AUDI ประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 2 ที่นำเข้ามาขายในชื่อ e-Tron ซึ่งในก่อนหน้านี้เคยมีรุ่น e-Tron ปกติเข้ามาขายในไทยแล้วเป็นทรง SUV ทั่วไปครับ แต่ในครั้งนี้ทาง AUDI ได้นำเข้า e-Tron Sportback เข้ามาขายในไทยซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายๆด้านในเรื่องของงานออก และส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของตัวรถนั้นดีขึ้น แน่นอนว่าระยะทางการขับขี่นั้นก็ทำได้ดีกว่าในรุ่นปกติด้วยเช่นกันครับ เพราะงานออกแบบนี้ทำให้ตัวรถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25 ถือว่าน้อยกว่ารุ่นปกติแบบชัดเจน ด้วยเช่นกัน และในรุ่นที่เข้ามาขายในไทยนั้นจะเป็นรหัส 55 ตัวแรงสุด จะมาพร้อม 95kWh และ สามารถขับขี่ได้ระยะทาง 463 กม. ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทำออกมาตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ทั้งความสูงของตัวรถ ระยะทาง งานออกแบบทั้งหมด รวมถึงเป็นรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน เรื่องของคุณภาพนั้นไว้ใจได้สำหรับ Audi e-Tron Sportback และ หลังจากที่ได้ทดสอบการขับขี่บอกเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ขับสนุกและช่วงล่างดีมากๆคันนึงในตลาด

AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO S-LINE EV  เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนรุ่นที่ 2 เปิดตัวกันไปแล้วแน่นอนว่าในไทยนั้นก็ลุยตลาดรถไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง มาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำงานแยกกันหน้าหลัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Gear และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control แน่นอนว่าเป็นระบบการขับขี่ที่ดีอันดับต้นๆของค่ายรถยนต์เลยก็ว่าได้ พร้อมกับพละกำลังที่ไม่ใช่เล่นๆที่มีทั้ง Normal Mode และ Boost Mode รวมถึง Range mode ในการเพิ่มระยะทาง ให้มากขึ้นในการใช้งาน ฉุกเฉินต่างๆครับ ส่วนตัว Normal Mode นั้นจะเป็นโหมดปกติที่มี กำลังสูงสุด 360 แรงม้า โดยจะแยกเป็น มอเตอร์หน้า 170 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า มาพร้อมกับ แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร ส่วนทางด้าน Boost Mode มาพร้อมกับ กำลังสูงสุด 408 แรงม้า มอเตอร์หน้า 184 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า  แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร และจะทำเวลาได้ 5.7 วิในการขับ 0-100 แต่จะทำงานได้แค่ 8 วินาทีเท่านั้น แต่ถ้า Normal mode จะเร่ง 0-100 ได้ 6.6 วิ และ ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  พร้อมการตกแต่ง S-LINE รอบคันประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21  และ เบรคสีส้มเด่นๆ ครับ  และการตกแต่งภายในทั้งหมดนั้นสวยงามและเป็นแบบ Sport มากกว่ารุ่นทั่วไปพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานมาครบ กล้องรอบคัน 360 องศา และ เซนเซอร์รอบคัน แต่น่าเสียดายในไทยนั้นไม่มีกล้องมองข้างที่มาแทนกระจกนะครับ และไม่มีฟีเจอร์ช่วยเหลือใดๆเลย แต่ถ้าอยากได้สามารถ จ่ายเพิ่ม 2 แสนบาทได้ครับ ส่วนระบบ ใช้งานหน้าจอสัมผัสทั้งหมดในการควบคุมจอบนและจอล่าง ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว และ รองรับ Apple CarPlay – Android Autoพร้อมกับจอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้วในด้านล่างนั้นเอง ทางด้านระบบเสียงนั้นใช้งาน Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติและหน้าปัดจอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว  ยังคงใส่เข้ามาจัดเต็ม ในคันนี้ครับ

PRICE 

AUDI E-TRON SPORTBACK เปิด ราคาจำหน่ายที่ 5,299,000 บาท พร้อม กำหนดส่งมอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 เป็นต้นไป มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Glacier white metallic, Floret silver metallic, Mythos black metallic, Daytona grey pearl effect, Siam beige metallic และ Antigua blue metallic   Audi e-tron มาพร้อมโปรแกรมการดูแล Audi Protection รับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี. และ เรื่องที่ชาร์จก็ได้แถม Wallbox ทุกคันที่ซื้อไปติดตั้งที่บ้านกันฟรีๆไม่ต้องห่วงในเรื่องของการใช้งานเลยแม้แต่น้อยถือว่าสบายใจได้เลยในจุดนี้

EXTERIOR

งานออกแบบในภาพรวมนั้นตัวรถในด้านหน้ามีความใกล้เคียงกับรุ่นก่อนในหลายๆจุดทั้งไฟหน้า เล้นสายและกระจังหน้า แต่ในรุ่น Sportback นั้นจะเน้นความเป็นสปอร์ตเสริมเข้ามาในตัวรถมากขึ้นในชุดแต่ง S-Line ทั้งหมด รวมถึงภายนอก และ ภายในด้วยเช่นกัน และมาพร้อมกับไฟหน้า Matrix LED เช่นเดิมทรงเดียวกับรุ่นปกติครับ แต่ในรุ่นนี้จะมีสีพิเศษเข้ามาใหม่ 2 สีพร้อมกับ   Daytona grey pearl effect และ Antigua blue metallic นั้นเอง ส่วนในไทยนั้นกระจกมองข้างจะปรับมาใช้งานกระจกทั่วไป ไม่ได้ใช้งานกล้องมองด้านข้างนะครับถือว่าน่าเสียดาย แต่ที่ชอบนั้นคือตัว Balance ของตัวรถ มีการออกแบบการจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ของรถมาอย่างลงตัว ทำให้กระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุล โดย Perfect balance อยู่ที่ 50:50  ถือว่าส่งผลดีต่อการขับขี่แน่นอนในเรื่องนี้

งานออกแบบในด้านหน้าภาพรวมนั้นจะเห็นชุดแต่งที่มีความสปอร์ตเพิ่มเติมเสริมเข้ามาในรุ่นนี้ทั้ง ชายกันชนล่าง และ รอบคันที่จะดูแล้วรู้สึกเลยว่ามีความแตกต่างกับรุ่นปกติแบบชัดเจน และเอกลักษณ์จุดขายทั้ง 2 รุ่นก็มีความแตกต่างกันด้วยครับ ในรุ่น Sportback จะเน้นความเพรียวลม สปอร์ตดุดัน แต่ถ้าในรุ่นปกติ จะเน้นใช้งาน พื้นที่ใช้สอยและขับทั่วไปมากกว่านั้นเอง และในรุ่น Sportback มีช่วงล่างถุงลมแบบ Dynamic ที่มีความ สปอร์ตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทรงรถจริงๆนั้นถือว่ามีความสวยงามและเรียบๆแต่มีความดุดันแฝงตัวอยู่ครับ แน่นอนว่าตระกูล E-Tron นั้นรุ่นนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับพวก Q5 และจริงๆตัวรถก็ถือว่าขนาดอะไรนั้นกำลังดีไม่ได้เล็กหรือว่าใหญ่มากเกินไปด้วยนั้นเอง

อีกจุดเด่นของตัวรถนั้นแน่นอนว่าการใช้งานช่วงล่างที่สามารถปรับระดับได้ และสามารถยกให้ตัวรถสูงสุดได้แบบในภาพข้างบน และสามารถโหลดต่ำที่สุดได้ในภาพส่วนล่าง ซึ่งจะเป็นโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันไปครับก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เด่นๆเลยแหละ ขับขี่ได้ทั้งในการขับลุยหรือพื้นที่ที่สูงๆได้ขึ้นเนินต่างๆ หนีน้ำท่วมเป็นต้น หรือจะเป็นการขับขี่ที่เน้นความเป็น สปอร์ต สายซิ่งได้และช่วงล่างจะมีความแน่น แข็งมากกขึ้นด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นช่วงล่างที่ดีมากๆคันนึงของบรรดา Audi เลยครับทั้งเทคโนโลยี และการใช้งานขับขี่ และเป็นรถไฟฟ้าด้วยทำให้ศูนย์ถ่วงต่ำมากๆครับ

งานออกแบบนั้นกระจังหน้านั้นเป็นรูปทรงแบบใหม่หรือว่าเจนใหม่แล้วนั้นเองจะแตกต่างกับรุ่นอื่นๆของค่ายก่อนหน้าครับและทรงเดิมกับตระกูล E-TRON และมีความเปรียบมากขึ้นจากรุ่น Q5 Q7 และด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทำให้ไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะ กระจังหน้าเลยมีความเรียบและเป็นช่องปิดเยอะมากๆใช้งานสีเทาผสมกับสีเงินด้านทั้งหมดและ S-LINE ครับ รวมถึง ตรงส่วนล่างของกระจังหน้าจะเขียนว่า E-TRON ด้วยเช่นกัน พร้อมกับเซนเซอร์ และ กล้องใต้โลโก้ ส่วนช่องดักลมข้างๆนั้นเป็นช่องจริงๆช่วยเรื่องของ การไหลเวียนอากาศที่ดีมากๆ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบนี้ยิ่งส่งผลครับ รวมถึงเส้นสายในด้านหน้ามีความสวยเท่ และ ดุดันตามสไตล์ S-LINE

กกระจกมองข้างสไตล์โฉบเฉี่ยวเล่นสองสีพร้อมกับกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแน่นอนว่า e-tron ในต่างประเทศนั้นจะเป็นกล้องแทนกระจกมองข้างแล้ว แต่ในไทยนั้นเองยังคงใส่กระจกเข้ามาแทน ด้วยความคุ้นชินของหลายๆคนและราคาที่จะทำได้ดีขึ้นเลยทำให้ทางค่าย ตัดสินใจใช้งานกระจกแบบดั้งเดิมครับ และน่าเสียดายไม่มีเตือนมุมบอดอะไร ส่วนด้านท้ายรถนั้นเป็นทรง Sportback พร้อมกับ Ducktail ตูดเป็ดใส่เข้ามาให้เล็กน้อย และ ด้านข้างนั้นจะเป็นเส้นสาย เล่นสีดำพร้อมกับความสปอร์ตส่วนล่างเข้ามาเสริมก็ถือว่าเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยที่เสริมให้รถดูมีอะไรมากขึ้น

ทางด้านตัวล้อเป็นจุดเด่นนึงอย่างมากของรุ่นนี้ ด้วยความที่ทั้งงานออกแบบ และขนาดมีความสวยและโดดเด่นและใหญ่โตแบบนี้ รวมถึง คาลิปเปอร์เบรคสีส้ม ทำให้รถมีความเด่นกว่าเดิมเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นปกติของ Q5 Q7 พวกนี้ ทางรุ่นนี้มาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21 และ เบรคสีส้มที่เขียนว่า E-TRON ลายล้อเป็นลายที่สวยจบลงตัว ไม่ต้องมาปรับแต่งหรือเปลี่ยน ส่วนเหนือซุ้มล้อนั้นจะเป็นที่ชาร์จไฟเข้าของรถยนต์ เพราะว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครับ เปิดด้วยการกด และทำงานเป็นระบบไฟฟ้า มีไฟสถานะ ด้านขวา และ ไฟส่องสว่างสีขาว พร้อมบอกว่าสถานะเป็นอย่างไรผ่านสีครับ พอร์ตชาร์จเป็น TYPE2 – CCS TYPE 2 รองรับมาตรฐานครับ ทั้งชาร์จไว DC -AC ทั่วไปเลย เป็นมาตรฐานเดียวกับ ยุโรป และ สมัยใหม่ทั้งหมดเลยครับ

หลังคา Panoramic ได้ใส่เข้ามา รองรับการเปิดรับลมได้ในส่วนของตอนหน้า แต่ส่วนของกระจกจริงๆนั้นจะยาวไปถึงด้านหลังครับ ถือว่าเป็นหลังคาที่เปิดออกมาแล้วดูไม่สูงหรือเด่นจากหลังคาเท่าไรนักจุดนี้ถือว่าออกแบบมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวเพราะว่าในหลายๆรุ่นเราจะเห็นว่ามันจะกางออกมาเยอะและยิ่งเป็นพวกหลังคาลาดก็จะรู้สึกได้ชัดครับ

ตัวงานออกแบบของตัวรถนั้นจริงๆไม่ได้รู้สึกเลยว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เป็นงานออกแบบที่เรียบแต่ดูดี ดูสปอร์ต และเด่นๆคือตัวรถมาพร้อมกับล้อ 21 นิ้วใหญ่สะใจอย่างมากทำให้ตัวรถดูพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีกขั้นกระจังหน้ายังคงเน้นสีเทาเป็นหลักพร้อมกับ สัญลักษณ์ e-Tron ในด้านล่างกระจัง รวมถึงช่องดักลมต่างๆก็มีเยอะและสามารถเปิดปิดได้ด้วยครับ  Audi ยังคงเป็นค่ายที่ออกแบบรถยนต์ได้ดูดีและลงตัวมากๆเลยแหละ ส่วนไฟท้ายแบบเส้นสายยาวต่อเนื่องยังคงใส่เข้ามาให้คงเอกลักษณ์จากรุ่นปกติ รวมถึงมี Animation เวลาปลดล็อคมาให้นิดหน่อยครับ แต่จะไม่ได้อลังเท่า AUDI A7 ส่วนไฟทั้งหมดถือว่าออกแบบมาลงตัวและสวย พร้อมไฟตัดหมอกมาให้ในมุมขวาล่างของรถ

ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมไฟ Effect Light Staging ด้านหน้า – หลัง พร้อมกับ ไฟ Daytime Running Light แบบ LED และแน่นอนว่า ระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam ดีไซน์เอกลักษณ์ 4 ขีดของรถยนต์ไฟฟ้ายังคงใส่เข้ามาให้ในรุ่นนี้รวมถึง ทรงไฟนั้นจะเป็นตัวเดียวกับรุ่น e-Tron ปกติเลย และ ทางด้านไฟท้ายนั้นจะเห็นการออกแบบไฟขีดๆด้านข้างเช่นกัน ถ้าลองดูดีๆนั้นตัวไฟจะเป็นชุดเดียวกันทั้งหมดกับรุ่นปกติครับ ทั้งเส้นสายและทรงของไฟท้าย แต่จะแตกต่างกันในส่วนของชายกันชนล่างและการออกแบบส่วนล่างที่มีคล้ายๆครีบรีดอากาศนั้นเองและไฟตัดหมอกหลัง รวมถึงไฟต่างๆก็ยังให้มาครบ และไฟเลี้ยวนั้นเป็นแบบไฟเลี้ยงวิ่งเหมือนรุ่นอื่นๆทั้งหน้าและหลัง

ยามค่ำคืนคันนี้ยิ่งโดดเด่นเพราะว่าไฟหน้าไฟท้ายของค่ายนี้ยังคงมีความโดดเด่นเสมอทั้งเส้นสายงานออกแบบ และการใช้งานที่เป็นแนวคิดที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงไฟท้ายเส้นสายยาวๆแบบนี้เราจะเห็นได้ใน AUDI หลากหลายรุ่นและเป็นค่ายที่ออกแบบได้ลงตัว มี Effect ของแสงเวลาปลดล็อคต่างๆ ทำได้ดีครับและช่วยทำให้ท้ายนั้นโดดเด่นกว่าคันอื่นๆบนท้องถนน รวมถึงไฟหน้าที่เป็นไฟทรงเดิมกับ e-tron รุ่นปกติ และขีด 4 ขีดเป็นเอกลักษณ์

เมื่อปลดล็อครถนั้นไฟท้ายไฟหน้าจะติดทั้งหมดเป็นไฟนำทาง เวลาปลดล็อคในที่มืด และมีไฟส่องสว่างที่มือจับ 2 ดวงคือสามารถส่องลงพื้น และ ส่องตรงมือจับนั้นเองครับตามภาพเลยแต่ถ้าปลดล็อคไปซักพักก็จะดับไปตามเวลา ก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่มาตรฐานของบรรดารถยนต์สมัยนี้แล้ว ส่วนรีโมทนั้นจะสามารถสั่งเปิดฝาท้ายได้ด้วย หรือจะ Kicked Sensor ก็ได้เช่นเดียวกันครับ เป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด รวมถึงคันนี้มีประตูดูดไฟฟ้าใส่เข้ามาให้ด้วยทุกบานเลยครับ

ที่ชาร์จไฟนั้นมีไฟส่องสว่างเวลาใช้งานมาให้สีขาว ส่วนไฟท้ายเมื่อเปิดทุกดวงนั้นจะเห็นว่า ไฟตัดหมอกอยู่ขวาล่างสุด พร้อมกับ ไฟทุกอยางเป็น LED ทั้งหมดครับ สว่างแสงเข้ม และไฟเบรคบนสุด แต่น่าเสียดายว่าไม่เป็นเส้นยาวเต็มพื้นที่ โคมไฟยามค่ำคืนนั้นเมื่อมองดีเทลเล็กๆจะเห็นว่าเส้นสายภายในดคมนั้นมีความสวยงามมากๆ และออกแบบได้ดีดวงไฟหน้าแยก 2 ส่วนชัดเจนรองรับระบบ Matrix LED สามารถหลบหลีกคนข้างหน้าได้เวลาเปิดไฟสูง รวมถึงไฟส่องด้านข้างและไฟตัดหมอกในตัวเดียวกัน ไฟเลี้ยวแบบวิ่ง และ DRL มาให้ครบครับ งานออกแบบภายในถือว่าดี

INTERIOR

งานออกแบบภายในรุ่นนี้ยังคงยกมาจากรุ่นปกติครับ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในรายละเอียดเช่นการตกแต่งให้ดูสปอร์ตมากขึ้น พวงมาลัย S-Line ที่มีการตัดขอบรวมถึงวัสดุหนังแบบใหม่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังคงใช้งานโทนสีดำเป็นหลักพร้อมกับไฟ Ambeint light 2 โซนสามารถปรับแต่งสีได้หลากหลายเช่นเดิม และใช้งานหน้าจอสัมผัสทั้งหมดในการควบคุมจอบนและจอล่าง ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว และ รองรับ Apple CarPlay – Android Autoพร้อมกับจอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้วในด้านล่างนั้นเอง ทางด้านระบบเสียงนั้นใช้งาน Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติและหน้าปัดจอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว เอกลักษณ์ของทางค่ายยังคงใส่เข้ามาสวยงามและรองรับการดูแผนที่ได้

ภายในแม้จะเป็น Sportback แต่ยังมีความโปร่งโล่งภายในตัวรวมถึงหลังคากระจกแบบนี้ช่วยได้เยอะทั้ง ความรู้สึกของผู้ที่นั่งตอนหลังหรือแม้จะเป็นพื้นที่ใช้งานจริงๆ แม้ว่าจะเปิดในส่วนหลังไม่ได้ซึ่งเป็นปกติของบรรดารถยนต์แบบนี้ครับ แต่เมื่อเปิดแล้วนั้นลมจากช่องข้างบนนั้นเข้ามาสู่คนที่นั่งด้านหลังเต็มๆ พื้นที่มุมมองอะไรทำได้ดี แม้จะเป็นเบาะแบบ Bucket Seat ในตอนหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัดอะไร ส่วนที่น่าแปลกใจจะเป็นพื้นที่วางขาที่เยอะมากๆครับส่วนงานออกแบบภายในส่วนตัวชอบค่ายนี้อยู่แล้วก็ทำได้สมราคาทั้ง การใช้งาน วัสดุและสีสันของตัวไฟทั้งหลาย

การควบคุมหลักๆนั้นยังคงใช้งานระบบสัมผัสทั้งหมด แต่ทางค่ายก็ยังคงจดีใส่การควมคุมแบบปุ่มมาให้ในส่วนของเครื่องเสียงตรงคอนโซลครับแต่ที่เหลือนั้นเป็นระบบสัมผัสทั้งหมด ส่วนนี้ขอกล้าพูดตรงๆว่าเป็นหน้าจอสัมผัสที่ดีที่สุดในบรรดาคู่แข่งไม่ว่าะจะเป็นความคมชัด การสัมผัสที่ติดนิ้วมากๆ รวมถึงมีระบบสั่นตอบสนองแบบ Haptic ที่เป็นระบบสั่มแบบเสมือนเรากดปุ่มจริงๆ และถ้าแตะธรมดาจะไม่ติดนะ ต้องออกแรงกดครับเป็นหน้าจอที่ล้ำมากๆจริงๆ แต่ก็สามารถใช้งานแบบปกติได้แล้วแต่ชอบนะ รวมถึงการควมคุมแอร์ทั้งอย่างนั้นเป็นระบบสัมผัสในจอล่างทั้งหมดเลย และ สัญลักษณ์ประจำค่ายปกติจะเป็น QUATTRO แต่ครั้งนี้เขียน E-TRON พร้อมกับไฟสถานะส่องสว่างด้วยครับวัสดุภายในห้องโดยสารเป็นหนังทั้งหมดและคุณภาพดีมากรวมถึงมีตัดขอบอลูมิเนียมเงินด้านและสีดำเงาทันสมัย

หน้าปัดสามารถปรับได้ 3 แบบหลักๆครับเป็น Classic , E-Tron , Sport ทั้ง 3 แบบครับส่วนแบบ E-tron นั้นจะเป็นแบบที่ใช้งานค่อนข้างบ่อยเพราะว่ามีความเรียบแต่แสดงข้อมูลอะไรได้ชัดเจนรวมถึงแอบดูสปอร์ตด้วยเช่นกันครับ แน่นอนว่าระยะทางสำคัญทำให้การแสดงระยะทางที่ขับได้นั้นเป็นจุดที่เราจะเห็นได้ชัดของบรรดารถยนต์ไฟฟ้า และในรุ่นนี้สามารถใช้งานกล้องรอบคันได้พร้อมแสดงผลแบบ 3 มิติ และที่เด่นๆคือคุณภาพกล้องคือชัดมากครับ คุณภาพดี

ส่วนนึงที่ชอบของรุ่น e-tron คือตัวเกียร์นั้นที่เราเห็นก้านนั้นจะเหมือนเป็นก้านแข็งทั้งหมดแารมณ์คล้ายกับเครื่องบิน แต่ส่วนที่ขยับได้จริงๆนั้นจะเป็นส่วนสีเงินตรงปลายเกียร์เท่านั้นทำให้เวลาจะเปลี่ยนเกียร์นั้นแค่เลื่อนขึ้นลงเท่านั้นเอง และถ้าหากจอดก็เพียงแค่กดปุ่ม P ถือว่าเป็นงานออกแบบที่ไม่ได้เรียบๆ แบบรถไฟฟ้าคันอื่นแต่ มีการคิดทำให้อารมณ์ของผู้ใช้งานนั้นมีความแปลกใหม่เสมอๆ พวงมาลัยนั้นเป็นทรงเดียวกับรุ่นอื่นๆของค่ายไม่ได้เปลี่ยนแปลงนัก และ จุดที่แตกต่างกับรุ่นเมืองนอกคงจะเป็นกระจกมองข้าง จริงๆถ้ารุ่นกล้องนั้นจะเสริมหน้าจอมาตรงเหนือที่จับประตูตามภาพข้างบนครับ ซึ่งในตัวที่เป็นกล้องแทนกระจก จะใส่หน้าจอทรงเหลี่ยมตรมทรง เสริมเข้ามาให้ตำแหน่งนั้นเลย

ตัวเบาะนั้นถือว่ามีความแตกต่างกับรุ่นทั่วไปอย่างแรกคือในเรื่องของงานออกแบบที่เบาะคู่หน้านั้นจะเป็นแบบ Bucket Seat ทรงสปอร์ต รวมถึงการเล่นลวดลายบนเบาะที่ดูสวยงามมากขึ้น จะเน้นความแตกต่างกันชัดเจนทั้งเรื่องของ ดีไซน์ ความรู้สึกและแน่นอนว่าเจาะกลุ่มตลาดที่แตกต่างกัน ในรุ่น Sportback นั้นจะเน้นไปทางสปอร์ตจัดเต็มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนตัวค่อนข้างชอบภายในแนวทางในรุ่น Sportback มากกว่าดูเท่มากขึ้นเยอะเลยครับ ตัวเบาะนั่งโอบประกับดีมากๆและมีระบบดันหลังอะไรใส่เข้ามาให้ปรับเยอะมากแต่น่าเสียดายไม่มีนวดหลังครับ ส่วนที่รองต้นขานั้นใส่เข้ามาให้ปรับได้ตามภาพเลยนั้นเองและมี Welcome Seat ใส่เข้ามาให้ครับ ทั้งยกพวงมาลัย เบาะ

การออกแบบพื้นที่ภายในทำได้ดีกว่าที่คิดไว้แม้จะเป็นทรง Coupe หรือ Sportback ก็ตามแต่พื้นที่ภายในไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากกว่าที่คิดเลยหลังคาลาดก็จริง แต่พื้นที่ภายในด้านหลังยังโอ่โถงและมีพื้นที่เหลือเหนือศรีษะได้ 1 กำปั้น แม้จะนั่งหลังชิดและแอดมินสูง 180 ก็ตามครับ ส่วนพื้นที่นั่งข้างหลังก็มีม่านด้านหลังและที่วางแขนด้านหลังให้มาครบ ส่วนพื้นที่นั่งในด้านหน้านั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเพราะว่าพื้นที่จัดการได้ดีไม่แตกต่างกับรุ่นอื่นๆหรือว่าตัวปกติเลยครับ ตัวเบาะนั่งได้สบายและกระชับมากขึ้นกว่ารุ่นปกติและรองรับศรีษะได้ดีแม้ว่าจะปรับไม่ได้ก็ตาม แต่ยังคงโอบได้ดี และ ในการขับขี่จริงๆนั้นก็ตอบโจทย์ได้ดีเช่นกันถือว่าตัวเบาะพื้นที่กว้างไม่ต่างกับรุ่นปกติเลยครับและโปร่งเช่นกัน ส่วนตัววัสดุเบาะอะไรนั้นยังคงทำได้นุ่มกระชับแน่นกำลังดี นั่ง 3 คนกำลังสบายๆครับและตรงกลางก็โล่งเช่นกัน

สำหรับพื้นที่เก็บของในด้านหน้าก็มีมาให้เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า ขนาด 60 ลิตร  และสำหรับที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ขนาด 661 – 1,665 ลิตร เพิ่มมากขึ้นถึง 1,000 ลิตรเลยทีเดียวและตัวเบาะสามารถแยกปรับอิสระ 3 โซนได้ทั้งหมดรวมถึงยังคงมีพื้นที่ไม่แตกต่างกับรุ่นปกติเท่าไรด้วย เมื่อไม่ได้พับเบาะนั้นจุได้ เท่ากันเลยถือว่าเป็นการออกแบบที่ฉลาด ส่วนยางอะไหล่มีมาให้พร้อมกับยางแบบ พองลมได้นะครับเห็นแบนๆแบบนี้แต่จะเป็นเทคโนโลยียางที่เน้นพกพา แต่ถ้าจะใช้งานใส่ลมเข้าไปก็จะพองลมออกมาได้เลยพร้อมใช้งาน

แอร์หลังในคันนี้ใส่เข้ามาให้ทั้งหมด 4 ตำแหน่งครับ ตรงกลาง 2 และ เสาข้างๆอีก 2 ทำให้แต่ละที่นั่งนั้นรองรับการใช้งานได้เต็มที่ รวมถึงสามารควบคุมการใช้งานแยกโซนได้อิสระ ซ้ายขวาเลยแม้จะเป็นด้านหลัง พร้อมกับปรับพัดลมได้ รวมถึงใช้งานระบบสัมผัสทั้งหมดในส่วนตอนหลังถือว่าล้ำและใช้งานไม่ยาก ส่วนที่ชาร์จไฟนั้นใส่เข้ามาให้ 2 ตำแหน่ง USB-A พร้อมับไฟสถานะหรือไฟส่องสว่างเวลาใช้งานกลางคืนด้วยจุดนี้ถือว่าคิดมาดีมากๆในการใช้จริง

วัสดุงานออกแบบตรงแผงประตูนั้นเก็บงานออกมาเนี๊ยบและคุณภาพสูงทั้งหมดจะเห็นการใช้วัสดุหนังเย็บตะเข็มจริงสวยงามอีกทั้ง วัสดุหนังกลับก็ทำออกม่ได้ดีตรงแผงประตูรวมถึงชิ้นส่วนสีเงินที่เสริมไฟ Ambient Light นั้นก็ทำออกมาได้สวย และเมื่อมองในภาพรวมออกมาจะเห็นว่าเส้นสายของตัวแผงประตูมีความทันสมัยเข้ากับภายในได้ดีและช่องขนาดใหญ่บนมือจับประตูนั้นจะเป็นพื้นที่สำหรับแปะหน้าจอแทนกระจกมองหลัง แต่รุ่นนี้ใช้งานกระจกเลยทำให้มันแอบดูโล่งๆไปนิดหน่อยในส่วนนี้ครับ ทางด้านลำโพงนั้นให้ B&O ใส่เข้ามาให้ทั้งหมดคุณภาพเสียงดีมากๆครับ

ยามค่ำคืนอีกจุดเด่นของค่าย AUDI ในยุคหลังๆคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเล่นแสงสีที่ต้องบอกว่าเป็นเอกลักษณ์อาจจะไม่ได้เยอะสะใจแบบค่ายตราดาว จะมีไฟยันช่องแอร์แบบนั้นแต่เส้นสายจะเน้นความเรียบง่าย เส้นตรงๆเส้นสายคมไฟอาจจะไม่ได้เยอะหรือหวือหวามากนักแต่ใช้งานจริงสวยและตัดเส้นสายได้ดีครับ มองแล้วรู้ว่ามาจากค่ายไหนอย่างไร และด้วยความที่หน้าจอใช้งานทั้งหมด 3 หน้าจอหลักๆทำให้เหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบิน ยานอวกาศเลยครับ ส่วนไฟในห้องโดยสารเป็นสีขาวพร้อมรองรับระบบสัมผัสทั้งหมดนั้นเอง  และไฟแต่งหน้าอะไรมีมาให้ครบทั้งคู่ครับซึ่งไฟ Ambient Light นั้นจะปรับสีได้หลากหลายสีมาก และแยกปรับได้ 2 โซนครับ สีน้ำเงิน และ แดงแยกกันได้

จะเห็นว่าคอนโซลกลางนั้นมีการยกตัวขึ้นมาและเล่นแสงสีได้ดีมากๆทำให้ตัวคอนโซลนั้นดูลอยขึ้นมาจริงๆ ทำให้ยามค่ำคืนตัวรถคันนี้มีความโดดเด่นและสวยงามมากขึ้น แม้จะเป็นด้านหลังก็ยังคงใส่ไฟเข้ามาให้ทั้ง ไฟส่องบริเวณเท้า หรือจะเป็นไฟ Ambient Light ทั้ง 2 โซน และ ไฟตรงขอบประตูก็ใส่เข้ามาให้ทั้งหมดเลยครับในส่วนหลังรถ

POWERTRAIN

แน่นอนว่าในรุ่นนี้ใช้พลังงานการขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าทำให้ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ใช้งานระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำงานแยกกันหน้าหลัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Gear และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control แน่นอนว่าเป็นระบบการขับขี่ที่ดีอันดับต้นๆของค่ายรถยนต์เลยก็ว่าได้ พร้อมกับพละกำลังที่ไม่ใช่เล่นๆที่มีทั้ง Normal Mode และ Boost Mode รวมถึง Range mode ในการเพิ่มระยะทาง ให้มากขึ้นในการใช้งาน ฉุกเฉินต่างๆครับ ส่วนตัว Normal Mode นั้นจะเป็นโหมดปกติที่มี กำลังสูงสุด 360 แรงม้า โดยจะแยกเป็น มอเตอร์หน้า 170 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า มาพร้อมกับ แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร ส่วนทางด้าน Boost Mode มาพร้อมกับ กำลังสูงสุด 408 แรงม้า มอเตอร์หน้า 184 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า  แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร และจะทำเวลาได้ 5.7 วิในการขับ 0-100 แต่จะทำงานได้แค่ 8 วินาทีเท่านั้น แต่ถ้า Normal mode จะเร่ง 0-100 ได้ 6.6 วิ และ ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่จัดจ้านแน่นอนในการขับขี่ แม้จะเป็น SUV แต่ขับสนุกแน่นอนครับ

เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าของ Audi e-tron Sportback 55 quattro S line มีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Recuperation) อย่างชาญฉลาด 2 รูปแบบ คือ ทั้งจากพลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting) และพลังงานจากการเบรก (Braking)

รูปแบบที่ 1 พลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว ซึ่งมีวิธีการตั้งค่าการทำงานรูปแบบนี้ 2 วิธี คือ ตั้งค่าจากแป้น paddle shift ที่สามารถเลือกปรับได้ 3 ระดับ และผู้ขับขี่สามารถเลือกที่จะตั้งระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่โดยอัตโนมัติผ่านฟังก์ชัน Predictive efficiency assist (PEA) ในระบบ MMI ได้อีกด้วย จากการประมวลผลและควบคุมการเคลื่อนที่เชิงฟิสิกส์ ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็วของรถได้จากการถอนเท้าออกจากคันเร่ง โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรกได้

รูปแบบที่ 2 พลังงานจากการเบรก (Braking) เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกจะส่งผลให้เกิดพลังงานกลับเข้ามาในระบบการขับขี่ หากเหยียบเบรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะสามารถนำพลังงานกลับเข้าไปได้สูงสุดถึง 300 Nm และ 220 Kw หรือคิดเป็นมากกว่า 70% ของกำลังที่มอเตอร์ผลิตได้ และการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ในรุ่น e-tron Sportback นี้ สามารถเพิ่มระยะทางการขับขี่ได้มากถึง 30% ของระยะทางทั้งหมด

DRIVING

ขับขี่ไว้ใจ AUDI จริงๆหลายๆคนที่ชอบการขับรถทั้งเครื่องยนต์ หรือ ไฟฟ้า ช่วงล่าง การเกาะติดถนนค่าย AUDI คืออันดับต้นๆในเรื่องของการขับขี่หรือว่าคุณภาพขับขี่ที่ไว้ใจได้ครับ จากที่เคยลองขับในหลายๆรุ่นของค่ายนี้ยังคงแปลกใจว่าเซ็ทช่วงล่างมายังไงให้มันดูดติดถนนแบบนี้และทุกคนมีอารมณ์คล้ายกันทั้งหมดที่เป็นแบบขับ 4 แบบนี้ครับต้องขอชื่นชมจริงๆในเรื่องการขับขี่ ระบบขับเคลื่อนของค่ายนี้และด้วยครั้งนี้การปรับมาใช้งานรถไฟฟ้าล้วนทำให้ การเฉลี่ยน้ำหนักในภาพรวมนั้น สามารถทำได้ดีขึ้นเป็น 50/50 ทำให้ตัวรถมีเฉลี่ยน้ำหนักได้ดีมากๆคันนึง และ มีแบตส่วนล่างทำให้ศูนย์ถ่วงของตัวรถนั้น ต่ำมากขึ้นแม้จะเป็นรถ SUV แต่การขับขี่บอกเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ขับดีมากๆคันนึงเลย

การปรับมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า มอเตอร์แบบนี้ส่วนนึงที่เห็นได้ชัดมากเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์คือแรงดึงมหาศาล หลังติดเบาะแน่นๆครับและสามารถกดแล้วมาทันทีสามารถทำแรงบิดสูงสุดได้ทันทีเมื่อเหยียบลงไปไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์แบบ เครื่องยนต์ทั่วไป ทำให้ความสนุกในการขับขี่ ความดึงในการขับขี่แน่นอนว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีทางหาได้บนเครื่องยนต์แบบเดิมครับ และ ทำให้หลายๆคนที่ขับรถไฟฟ้า ไม่อยากขับรถน้ำมันอีก ส่วนตัวก็เป็นเหมือนกัน คือมันทั้ง เงียบ ทั้งนิ่ง เร่งแบบเงียบๆแต่พุ่ง หลังติดเบาะแบบนี้เป็นอะไรที่ทำให้การขับรถสนุกมากๆและสะใจ อัตราเร่งแซงทุกจังหวะไม่ต้องรอรอบอะไรทั้งนั้น เหยียบตามใจนึกได้เลยพุ่งได้ตลอดเวลาครับ ส่วน 0-100 ประมาณ 5.7 วินาทีเท่านั้น บอกเลยว่าเป็น SUV ที่เร็วแรงสะใจที่สุดและขับขี่พุ่ง สนุกมากๆ เมื่อทำงานกับช่วงล่างของค่ายนี้บอกเลยว่า มันลงตัวจริงๆ แต่ก็แลกมาด้วยการกินไฟที่หนักหน่อยเพราะตัวรถ หน้ายาง ล้อนั้นใหญ่โตมากๆคันนี้

พวงมาลัยนั้นเซ็ทออกมาค่อนข้างคมตามสไตล์ของค่ายนี้สามารถควบคุมได้ดีทั้งความเร็วต่ำหรือความเร็วสูงจริงๆตัวพวงมาลัยทำน้ำหนักออกมาได้ดีส่วนตัวเท่าที่ลองขับทางไกล เส้นทางโค้งหรือการเปลี่ยนเลยน้ำหนักจะลงตัวมากๆครับแอบดีกว่าตอนที่ขับ Q7 อีกเหมือนกันอาจจะด้วยตัวรถทรงไม่ได้ใหญ่โตมากนักทำให้การเปลี่ยน การโยกอะไรมันนิ่งและคม และแม่นมากๆส่วนตัวชอบพวงมาลัยคันนี้ ทางด้านช่วงล่างเข้าโค้งแรงๆก็แน่นนิ่งไม่ได้โยนมากครับ ทำความเร็วสูงๆทางตรงยังคงนิ่งไม่เจออาการโยนแม้แต่น้อยแม้จะเป็น SUV ทรงนี้ครับ ช่วงล่างยังคงสไตล์ค่ายนี้ได้ดีมาก 150+ ก็ยังคงนิ่งและไม่ต้องเกรงอะไรมากนักครับ ยังคงเอาอยู่สบายๆทั้งช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน ต่างๆด้วย

เก็บเสียงเงียบมากจริงๆทั้งเสียงลม เสียงยาง แน่นอนว่าเสียงเครื่องไม่มีแล้ว ทำให้การขับขี่นั้นเงียบมากคุณภาพการขับขี่สมราคากับ รถยนต์เยอรมัน นำเข้าทั้งคันแบบเนี๊ยบๆแบบนี้ทุกจุดบอกเลยว่างานประกอบ การใส่ใจเก็บเสียงพวกนี้ทำให้มีความแตกต่างกับค่ายอื่นๆแบบรู้สึกได้ชัดเจนมากๆ และด้วยค่า cd ที่ต่ำกว่าเดิมทำให้แรงต้านลมน้อยลงเสียงลมก็น้อยลง ก็ถือว่าทรงนี้ก็ช่วยเรื่องนี้ได้ด้วยครับ และซีลยางเก็บเสียงพวกนี้จัดว่าแน่นและคุณภาพสูงครับ

เบรค นั้นเป็นเบรครถไฟฟ้าที่ตั้งค่ามาค่อนข้างดีไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับรถยนต์ทั่วไปมากนักและสามารถรีเจนหรือตั้งค่าการีเจนได้ 3 ระดับ รวมถึงถ้าเบรคก็จะเป็นการรีเจนด้วยเช่นกันครับ ส่วนระยะเบรคอะไรต่างๆนั้นด้วยขนาดตัวรถใหญ่แบบนี้เบรคก็ยังถือว่าเอาอยู่สบายๆ ระยะไม่ได้ไกลและตัวเบรคจับได้เนียนคือไม่ได้รู้สึกหลอกๆแบบพวก PHEV บางค่ายที่เจอครับ บอกเลยว่าเซ็ทตัวเบรคอะไรมาได้ดีมากๆไม่ต้องปรับตัวเยอะสำหรับ e-tron คันนี้ ทำให้ในภาพรวมนั้นการขับขี่แทบจะหาข้อติอะไรได้ยากนะ ยกเว้นแค่การกินไฟที่อาจจะต้องบอกว่าดุด้วยขนาดน้ำหนักของตัวรถมันเอง

CHARGING

ทางด้านสเปก แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุขนาด 95 kWh ขนาด 396 โวลต์ ให้กระแสไฟเดินทางได้สูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เป็นระยะทางมากกว่า 463 กิโลเมตร   รองรับทั้งการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด ขนาด 150 kW และ กระแสไฟฟ้าสลับ AC ทั่วไปที่เป็น Wallbox พื้นฐาน ขนาด 11 kW หรือ 22 kW และแน่นอนว่าใช้เวลาแตกต่างกันครับ สำหรับการชาร์จไฟฟ้า แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับสถานที่ชาร์จ และการปล่อยประจุของแต่ละที่นะครับ

  • ไฟฟ้า AC 3 phase 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 9 ชั่วโมง
  • ไฟฟ้า AC 3 phase 22 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที
  • ไฟฟ้า DC 150 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0% ประมาณ 40 นาที

ต้องบอกว่ารถไฟฟ้าในไทยก็เริมมีเข้ามาเยอะขึ้น และมีคนใช้งานกันเยอะและส่วนตัวแอดเองก็อยากสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากๆ เลยมาทำให้อ่านกันนิดนึงครับว่าใช้งานกันอย่างไร เวลาประมาณเท่าไร ค่าใช้จ่ายรวมถึง กำลังไฟเข้าเท่าไรครับบ กับ AUDI E-TRON ตัว Sportback นี้ ต้องรอช่วงเวลา  22.00 ก็เปิดแอพใช้งานปกติเลยครับ รองรับได้สบายๆ หัว DC จะเป็น แบบ CSS TYPE อยู่ทั้ง 2 ข้างของตู้จะปลดล็อคเมื่อเข้าแอพเรียบร้อย ลงอะไรทั้งหมด ครับ คิดราคา 6.5 บาทต่อ kw สามารถค้นหาในแอพได้เลยถ้าชาร์จไวนั้นจะเป็นสีส้มแบบในภาพนะครับผม และ เปิดช่วงเวลาหลัง 4 ทุ่ม ถึง 8 โมงเท่านั้น และ ส-อ ทั้งวันเลยครับ

จากที่ทดสอบนั้นจะไปใช้ชาร์จ DC FAST CHARGING ตู้จ่ายกำลังไฟสูงสุด 135kW แต่จริงๆทดสอบนั้นรับได้ 90kw นะครับ ของ EA จะใช้เวลา 45 นาที 30-100% ช่วยชีวิตได้มากกก เสียเงินตามจำนวนที่ใช้งานจริง ครับ วันนี้ วิ่งไป 135 กิโล แบตเหลือ 40% ครับ จาก 270 กิโล ตอน 100%. สำหรับระยะทางจริงๆนั้น 100% หน้าปัดโชว์ตอนแรก 313 นะครับ แต่วิ่งจริงได้ประมาณ 270 มีส่วนต่างกันนิดหน่อย ทั้งแอร์ การเร่งเยอะ เหยียบเยอะพวกนี้ครับ และ การใช้งานตู้แบบนี้ จะได้ ความไว ความสะดวก แต่ราคาอาจจะไม่ได้ถูกสุดนะครับ ยังไงไฟบ้านจะคุ้มค่ากว่า และ ราคาคุ้มต่อการขับขี่มากที่สุดเลยนั้นเองครับ ถือว่าถ้าใครขับรถไฟฟ้ายังไงการชาร์จที่บ้านจะดีที่สุดครับ

AUDI ETRON จะมีบอกสถานะในตัวรถว่ากี่นาทีเต็ม และ ไฟเข้าเท่าไรเท่าทีทดสอบนั้นไฟเข้า 85-90kW เลยนะแรงเอาเรื่องครับ และ ชาร์จเรียบร้อยยย 30 นาทีเต็มม DC QUICKCHARGE ของ EA ราคาตามการใช้งานความจุแบต หมดไป 305 บาท ราคา 6.5 บาทต่อ Kw m ทำให้ ชาร์จไปทั้งหมด 47kW เป็นราคา 305 บาท วันนี้ วิ่งไป 130 กิโล ถ้าคำนวณ ราคา บาท ต่อ กิโล คิดได้ประมาณ กิโลละ 2 บาท ถ้าใช้ Wallbox ที่บ้านจริงจะถูกกว่านี้เยอะเลยครัง ยิ่งถ้าขับไปชาร์จ โรงแรมไหน หรือ ห้างไหนที่มี AC DC ชาร์จฟรีไปเลยยิ่งคุ้ม เพราะของ EA ราคาเลยอาจจะสูงครับ เน้นใช้งาน ฉุกเฉิน หรือ ไปต่างจังหวัด แลกกับ ความไว ความสะดวกเอาครับ แรถแรง และหนักมาก

EV CONSUMTION

อัตราสิ้นเปลืองนั้นในรุ่นนี้เท่าที่ลองขับ แบบพื้นฐานทั่วไป และ ขับแบบซิ่งเหยียบเต็มที่นะครับ เลยจะได้ตัวเลขเป็น 2 แบบหลักๆ ในตอนแรกที่ขับแบบโหดที่สุดทำตัวเลขไปได้ 2.9 km/kWh แต่ถ้าขับแบบคนทั่วไปขับขี่ จะได้ 4km/kWh และ ถ้าขับแบบพื้นฐาน แต่มีเร่งแซงทุกๆจังหวะนั้นจะได้ประมาณ 3.8km/kWn ตามภาพด้านบนนั้นเอง แน่นอนว่าการใช้งานระบบไฟฟ้าทำให้การคิดเรื่องแบบนี้อาจจะไม่เหมือนทั่วไป ไม่เหมือน กิโล ต่อ ลิตรเท่าไรนัก แต่ถ้าจะมองเป็นภาพรวมง่ายๆ จะคิดเป็น กิโลต่อบาท จะมองได้ชัดเจนกว่านั้นเอง ทำให้เราคิดได้ประมาณนี้ครับ โดยจะคิด เรทไฟบ้านเป็น 4 บาท พื้นฐานนะครับ ซึ่ง ขับขี่แบบโหดนั้นจะได้ 1.3 บาท ต่อ กิโล // ขับขี่แบบ ทั่วไปเร่งแซงหนัก จะได้ บาท 1.0 ต่อ กิโล // และขับขี่แบบพื้นฐาน แบบชิลๆไม่ไปดัน ไม่ไปแซงใครต่อใครนั้นจะได้  1บาท ต่อ กิโล นั้นเองก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ราคากำลังดี เมื่อเทียบกับ ขนาดตัว น้ำหนัก และ อัตราเร่งแบบนี้ครับ

และทางด้าน AUDI E-TRON นั้นตามสเปคจริงๆนั้น ชาร์จไฟ 100% จะสามารถวิ่งได้ 460 กิโลเมตรครับ แต่พอใช้งานจริงๆ แน่นอนว่ามันจะมีส่วนที่กันไว้นิดหน่อย ทำให้วิ่งได้ตามตัวเลขบนหน้าจอที่ได้มากที่สุดคือ 340 กิโลเมตร แบบไม่ได้เปิดแอร์ครับ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเปิดแอร์ใช้งาน นั้นจะลดไปอีก 20 กิโลเมตร จะเท่ากับว่าวิ่งได้จริงๆ 320 กิโลเมตร และขึ้นอยู่กับ การเหยียบ การเร่งของคนขับอีกทีนะครับ และ เมื่อเห็นตัวเลข ควรเผื่อไว้ 30-40 กิโลในการเดินทางจริงครับ และนอกเหนือจาก โหมดทั่วไปแล้วนั้น ทางด้าน AUDI จะมีตัวเลือการประหยัดให้เราอีกครับ ทั้งเรื่องของ การเปิด Range Mode ที่จะเพิ่มระยะทางให้ โดยการลดอะไรที่ไม่จำเป็นของตัวรถครับ ทั้งลดแอร์ หรือ การทำงานอะไรที่ไม่จำเป็น และ มีการเปิดแอร์ ECO ที่จะทำงาน แต่จะไม่ได้ทำงานเต็มที่ทำให้ไม่เปลืองพลังงานครับ อีกทั้งยังมีการ ปรับการ Regenไฟเข้าแบต หรือปรับความหน่วงเวลาถอนคันเร่งได้ 3 ระดับเลยนั้นเอง

การทำงานของระบบหน่วงนั้นจะทำงานโดยการเข้าไปเปิดในตัวตั้งค่า Effeciency Assist ที่สามารถปรับเป็น Manual ได้เลยครับ ซึ่งเมื่อปรับเป็น Manual แล้วนั้นเมื่อเราขับรถ เราจะปรับความหน่วงได้จาก Paddle Shfit บนตัวพวงมาลัยนั้นเอง เมื่อกด – มันจะมีเส้นขีดส่วนล่างของ เข็มบอกระดับว่ามันจะรีเจนไฟเข้าเยอะได้สูงสุดแค่ไหน ถ้าไม่ได้เบรคครับ จะปรับได้แบบหน่วงน้อย หน่วงมาก และ ไม่หน่วงครับ ก็ถ้าปรับหน่วงมากจะเน้นประหยัดที่สุดครับ

AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO S-LINE 

รถยนต์ไฟฟ้าล้วน คันที่ 2 ของ AUDI ไม่แปลกใจว่าทำไมยอดขายในเมืองนอกถึงทำออกมาได้ดี หรือ ทำยอดขายดีกว่า TESLA อีกในบางประเทศครับคือหลังจากได้ลองในเรื่องของคุณภาพการขับขี่ คุณภาพวัสดุ คุณภาพตัวรถทุกอย่างงานประกอบมันออกมาได้ในระดับที่ดี เนี๊ยบ รวมไปถึงช่วงล่างแบบแน่นๆ หนึบๆ ทำความเร็วได้แบบนิ่งๆแบบนี้ ระบบขับ 4 ของค่ายทำให้มันหาไม่ได้จากคันอื่นๆในบรรดาคู่แข่งแบบนี้ แต่ถ้ามองพวกระบบไฟฟ้าพวกนี้แน่นอนว่า ระยะทาง เทคโนโลยีอาจจะไม่ได้สุดมากเท่าไรครับ รวมถึงออพชั่นฟีเจอร์อะไรในไทยอาจจะไม่ได้แน่นอันนี้แอบน่าเสียดายมากๆครับ เพราะต้องทำราคาพอสมควร แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนที่บ้าออพชั่นเยอะ แต่เน้นการขับขี่จริงๆ รักการขับขี่จริงๆ ไม่ได้เน้น ฟีเจอร์หวือหวาอะไรเยอะ AUDI ตอบโจทย์แน่นอน และรูปทรง งานออกแบบ ภายนอกภายใน มีอะไรลูกเล่นสวยงาม ไม่ได้เรียบไปซะทีเดียว ทำให้มันดูไม่เป็นรถไฟฟ้าเรียบๆมากเกินไปครับอันนี้อาจจะสไตล์คนชอบกันไป ส่วนเรื่องระยะทางการขับขี่นั้นแอบน้อยกว่าสเปคเมื่อใช้จริง แต่ก็อยู่ในระดับ 300 นิ่งๆได้ก็เรียกได้ว่าเหลือๆต่อการขับขี่ วันนึงในเมืองหรือชานเมืองแล้วครับ กลับมาชาร์จบ้านสบายๆจุดนี้รถไฟฟ้าทำได้ดีแล้ว

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares