AUDI ถือว่าเป็นค่ายแรกๆในไทยที่เริ่มเอารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาขายตั้งแต่ e-tron SUV ถ้ามองเทียบกับค่ายยุโรปคันอื่นๆ และ ถ้ามองย้อนไป 1-2 ปีก่อน AUDI ได้เปิดตัว etron-GT และ มีการโชว์ในหนัง Avengers Endgame ที่เป็นรถยนต์ของทาง Tony Stark : IRON MAN นั้นเองครับ บอกเลยว่าทางผมเองนั้นชอบดีไซน์ งานออกแบบของรุ่นนี้ตั้งแต่แรกเจอ รวมถึงด้วยเทคโนโลยีการขับขี่ของ AUDI ทำให้คาดหวังตั้งแต่แรกๆเลยว่ามันน่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับดีที่สุดคันนึงในตลาด แถมมีญาติห่างคือ PORSCHE TAYCAN ด้วยเพราะระบบขับเคลื่อน งานออกแบบหลายๆส่วนใช้แบบเดียวกัน รวมถึง Platform ของตัวรถ แต่โดยส่วนตัวผมชอบเส้นสาย ดีไซน์ e-tron GT มากกว่าพอสมควร ทั้งภายนอก และภายในของตัวรถทั้งหมดนะ และ ครั้งนี้เราได้มีโอกาสอยู่กับมันหลากหลายวันและบอกเลยว่า ขอยกให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับสนุก และสวยที่สุดเท่าที่ได้ลองมาหลากหลายรุ่นเลย

AUDI e-tron GT ในไทยตอนนี้จะเน้นไปทางรุ่น PERFORMANCE ที่จะรองรับการชาร์จไว AC 22kW และ ล้อ รวมถึงเบรกที่ดูสวยกว่ารุ่นเริ่มต้นครับ ส่วนทางด้านพละกำลังและมอเตอร์ ระยะทางนั้นจะหนีกันไม่มากนัก มาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (2 Electric Motors) ซึ่งพละกำลัง Normal Mode กำลังสูงสุด 476 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร แต่ถ้าเปิด Boost Mode จะได้กำลังสูงสุด 530 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control ทำ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4.5 วินาที และ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4.1 วินาที (Boost Mode) พร้อมกับ ความเร็วสูงสุด Top Speed 245 km/h พร้อมกับใช้งานแบต แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุขนาด 93.4 kWh รองรับระยะทาง 523 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC นั้นเอง ถ้า WLTP น่าจะอยู่ในช่วง 480 กิโลเมตรครับ รองรับ ชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด ขนาด 270 kW และ กระแสไฟฟ้าสลับ AC Onboard Charger ขนาด  22 kW ถ้าใช้ตู้ไฟฟ้า DC 270 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 20 นาที ได้ 80% และแบตเทคโนโลยี 800V นั้นเองครับ ใช้แบตเตอรี่ แบบ 36 Modules ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ สามารถเปลี่ยนซ่อม Repairable แยก Modules ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนยกแผง พร้อมกับ ล้อ 21 นิ้ว เบรกสีส้ม และทางด้านออฟชัน Blind Spot และ เตือนออกนอกเลน ดึงพวงมาลัยกลับ และ Pre Sense รอบคันให้มาครบถือว่ามากกว่าหลายๆตัวในค่าย อีกทั้ง ยังได้เครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ รวมถึงไฟหน้าเทพแบบ Matrix LED พร้อมไฟ Audi laser และเอฟเฟ็กต์ไฟด้านหน้า (Light staging) ครบๆ แต่น่าเสียดายว่า ยังคงไม่มี Adaptive Cruise Control และระบบช่วยขับอื่นๆใส่เข้ามา อีกทั้ง หลังคากระจกไม่มีออฟชันหลังคาทึบให้เลือกครับ  แต่สเปกการขับขี่ ดีไซน์ภาพรวมค่อนข้างจัดเต็มกันเลยทีเดียว

  • e-tron GT quattro Performance  7,249,000 บาท รองรับชาร์จ AC : 22kW

EXTERIOR

งานออกแบบหลายๆส่วนแน่นอนว่าหลายๆคนอาจจะมองแล้วนึกถึง TAYCAN จริงๆมันคือญาติกันเลยรูปทรง เทคโนโลยี ขนาดตัวรถ แต่บอกตรงๆเลยว่าชอบ AUDI เส้นสายค่อนข้างมีมิติมากกว่า และ ดูมีอะไรมากกว่าของอีกค่ายนะ ทั้งด้านหน้าและท้ายรถ มาพร้อมกับมิติตัวถัง ยาว  4,989 มิลลิเมตร และ กว้าง  1,964 มิลลิเมตร รวมถึง สูง  1,413 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ : 2,898 มิลลิเมตร เป็นรถที่ กว้าง และ แบน เตี้ยมากๆครับ ในการขับขี่ในเมือง หรือ ตามซอยในกรุงเทพอาจจะแน่นพอสมควร รวมถึงตามที่จอดรถบางที่อาจจะแน่นๆเปิดประตูลำบาก แต่ยังดีที่รุ่นนี้บางครั้ง ก็สามารถจอด Supercar ได้ถ้าหาก รปภ เค้าให้จอด หรือ ช่วงวันธรรมดาครับ ก็สะดวกพอสมควรเลยแหละ ส่วนที่เราเห็นจะเป็นสีเทา Suzuka Grey เทาขาว เวลาเจอแสงจะสีขาว แต่ในร่มจะเทาๆหม่นๆ

เราจะเห็นว่ารูปทรง สัดส่วนตัวรถมันเป็นรถที่สวยและลงตัวมากๆ มัดกล้ามเส้นสายซุ้มล้อคือดูโดดเด่นเมื่อเจอแสงแดดต่างๆเส้นสายคมชัดเจน และ ดีเทลดูดีตัวรถเตี้ยและแบน แต่ก็สามารถปรับช่วงล่างยกสูง หรือ โหลดต่ำได้อีกในโหมดประหยัดรถจะต่ำที่สุดครับ แต่ในภาพนั้นจะเป็นแบบปกติพื้นฐาน รูปทรงสวยสปอร์ตมากๆ พร้อมกับล้อ 21 นิ้วจะค่อนข้างเต็มซุ้มล้อแน่นๆสวยงามรวมถึงตัวรถ ตัดสีขาวดำลงตัว ยกให้มันเป็นรถที่สวยและสัดส่วนดีมากๆ และในด้านท้ายเราจะเห็นไฟท้ายแนวยาว และ กันชนหลัง Diffuser ขนาดใหญ่ และ สปอยเลอร์หลังแบบยกเองได้

หน้าตรงแบบนี้เราจะเห็นเลยว่า AUDI พยายามออกแบบหน้ารถให้มีความรู้สึกว่ามีกระจังหน้าอยู่แบบรถยนต์ทั่วไปแต่ปิดทึบมากกว่าเดิม เล่นสีเทาเรียบๆ และ เสริมด้วยสีเทาเข้มรอบๆพร้อมกับบรรดาช่องดักลมของจริงข้างๆ และ ตรงกลาง แต่เราจะเห็นพวก เรดาร์กลมๆ แต่น่าเสียดายว่าในไทยเองไม่ได้ใช้งานครับ รวมถึงกล้องรอบคันต่างๆครบ เซนเซอร์ครบ ส่วนด้านท้ายเองนั้นจะเห็นไฟท้ายแนวยาวๆ มีลูกเล่นนิดหน่อยไม่เรียบเกินไป พร้อมกับ หลังคาลาดยาวจนถึงขอบฝากระโปรง รวมถึง สปอยเลอร์หลังที่ ยกระดับเองเมื่อความเร็วสูง หรือ จะเปิดปิดเองได้ในตัวรถเช่นกัน

ไฟหน้ารูปทรงสวยงามแบบยุคใหม่ของ AUDI  แน่นอนว่าตัวนี้เทคโนโลยีสูงที่สุดคือมาพร้อมกับ LASER LIGHT และเสริมด้วย MATRIX เข้าไปทำให้มันสว่างไกล และ แบ่งพิกเซลได้ดีขึ้นกว่าเดิมไปอีก ไกลกว่า LED ทั่วไป 2 เท่าแถมเป็นไปที่สว่างไกลถึง 600 เมตร และแสงเข้มคมมากๆ ซึ่งไฟหลักจะอยู่มุมๆ และ ไฟเลี้ยวจะเป็นแบบวิ่งเช่นกัน รวมถึงมี Effect เวลาปลดล็อกไฟวิ่งสวยงามอย่างมาก รวมถึงไฟท้ายก็เช่นกันเป็น Full LED ทั้งหมด พร้อมไฟ Light Staging เช่นกันครับ และแน่นอนว่ารุ่นนี้จะมาพร้อมกับที่ชาร์จ 2 ฝั่งของตัวรถ รองรับ AC 22kW และ ด้านซ้ายของตัวรถจะเป็น DC 270kW แต่ AC จะชาร์จ 2 ข้างพร้อมกันไม่ได้นะออกแบบเพื่อความสะดวกต่อการชาร์จ

กระจังหน้าแบบปิดทึบทั้งหมดในไทยเองนั้นจะได้เป็นสีเทาทั้งหมดไม่ได้เปลี่ยนสีตามตัวรถ รวมถึงมีเซนเซอร์รอบคันมาให้ครบ และกล้องรอบคันดีไซน์ดีเทลค่อนข้างดูดีเป็นทรง 6 เหลี่ยมมิติสวยงามและมีช่องรับอากาศเข้าตัวระบบแอร์ของรถเล็กน้อย ส่วนทางด้านกระจกมองข้างมี Blind Spot และ กล้องรอบคันมาให้แน่นอนว่ายังคงใช้งานกระจก ไม่ได้เป็นกล้องแบบ etronช่วงแรกๆครับ รวมถึงมุมมองในการใช้งานจริงๆไม่มีมุมอับอะไรแม้ขนาดจะไม่ใหญ่มากนัก ส่วนทางด้านล้อในรุ่นนี้เราจะได้ 21 นิ้วลวดลายสวยงามเล่นสีดำ ผสมกับสีเงินด้านๆสวยงามออกแบบกึ่งสปอร์ตแต่ก็เน้นเรื่อง Aerodynamic อยู่บ้างครับพร้อมกับช่วงล่างถุงลมที่ปรับนุ่ม แข็ง และ ยกสูง หรือ ต่ำได้อีก และ เบรกขนาดใหญ่ 6 Pot สีส้มสวยงาม รองรับพละกำลัง 530 แรงม้าได้แบบเอาอยู่สบายๆ

และอย่างที่บอกว่า รถยนต์ไฟฟ้าเน้นเรื่อง Aerodynamic ทำให้ช่องรีดอากาศต่างๆเป็นของจริงทั้งหมดด้านข้างตัวรถแบบดียวกับ TAYCAN และ เส้นสายซุ้มล้อจุดนี้เป็นส่วนที่ผมมองว่ามันสวยกว่า TAYCAN เส้นสายคมๆ มัดกล้ามชัดๆ และ เล่นกับแสงได้แบบนี้เป็นจุดที่อีกคันไม่มี และทำให้รถดูเป็น Muscle Car ได้เลยนะ ขอชื่นชมเส้นสายคันนี้จริงๆครับ และ ทำให้รถดูแบน กว้างมากกว่าเดิม แม้ว่าจะแอบขัดใจมือเปิดน่าจะเป็นแบบซ่อนไม่งั้นจะสวยลงตัวเลย

และแน่นอนว่าด้วยการพัฒนาพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้าทำให้หน้ากระโปรงนั้นจะโล่งและรองรับการใส่ของได้สบายมีความจุ 85 ลิตร สามารถใส่กระเป๋าเดินทาง ใส่ของได้สบายๆหรือในภาพนั้นจะเป็นที่ชาร์จพกพาที่ให้มากับตัวรถนั้นเองครับ ถือว่าเป็นจุดนึงที่รถยนต์ไฟฟ้าควรจะมีช่องเก็บของแบบนี้ ส่วนการเปิดนั้นจะอยู่ตรงขอบประตูคนขับนั้นเอง

INTERIOR

งานออกแบบภายในเป็นจุดนึงที่ AUDI เองทำได้ดีเพราะว่าไม่ใช่แค่หน้าจอ Tablet มาแปะ แต่เป็นการออกแบบผสานหน้าจอลงไปบนคอนโซลแบบเนียนๆ และ ปรับมาใช้งานปุ่มปรับแอร์แบบปุ่มจริงๆไม่ใช่หน้าจอสัมผัสแล้ว เพราะว่าในแง่ของการใช้งานจริงๆหลายคนน่าจะชอบแบบนี้มากกว่า รวมถึงตัวผมด้วยเช่นกันครับ แม้ว่าเพื่อนร่วมค่ายแบบ TAYCAN จะเป็นจอสัมผัสล้วน แต่คันนี้กลับกลายเป็นปุ่มและเน้นระบบแมนนวลเป็นหลักซึ่งหลายๆคนน่าจะชอบแบบนี้มากกว่า และ เส้นสายภายในถือว่าสวยลงตัว แม้ว่าแสงสีอาจจะไม่ได้เยอะแบบพวก A7 A8 เท่าไรนักครับ ส่วนวัสดุงานประกอบในตัวนี้ถือว่าคุณภาพแน่น สมราคา และ วัสดุค่อนข้างทำผิวสัมผัสได้เนียนลงตัวเอาเรื่อง

เมื่อดูช่องแอร์แน่นอนว่าจะวางอยู่ตำแหน่งค่อนข้างต่ำ แต่ก็สามารถใช้งานได้ไม่มีปัญหาครับแอร์จะไม่เป่ามือเวลาขับและยังคงปรับแบบมือได้ไม่ต้องผ่านหน้าจออะไรให้ยุ่งยากและเราจะเห็นส่วนควบคุมแอร์ทั้งหมดเป็นแบบปุ่มจริงๆ แยกซ้าย ขวา และ มีหน้าจอดิจิทัลเสริมให้ครับ เพราะว่าในรุ่นก่อนๆมีผู้ใช้งานหลายคนไม่ค่อยชอบแบบจอสัมผัส ทำให้รุ่นใหม่ๆตอนนี้ AUDI ปรับมาใช้งานแบบปุ่มกดจริงๆอีกครั้ง และ เราจะเห็นว่าคอนโซลกลางค่อนข้างโล่งเพราะได้ปรับเกียร์เป็นแบบสวิทช์ไฟฟ้าเรียบๆแล้วทำให้ดูโล่งขึ้นและดีไซน์มีไฟส่องข้างล่างดูคล้ายๆปุ่มลอยขึ้นมา ส่วนทางด้านหน้าจอหลัก MMI รองรับ Apple Carplay สัมผัสติดนิ้ว แต่ในแง่ของ UI UX อาจจะเรียบๆไม่ได้หวือหวาแบบค่ายอื่นๆ ยังคงเน้นความเรียบ 2D มากกว่าเน้นสีดำแดงขาวเช่นเดิมครับ ซึ่งถ้าไปมองค่ายอื่นๆตอนนี้เน้นแสงสีหวือหวา และ  3D UI กันไปแล้วอันนี้ก็แล้วแต่ชอบเลยทำให้ถ้าชอบแสงสี หวือหวา ค่ายนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์

พวงมาลัยคันนี้มาในทรงที่คุ้นเคยกันดีปาดขอบล่างและใช้งานปุ่มสีดำเงาสไตล์ S Line พร้อมด้วยวัสดุหนังแบบเจาะรูที่รองรับการอุ่นพวงมาลัย เพราะว่าคันนี้นำเข้าทั้งคันนั้นเองในไทยอาจจะไม่ได้ใช่ฟีเจอร์นี้เท่าไร รวมถึงรุ่นนี้มี Paddle Shift แต่ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนเกียร์ แต่เป็นการเปลี่ยนรีเจนในการดึงพลังงานกลับ ว่าจะ 1-3 นั้นเอง จุดนี้ถือว่าชอบมากๆครับ เพราะมันสะดวกมากจริงๆในการใช้งาน เวลาขับ ตจว หรือ ขึ้นลงเขา ส่วนทางด้าน Virtual Cockpit เรือนไมล์นั้นหน้าตาแบบที่เราคุ้นเคยเน้นความเรียบง่ายเหมือนเดิม และ บอกระยะทางที่ขับได้จริงๆทั้งหมดปรับตามการขับขี่จริงครับ และ สามารถแสดงผลหน้าจอแผนที่แบบเต็มๆได้ แต่ไม่ได้ซิงค์กับ Apple Carplay นะ ส่วนแสงสีกลางคืน ค่ายนี้มาแบบพอดี ไม่แยงตา ไม่เยอะเกินไปแต่น่าเสียดายว่าปรับแสงสีได้ 1 โซนไม่เหมือนกับ AUDI A8 A7 หรือ etron Sportback ซึ่งพวกนั้นแสงสีสวย และ หวือหวากว่าครับทำให้รุ่นนี้เน้นเรียบง่าย Ambeint Light จริงๆ ซ่อนตามจุดแบบพอดีๆ และมีเสริมโลโก้ etron เรืองแสงได้ และปรับสีได้หลากหลายทั้งคัน

ตัวเบาะหน้าเป็นทรง Bucket Seat แบบบางๆแต่นั่งสบาย กระชับมากๆ แต่น่าเสียดายว่าไม่มีฟีเจอร์นวดเบาะ หรือ ดันหลังอะไรมาให้เลยครับแต่ยังดีที่ได้ Memory Seat มาให้ ส่วนตำแหน่งการนั่งจริงๆไม่ได้จมแบบที่คิด ค่อนข้างกำลังดีกับการขับขี่ แต่การขึ้นลงอาจจะยากนิดหน่อยครับคล้ายรถ Sport Supercar ได้เลย ส่วนการวางขา เข่า หรือ หลังคาไม่ได้อึดอัดไม่เบียดและนั่งสบาย แต่เราจะเห็นหลังคากระจกที่ไม่มีม่านบังแดดบอกเลยว่าขับจริงๆถ้าช่วงนี้ จะเริ่มมีไออุ่นเข้ามาแม้จะติดฟิล์มก็ตาม ช่วง 11-13.00 แต่หลังจากนั้นไม่ค่อยร้อนเท่าไรครับจะมีแค่เที่ยงๆเนี่ยแหละที่เริ่มรู้สึก ส่วนด้านหลังมีแอร์แยกโซน และเราจะเห็นว่าพวกดีเทล การตกแต่งจะแตกต่างกับ TAYCAN ที่รุ่นนั้นจะหรูหรากว่า พรีเมียมกว่า ซึ่งเป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกันในแง่ของวัสดุ การตกแต่ง ความหวือหวาพวกนี้ครับ แต่การนั่ง เบาะ ตำแหน่งต่างๆเหมือนกัน ส่วนที่ชาร์จนั้นจะอยู่ตรงใต้เบาะตรงกลางนะเป็น USB-C ทั้ง 2 ช่องครับ ส่วนที่นั่งด้านหลังเอง กระชับ แต่ไม่ได้โปร่งโล่งเท่าไร แต่หัวไม่ติดนะสำหรับผมสูง 180 แต่มันจะฟีลแบบรถสปอร์ตพอสมควร

และที่สำคัญในการออกแบบการวางแบตและที่นั่งของ AUDI เองนั้นเราจะเห็นว่าไม่ใช่แค่วางแบตแปะใต้ท้องรถแต่เค้าคำนึงถึงการนั่งด้านหลังจะเว้นช่วงแบตออกไปตรงที่วางขา และ ไปใส่ใต้เบาะหลังแทนรวมถึงทำให้มีที่วางขาได้ลึกขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีที่พัฒนา Platform สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาแบบนี้ไม่งั้นเราจะได้แบตที่ห้องใต้ท้องรถนั้นเองและยิ่งรถที่เตี้ยแบบนี้การจัดการพื้นที่ห้องโดยสาร และ แบต ถือว่าต้องใส่ใจอย่างมากครับ จะเห็นเลยว่าตำแหน่งการนั่งจะสบายขึ้นพอสมควรในการเว้าลงไป ส่วนด้านหน้าจะเน้นการขับขี่จะแนวยาวไปมากกว่าคล้ายรถ Supercar เลย

TECHNOLOGY 

ในส่วนของเทคโนโลยีแน่นอนว่ายังคงน่าเสียดายว่าพวกระบบช่วยเหลือการขับขี่ยังน้อยไปนิด และไม่สามารถเพิ่มออฟชันอะไรได้ แต่รุ่นนี้ก็ถือว่าเยอะกว่าตัวอื่นๆพอสมควรครับเน้นไปที่ความปลอดภัยเป็นหลักไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบพื้นฐาน Audi pre sense basic
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ ด้านหน้า Audi Pre Sense Front
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ ด้านหลัง Audi Pre Sense Rear
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
  • ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน Lane Change Assist
  • ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านหน้ารถ เมื่ออยู่ทางแยก Front Cross Traffic Assist
  • ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้าง และ ด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ Exit Warning
  • ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้าง และ ด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง Rear Cross-Traffic Assist

ส่วนฟีเจอร์อื่นๆนั้นแน่นอนว่ากล้องรอบคัน 3 มิติต่างๆให้มาครบทั้งหมด แต่พวกระบบช่วยจอดอะไรนั้นไม่มีใส่เข้ามาให้แอบน่าเสียดาย แต่พวกฟีเจอร์ Apple Carplay หรือ Android Auto ให้มาพื้นฐานพร้อมใช้งานเป็นปกติ ซึ่งก็ยังคงเป็นจุดที่น่าเสียดายว่าพวกระบบหวือหวาต่างๆ การโหลดแอป หรือ ถ้ามองไปคู่แข่งมีเล่นเกมบนรถได้ หน้าจอปรับแต่งได้เยอะ หรือจะมีแอป Youtube ให้นั่งดูระหว่างรอชาร์จได้เป็นต้น แต่ AUDI ยังคงเน้นความเรียบง่ายเป็นหลักในรุ่นนี้ครับ ถ้าหากรับเรื่องพวกนี้ได้ เน้นแค่การขับขี่ ที่ให้ฟีลลิ่งดีๆ พวกนี้ก็อาจจะเป็นจุดที่ไม่เป็นปัญหามากนัก

DRIVING 

ในเรื่องของการใช้งานจริงแน่นนอนว่าระยะทางแม้จะเป็น 523 ตามสเปก NEDC แต่ตัวเลขที่โชว์จะขึ้นปรับตามการขับขี่ก่อนหน้าทำให้ใช้งานจริงๆจะได้เฉลี่ย 440 กม. ต่อการชาร์จในสภาพอากาศร้อนๆช่วงนี้ และ สามารถ ใช้งานอัตรากินไฟ เฉลี่ยในเมือง 20-23 kWh/100km กับพละกำลังสูงสุด 530 แรงม้า และ โหมด Dynamic ครับ ส่วนทางด้านช่วงล่างถ้าปรับแบบประหยัดรถยนต์จะต่ำที่สุดในการขับขี่ และ ประหยัดไฟประมาณ 19kWh/100km ครับ ในการทดสอบจริง และในการชาร์จถ้าตู้รองรับไฟแรงๆ แม้แบตจะ 80% ไฟชาร์จเข้ามากถึง 100kW ถือว่าแรงสะใจเลยครับ ช่วงล่างทำได้ดีไม่มีที่ติ ถุงลม ปรับระดับ และ แข็งอ่อนได้สามารถใช้งานความเร็วสูงได้มั่นใจมากๆ และ ด้วยตัวรถที่แบน และ กว้างถึง 1.9 เมตรปลายๆ จะขับในเมืองแอบลำบาก รวมถึงตามซอยต่างๆ แต่ข้อดีก็ทำให้ การเกาะถนน และ แบตที่ต่ำตรงกลางทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำมากขึ้นยิ่งเกาะถนนได้ดีกว่าเดิม เหมาะกับ Supercar ไฟฟ้า ในคราบซีดานได้ดีจริงๆ อีกทั้ง การเซต พวงมาลัย และ สามารถควบคุมได้ง่ายกว่าที่คิดในเมือง และ ความเร็วสูง รวมถึงทางด้านเสียงสังเคราะห์เองก็สามารถปรับได้ และได้ยินถึงข้างนอกด้วยเช่นกัน
.
ข้อที่ประทับใจแน่นอนว่า เรื่องการขับขี่ ช่วงล่าง อัตราเร่ง และ วัสดุงานประกอบ รวมถึง การใช้งานที่ภายในไม่ใช่แค่หน้าจอมาแปะ ยังคงมีปุ่มมาให้ คือใช้งานจริงได้ดี และ ออกแบบสวยมากๆ แสงสีไม่เยอะเกินไปกำลังดี ทำให้ ความเป็นรถยนต์ ฟีลลิ่งทุกอย่างมันดีจริงๆครับ อีกทั้ง งานออกแบบสวย และ ลงตัว เส้นสายคม มัดกล้ามเด่นชัด
.
แต่แน่นอนว่าหลังจากที่ใช้งานจริงมาก็มีข้อที่แอบขัดใจเช่น หลังคากระจก ไม่มีฟีเจอร์ทึบแสงแบบ TAYCAN และ ไม่มีออฟชันหลังคาปกติมาให้ใช้งาน ไม่มีม่านบังแดด ใช้งานจริง ติดฟิล์ม 80 ก็ยังมีไอร้อนในช่วงนี้ เวลาเที่ยงๆ รวมถึง พื้นที่ข้างหลังอาจจะไม่ได้กว้าง สบายมากนัก แต่ข้างหน้าออกแบบได้ดี กระชับ ไม่จมมากเกินไป แต่ขึ้นลงอาจจะยากนิดนึงครับ ตัวรถค่อนข้างเตี้ย รวมถึงพละกำลังแรงๆแบบนี้ อาจจะทำให้ระยะทางหายไปไวนิดหน่อยในการใช้จริง

AUDI E TRON GT PERFORMANCE 

” เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ทางเราประทับใจที่สุด ทั้งดีไซน์ การขับขี่ และ ฟีลลิ่งภายใน ! “

เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ส่วนตัวผม ชอบเส้นสาย งานออกแบบ และ สัดส่วนมิติตัวรถ ตั้งแต่เปิดตัว และ ชอบมากกว่า TAYCAN ญาติใกล้ๆกันซะอีกครับ รวมถึง พละกำลัง การขับขี่ หลังจากได้ทดสอบเต็มๆบอกเลยว่า เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ประทับใจที่สุด และ ขับดีที่สุดคันนึงในตลาดเมืองไทย รถยนต์ไม่ใช่มีแค่ตัวเลข 0-100 แต่คันนี้ ทั้งช่วงล่าง ฟีลลิ่ง และ คุณภาพตัวรถคือทำได้ดีทุกจุด ถ้าจะให้จัดอันดับรถ EV ที่ดีที่สุดแน่นอนว่าคันนี้สามารถทำได้ดีและติดอันดับได้แน่นอนแม้ว่าจะออกมานานแล้วก็ตาม อีกทั้ง AUDI เองก็ขึ้นชื่อเรื่องช่วงล่างและการขับขี่ที่แตกต่างกับคู่แข่งพอสมควรเลยทีเดียว เป็นรุ่นที่ มีระบบช่วยเหลือการขับขี่เข้ามาบ้าง ทั้ง Lane Keeping Assist และ BSM รวมถึง เตือนการชนหน้า และ หลัง และ RCTA รวมถึงกล้องรอบคันต่างๆให้มาครบทั้งหมด แต่น่าเสียดายว่า ไม่มี Adaptive Cruise และ ระบบช่วยขับเข้ามาในรุ่นนี้ และไม่สามารถเสริมออฟชันได้เลย ถ้ารับในหลายๆเรื่องพวกนี้ได้ ได้ลองแล้วจะประทับใจจริงๆครับ และตอนนี้รถเริ่มเข้ามาพร้อมส่งมากขึ้นไม่ต้องจองรอกันข้ามปีแล้วนั้นเอง

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares