางไกล จะเริ่มไม่มั่นใจ จะเริ่มโยน และ ย้วยแบบเยอะมากจริงๆจน 120 ก็ไม่มั่นใจแล้วรวมถึงความอุ้ยอ้ายเวลาควบคุมช่วงความเร็วสูง แต่เมื่อมาจับ CLS53 บอกเลยว่าคนละความรู้สึกจริงๆ ช่วงล่างถุงลมของคันนี้ทำได้ดีสมราคา ทำให้ควบคุมอาการ ยวย ย้วยของตัวปกติได้ทั้งหมดซึ่งบอกเลยว่าช่วงล่างแน่น นิ่งดีเอามากๆเลย รวมถึงเวลาเข้าโค้ง นั้นในช่วงโค้งกว้างๆนั้นบอกเลยว่าเอาอยู่ควบคุมได้อยู่หมัด และนิ่งมากๆ แม้ว่าความคล่องตัวในรถยนต์ขนาดนี้ ยาว 5 เมตรจะทำให้การเข้าโค้งแคบอาจจะไม่ได้คล่องตัวมาก แต่ถ้าโค้งกว้าง เส้นถนนใหญ่ๆบอกเลยว่า CLS53 นั้นเข้าได้สนุกมากจริงๆและตัวรถไม่มีอาการโยนแม้แต่น้อยแม้จะเข้าความเร็วสูงๆก็ตามครับ ส่วนทางตรงบอกเลยว่าความเร็วสูงขนาดไหนก็ไม่ต้องแต่งพวงมาลัยเยอะช่วงล่างรุ่นนี้กับระบบขับเคลื่อนทำได้ดี

ในเรื่องอัตราเร่งบอกเลยว่าตีนต้นที่มีมอเตอร์เข้ามาช่วย และ ตีนปลายที่ไหลไวทำให้เราขับไปถึง 160 แบบไม่ทันตั้งตัวเพราะตัวรถยนต์นั้นเงียบ และนิ่งอย่างมากครับ เป็นจุดที่ดีจริงๆ ในโหมด Comfort เองก็ทำออกมาได้นุ่มกำลังดี แต่ไม่ได้นุ่มสบายแบบย้วยมากแต่จะนุ่มแบบหนึบๆครับ เห็บรอยต่อถนนในเมืองไทยได้ดีแบบไม่กระเด้ง แต่ถ้าเมื่อไรปรับเป็น Sport+ บอกเลยว่ามีความแข็งและนิ่งรวมถึงกระด้างขึ้นเยอะมากจริงๆเพราะว่าในความเร็วสูง ช่วงล่างแข็งเท่าไรยิ่งขับสนุก และดีต่อการขับขี่เข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลน แต่ก็แข็งแบบหนึบเกาะถนนด้วยเช่นกันครับตัวนี้ตอบโจทย์มาก ในการขับขี่ทางไกลหรือความเร็วสูง ทำให้อัตราเร่งไม่ต้องกังวลแม้จะเร่งแซงและตีนต้น และถ้าเปิด SPORT+  เสียงเครื่องยนต์จะก้าวร้าวมากขึ้น มีเสียง Backfire และ Pop and bang มาตลอดเวลาถอนคันเร่ง ทำให้อารมณ์ของการขับขี่บอกเลยว่า สนุก และสะใจมากจริงๆ แต่อัตราการกินน้ำมันก็ ดุตามน้ำหนักเท้าของเรา

การเก็บเสียงนอกเหนือจากเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาให้เร้าใจ เราแทบจะไม่ได้ยินเสียงลม หรือ เสียงยางอะไรเลยแม้แต่น้อย ตัวรถพยายามเก็บเสียงทุกอย่างให้เงียบ แต่จะเน้นเสียงเครื่องยนต์ และ ท่อให้เราได้ยินอยู่จุดนี้ถือว่าดีครับ และ พวงมาลัยก็เป็นจุดที่ชอบยังคงความคมแม่นยำได้ดี ควบคุมได้แม่นในการเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลน 2 เลนในความเร็วสูงตัวรถไม่เจออาการดื้ออะไรและยังพาเราออกโค้งได้ดีด้วยในการทำงานร่วมกันกับขับ 4 ของคันนี้ครับ ส่วนตัวนั้นการขับขี่ไม่มีส่วนไหนให้บ่นเลย เรียกได้ว่าประทับใจทั้งหมด แต่มีบ่นคือเรื่องของเบาะนั่งไม่สบายเท่าที่ควรเลยจริงๆในส่วนของการรองรับช่วงหลังของเบาะ ขับทางไกล 300กม. จะเริ่มปวดๆหลังนิดหน่อยซึ่งเราไม่เจอปัญหานี้ใน คู่แข่งนะ แม้จะเป็นเบาะทรงคล้ายๆกันก็ตาม แอบเสียดายในเรื่องนี้ครับ แต่เบาะหลังนั่งสบายไม่มีปัญหาเลย

CONSUMTION

ทางด้านอัตราสิ้นเปลืองในการขับขี่รุ่นนี้แน่นอนว่าเป็นตัว CLS53 เรื่องความแรงไม่ต้องสงสัย แต่การกินน้ำมันก็ตามความแรงครับบอกเลยว่า ใครที่จะใช้งาน CLS53 ต้องทำใจเรื่องนี้ซะหน่อยเพราะว่ามันซดหนักกว่ารุ่นปกติเยอะจริงๆ ด้วยพละกำลัง 6 สูบ ด้วยเช่นกันทำให้อัตราเร่ง 0-100 ภายใน 5 วิในโหมด Sport+ บอกเลยว่าสบายๆครับ แต่แน่นอนการขับขี่ จริงๆก็ทดสอบมาหลากหลายแบบนะครับ แบบขับโหดสุดๆเลยในโหมด Sport+ ในเมืองและต่างจังหวัดนั้นจะได้ประมาณ 8 กิโล ลิตร เลยทีเดียว ขับแบบเหยียบสุดๆนะครับอันนี้คือโหดที่สุดแล้ว แต่ถ้าขับแบบทั่วไปในโหมด Sport ขับแบบไม่โหดมากนักก็จะได้ 8-9 กิโล ลิตรไม่แตะ 10 ครับ แต่ถ้า ขับโหมด Comfort ในการขับขี่พื้นฐาน ในเมือง นอกเมืองจะทำได้ 10-12 กิโล ลิตร เลยครับถือว่ายังพอประหยัดได้อยู่นะ แต่ถ้าเทียบ 300D บอกเลยว่าต่างกันแน่นอน  ก็ต้องพอเข้าใจความเร็วแรง พละกำลังที่แลกมากครับ แต่เหยียบเพลินมากจริงๆ

AMG CLS 53 

” พ่อบ้านตัวแรง เสียงเครื่องเร้าใจ ช่วงล่าง เครื่องยนต์ พวงมาลัย ลงตัวไปทั้งหมด “

ต้องบอกว่าก่อนที่จะมาลอง CLS53 เคยสัมผัส CLS300D มาก่อนและไม่ค่อยประทับใจในเรื่องของการขับขี่เท่าไรนัก ทั้งช่วงล่าง เครื่องยนต์ แน่นอนว่ามันเป็นรถใช้งานทั่วไปครับ แต่ก่อนที่จะมาลองทำให้เราคิดว่า รถมันคงอุ้ยอ้ายแน่ๆ แม้จะเครื่องแรงก็ตาม แต่เมื่อได้อยู่กันมันหลายวันแบบนี้ขอเปลี่ยนความคิดทั้งหมด ตัว CLS53 ออกมาตอบโจทย์พ่อบ้าน สายซิ่งได้มากจริงๆตัวรถอาจจะไม่ได้หวือหวาตกแต่งเยอะมาก แต่พละกำลังในตัวรถบอกเลยว่า เหลือๆครับ ช่วงล่างนิ่ง แน่น ดูดถนนแบบนี้ ทำงานร่วมกันกับขับเคลื่อน 4 ล้อ และ เกียร์ 9 สปีดต่างๆทำให้การเร่งแซง การขับขี่ความเร็วสูง เปลี่ยนเลน เข้าโค้ง มันไปได้ทุกที่แบบไม่มีอาการโยน หรือย้วยแม้แต่น้อย และ 0-100 เดือดๆ 5 วิแบบนี้กับตัวรถ 2 ตัว 5 เมตร ทำให้เราไม่เหมือนขับรถขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย จุดนี้ต้องขอชื่นชมครับ และด้วยราคา 5.39 ล้านแบบนี้คู่แข่งเรียกได้ว่าสู้ได้ยากในเรื่องของการขับขี่ สมรรถนะ และออฟชั่นที่เสริมมาแน่นๆ เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆคันนึงในบรรดา AMG ของค่ายนี้ที่ประกอบไทยและทำราคาได้ดีขนาดนี้ครับ บอกเลยว่าสุดจริง

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares