AUDI แบรนด์จากเยอรมันที่ลุยในไทยกันแบบหนักหน่วงในไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ ทำราคาได้ดีกว่ายุคแรกมากมายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้ามองในระดับรถเริ่มต้น หรือ รุ่นที่คนนิยมที่สุดในไทยก็หนีไม่พันกับ AUDI A5 ซึ่งถ้ามองเทียบกับคู่แข่งก็จะอยู่ในระดับเดียวกับ C-Class , Series 3 นั้นเอง และ ราคาก็ไม่ได้หนีกันมากนัก แต่ที่ได้เปรียบมากกว่าคือ AUDI จะยังคงเน้นคุณภาพการนำเข้าทั้งคันจากยุโรปทั้งหมด ไม่มีการประกอบในประเทศ แต่ในข้อดีก็อาจจะมีข้อเสียคือ การทำราคาที่จะให้มาเท่ากับคู่แข่งเป็นไปได้ยากจึงต้องมีการปรับออฟชั่น ตัดบางส่วนออกเพื่อทำราคาได้ดีขึ้น แต่บางจุดก็ทำได้ดีกว่าทั้งไฟหน้า MATRIX LED ที่ยังคงใส่มาให้ และ รูปทรงแบบ Sportback หรือ ท้ายลาดแบบ 5 ประตู เป็นจุดที่ไม่มีคู่แข่งในไทยตัวไหนสามารถให้แบบนี้ได้ ทรงสปอร์ต และใส่ของได้เยอะจึงเป็นจุดเด่นเค้า

AUDI A5 ในไทยจะมีให้เลือกถึง 4 ตัวเลือกคือ ตัวถัง COUPE หรือ SPORTBACK และ จะเอารุ่น 45 หรือ 40 ซึ่งแตกต่างกันทั้ง พละกำลัง เครื่องยนต์ ออฟชั่น และ การขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งต่างกันประมาณ 9แสนบาทไทย ซึ่งถ้ามองในแง่การใช้งานทั่วไปในรหัส 40 คันที่เราจะรีวิวนี้ก็เกินพอแล้วกับราคา 2.799 ล้านบาท และ ได้รถที่ขับขี่เทพแบบนี้ ตัวนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ Direct Injection ขนาด 2.0 ลิตร + พ่วงเทอร์โบ Mild Hybrid พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า พละกำลัง 0-100 ภายใน 7.5 วินาที ถือว่าเหลือๆในการใช้งานจริง ส่วนทางด้านออพชั่นไม่ได้เด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายๆตัว แต่ก็ยังให้ MATRIX-LED ในส่วนไฟหน้ามาให้ซึ่ง BMW ก็พึ่งจะใส่มาให้ใน LCI ส่วนทาง C220D นั้นไม่มีแม้กระทั่งสูงต่ำอัตโนมัติ และมาพร้อมกล้องมองหลัง และ ระบบ Keyless Entry ทั้ง 4 บานรองรับได้สบาย และมี Kick Sensor นั้นเอง และยังมี ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control แต่ก็ไม่มี เตือนการชนด้านหน้า หรือ Adaptive Cruise Control หรือ Blind SPOT มาให้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งการที่จะทำราคาให้สู้คู่แข่งได้ ทำให้หลายๆส่วนก็โดนตัดออกไปนั้นเอง แต่ก็ยังดีที่ให้ระบบแอร์แยก 3 โซนใส่เข้ามาให้ด้วย

  • AUDI A5 SPORTBACK 40 TFSI S-LINE : 2.799 ล้านบาท 

EXTERIOR

ถ้ามองในงานออกแบบภายนอก แม้ว่าตัวรถจะออกมาหลากหลายปีแล้วแต่ขอยอมรับเลยว่ามันดีไซน์สวยและลงตัวแม้จะเข้าปี 2023 แล้วก็ตาม มีความโดดเด่นทั้ง เส้นสายรอบคัน และ ตัวรถทรง Sportback ของมันเนี่ยแหละทำให้มันแตกต่างกับรถทรง Sedan แบบคู่แข่งที่หลายๆคนอาจจะมองว่ามัน ผู้ใหญ่ไป แก่ไป แต่คันนี้คือวัยรุ่นเต็มที่ มาพร้อมกับขนาดตัวรถยาว 4.75 เมตร และ สูง 1.38 เมตร รวมถึงกว้าง 1.84 เมตรถือว่าขนาดใหญ่พอสมควรแต่ออกแบบได้ดูคล่องตัว และ สปอร์ต ส่วนคันนี้เป็น S-Line แต่ก็ไม่ใช่ Black Edition แบบตัว 45 ทำให้ดูหรูนิดๆ

ถ้ามองดีไซน์รอบคันนั้นเราจะเห็นว่า AUDI เป็นรถที่ออกแบบเส้นสายรอบคันได้สวย คม และ ชัดเจนที่สุดคันนึงทั้งกระโปรงหน้า เส้นสายข้างๆ และ เส้นสายส่วนบ่าของตัวรถที่ต่อเนื่องยาวตั้งแต่ไฟหน้า จนถึงไฟท้ายรวมถึงในรุ่นนี้เราจะได้โครมเมียมเข้ามาเยอะหลายๆส่วน และ ตกแต่งแบบสีเงินด้านเพราะเป็นตัวเริ่มต้น แต่ความดุดันแบบ S-line ยังคงจัดเต็มผมมองว่าถ้าเทียบกับคู่แข่งทั้งหมด มันดูน่าหลงไหล และ ไม่น่าเบื่อ ทรงสวยที่สุดในบรรดาคู่แข่งทั้งหมดและ การออกแบบไฟหน้า ไฟท้าย LED ที่สวยคม และ ฝาท้ายแนวยาวทั้งหมดบอกเลยว่าทรงดูโดดเด่นกว่า Sedan และที่สำคัญในรุ่นนี้เราจะได้กระจกขอบประตูแบบ Frameless ทั้ง 4 บานบอกเลยว่าเวลาเปิดเท่ และ สปอร์ตมากๆ

ในตัวรถมาพร้อมกับ ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ลาย 5-Parallel-Spoke ยาง ขนาด 255/35 R19 ลวดลายแบบ 5 ก้านยอดนิยม สีเทา เบรคธรรมดา แต่ถ้าในรหัส 45 เองนั้นเราจะได้ล้อขนาดเดียวกัน แต่ลวดลายใหม่ เล่นสีเบรคแดงแรงมากกว่านั้นเอง แต่ในรุ่นนี้ก็ถือว่าเพียงพอกับตัวรถ และ ระยะต่างๆเซ็ทมาดูดี ไม่เตี้ยเกินไปขับง่าย และ ไม่กระด้างมากเกินไปกับยางและขอบยางแบบนี้ ส่วนกระจกมองข้างมาพร้อมกับ 2 โทนสี ไฟเลี้ยวในตัว แต่ไม่มีกล้องรอบคัน หรือ ระบบช่วยเตือนมุมบอดอะไรทั้งสิ้น มีการตกแต่งสัญลักษณ์ S-line ข้างๆสีเงินมาให้ใต้กระจกมองข้าง

จุดที่ทั้งตัว Coupe , Sportback แยกจากกันได้ยากคือมุมมองในด้านหน้าและด้านหลังที่เหมือนกันไม่ว่าจะตัวถังแบบไหนก็ตาม ซึ่งเส้นสายยังคงมีความชัดเจนเด่นสวย และ คม แต่ที่ชอบคือไฟเบรคดวงที่ 3 ตามแนวยาวของกระจกหลังทำให้ท้ายรถดูโดดเด่นพอสมควร พร้อมกับ ชุดกันชนแบบ S-Line ที่มีท่อ 4 เหลี่ยมขนาดใหญ่ และมีท่อจริงข้างในซ่อนอีกทีทำให้ตัวรถดูสปอร์ตขึ้น และ เสริมสีเงินรอบๆเข้ามาส่วนกันชนล่างดูดีพอสมควร จะเห็นเลยว่าสัดส่วนของบริเวณท้ายรถทำออกมาได้ดีมากๆส่วนด้านหน้าเองนั้นดีไซน์กระจังหน้า 6 เหลี่ยมขนาดใหญ่ เสริมด้วยโครมเมียมรอบๆ และช่องดักชมข้างๆทำให้ดูสปอร์ตขึ้น แม้จะเสียดาย Radar ข้างซ้ายและขวาที่ไม่ได้ใช้งานในไทย

ไฟหน้าในรุ่นนี้จะได้ FULL LED ดีไซน์แบบเดียวกันทั้งหมดเมื่อเทียบกับรุ่น 45 และ 40 พร้อมกับ DRL แนวยาวแบบขีดเว้นจังหวะ พร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวแบบวิ่ง ซึ่งในส่วนของไฟหน้าเราจะได้ MATRIX LED เช่นกันซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับราคาแบบนี้ หลบหลีกรถคันข้างหน้าได้แบบละเอียดและไม่แยงตา รวมถึงตัวโคมเองมีการเล่นสีดำเข้ามาส่วนข้างในทำให้ไฟหน้าดูหลบซ่อนเข้าไปจะเห็นแค่ส่วน DRL ตัว L คว่ำเท่านั้นด้วยเช่นกัน ส่วนทางด้านไฟท้าย การเล่นแสงสีแบบเดียวกับด้านหน้า เว้นขีดจังหวะเช่นเดิม พร้อมกับ FULL LED ทั้งหมดเช่นกัน

และด้วยการออกแบบ Sportback หรือว่าการที่รถสามารถเปิดฝาท้ายได้แบบทั้งกระจกทำให้การใช้งานขนของต่างๆนั้นจะสะดวกกว่ารถแบบ Sedan ทั่วไปชัดเจนและเป็นข้อดีที่โดดเด่นกว่า และ รูปทรงจะไม่ใช่พ่อบ้านแบบ WAGON แต่ความอิสระในการใช้งานขนของนั้นทำได้ดีไม่แพ้กัน จากที่เราทดสอบเองนั้นจะเห็นเลยว่าที่เก็บสัมภาระด้านท้ายความจุ 465 และพับเบาะจะได้มากภึง 1,280 ลิตร และเราทดสอบการใช้งานใส่จักรยานทั้งคันได้แบบไม่ต้องถอดล้อ ซึ่งถือว่าถ้าเป็นรถแบบ SEDAN เองทางเราจะไม่สามารถใส่แบบนี้ได้เลย หรือในการขนของแนวยาว แต่ข้อระวังมากๆคือ เวลาจอดตามห้าง หรือ ที่เพดานเตี้ยๆอาจจะต้องตั้งค่าความสูงไว้ และ ระวังชนเพดานที่จอดรถ

INERIOR

งานออกแบบภายในรุ่นนี้ถ้าหลากหลายคนที่เห็นก็อาจจะคิดว่าทำไมดูไม่ทันสมัยหรือเป็นหน้าจอแบบรุ่น A7 พวกนั้น ก็ต้องบอกกันเลยครับว่ามันเป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยนหน้าตา Minorchange ทำให้ภายในอาจจะไม่ได้เปลี่ยนมากนัก แต่ถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อน ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น แสงสีมากขึ้น วัสดุงานออกแบบเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดก็ถือว่ายังพอรับได้กับยุคสมัยนี้ครับ  รวมถึง มาตรวัด Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3″ แสดงผลได้ 3 รูปแบบ และ หน้าจอกลางนั้น MMI Radio Plus เป็นระบบสัมผัส (MMI touch) ขนาด 10.1 นิ้ว อันนี้รองรับ Android Auto Apple Carplay ได้ทันทีพร้อมกับสัมผัสใช้งานได้ด้วย ถึงพวงมาลัยทรงสปอร์ต ปาดขอบล่างก็ดูทันสมัยขึ้นจากรุ่นเดิมครับ แต่ Layout งานออกแบบอะไรนั้นคล้ายเดิม และ ในรุ่น 40 การใช้วัสดุ ตกแต่ง และ แสงสีไฟจะปรับได้น้อยกว่า

แน่นอนว่าตัวหน้าจอใช้งาน MMI Radio Plus เป็นระบบสัมผัส (MMI touch) ขนาด 10.1 นิ้ว อันนี้รองรับ Android Auto Apple Carplay แบบเดียวกับรุ่น 45 ทั้งหมด สัมผัสตอบสนองได้ดี และตำแหน่งใช้งานได้ดี แม้ว่าดีไซน์อาจจะไม่หวือหวา แต่การออกแแบบภายในนั้นการวางตำแหน่งปุ่มใช้งานอะไรนั้นถือว่าใช้งานได้ง่ายและไม่ยุ่งยากมาพร้อมกับงานออกแบบที่เน้นความเรียบๆเป็นเส้นสายตรงๆพร้อมกับหน้าจอตรงกลางจะเห็นว่ามีงานออกแบบแนวนี้ค่อนข้างเยอะในยุคหลังๆ ทำให้มีความเรียบง่ายแต่สวยงามมากขึ้นปุ่มอะไรไม่เยอะแบบสมัยก่อนแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนวัสดุนั้นจะเป็นอลูมิเนียมปัดลายด้านสวยงาม ส่วนทางด้านระบบควบคุมแอร์นั้นให้มาแยก ซ้าย ขวา รองรับการ Sync และ แยก 3 โซน หน้า 2 ฝั่ง และ ด้านหลังได้ทั้งหมด เป็นการปรับแบบปุ่มทั่วไปไม่ใช่จอสัมผัส

พวงมาลัยพร้อมกับ Multi Function ยังคงใช้งานได้เต็มรูปแบบ และ ก้านควบคุมCruise Control นั้นยังคงแยกออกไป จริงๆอยากให้รวมมาใช้งานบนพวงมาลัยให้หมดจะดีกว่าครับ ส่วนพวงมาลัยตัวนี้เปลี่ยนใหม่เป็นแบบปาดขอบทรงใหม่ทั้งหมดพร้อมกับเล่นหนังแบบเจาะรู ทรงสปอร์ตพร้อมกับ S-line ตรงด้านล่างพวงมาลัยจริงๆพวงมาลัยค่อนข้างกระชับและแน่น รวมถึงชอบเรื่องของการขับขี่มีความคมและแม่นยำมากๆทำให้ใช้งานได้ดีเลยทีเดียว ส่วนปุ่มควบคุมเป็นมาตรฐานทั่วไปของค่ายนี้ใช้งานได้ยากครับด้านซ้ายปรับหน้าจอ และ ด้านขวาปรับระดับเสียง เพลงต่างๆ แต่ชอบทรงพวงมาลัยที่มันไม่กลม และขอบข้างๆมีปาดเหลี่ยมเข้ากับมือเวลาขับขี่มากๆครับ รวมถึงมี Paddle Shift มาให้พร้อมเล่นใช้งานบนพวงมาลัย และตรงเกียร์ก็ยังมี D-S + / – เสริมเข้ามา ด้วยเช่นกันครับพร้อมกับ เบรกมือไฟฟ้า ส่วนตัวเกียร์ทันสมัยแล้ว ใช้งานแบบปุ่มกด เวลาจอดตัว P และ มีขนาดสั้นๆกำลังดีใช้งานได้ถนัดมือครับ หน้าปัดนั้นจะเป็นหน้าปัดแบบ  Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3″ แสดงผลได้ 3 รูปแบบสวยงามและแสดงผลได้ชัดเจนเช่นเดิมครับ ส่วนการปรับแต่งก็รองรับได้นิดหน่อยเปลี่ยนหน้าตาได้ว่าจะเอาแบบคลาสิกหรือ Sport ซึ่งดีไซน์การใช้งานผมว่าทำได้ดี เรียบง่าย ไม่หวือหวาเน้นใช้งานเป็นหลัก

TECHNOLOGY

ถ้าถามถึงเทคโนโลยีการช่วยเหลือการขับขี่ หรือ ระบบล้ำๆหวือหวาต่างๆ AUDI อาจจะไม่มีเท่าไรแต่แน่นอนว่าพวกระบบความปลอดภัยพื้นฐานมีมาให้ครบทั้งหมด กล้องมองหลัง เซนเซอร์รอบคันมี แต่ที่น่าจะเด่นที่สุดอาจจะเป็นไฟหน้า MATRIX LED ที่ใส่มาให้รุ่นเริ่มต้นนั้นเอง รวมถึง การออกแบบ UX UI ในบรรดาหน้าจอ เรียบง่ายแต่จัดวางการใช้งาน ปุ่มไอคอน สีสันแต่ละส่วนได้ชัดเจน เรียบง่ายเน้นโทนสีดำ แดง ขาว เป็นหลักมองเห็นได้ชัดเวลาขับรถ

DRIVING

การขับขี่ถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับราคาของมัน แม้ว่าคันนี้จะได้การขับเคลื่อนล้อหน้า แต่มันกลับทำได้ดีกว่าที่คิดซะอีกแน่นนอว่าพละกำลังของมันก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในเมืองหรือต่างจังหวัดพร้อมกับ Mild Hybrid ที่เข้ามาเติมในหลายๆจังหวะการเร่งแซงได้ดีเช่นกันอัตราเร่งจึงไม่เป็นที่น่าสงสัย ในการทดสอบจริงสามารถขับ 0-100 ภายใน 7.8 วินาที และ 80-120 ภายใน 5.5  วินาที ส่วนทางด้านช่วงล่างเองนั้นมีความหนึบ และ แน่น แต่ก็ไม่กระด้างเกินไป ถ้ามองเทียบกับคู่แข่งในตัวเริ่มต้น คันนี้กลับทำได้ดีกว่าชัดเจนในความเร็วสูง หรือ ในการเปลี่ยนเลน ในการเข้าโค้ง ช่วงล่าง AUDI ยังคงโดดเด่นกว่าแบบขัดเจนครับจุดนี้เลยเป็นจุดที่เด่นที่สุดของคันนี้ ส่วนทางด้านพวงมาลัยเซ็ทมากำลังดี แม้ว่าคันนี้จะไม่ได้ช่วงล่างแบบ Sport แบบตัว 45 แต่ก็เข้ากับพวงมาลัยน้ำหนักที่เซ็ทมาทั้งในเมือง และ นอกเมืองได้ดีไม่ได้เบาเกินไปซึ่งแม้จะเป็นขับหน้าก็ตาม ส่วนทางด้านการเก็บเสียงเองนั้นทำได้ดีกว่าคู่แข่งเช่นกันแม้จะเป็นกระจกแบบ Frameless ทั้ง 4 บาน แต่วัสดุคุณภาพงานประกอบ วัสดุเก็บเสียงกลับทำได้ดีมากๆ และแน่นอนว่าในแง่ของอัตราสิ้นเปลือง ในเมืองทำได้ 12  กิโล/ลิตร และ ต่างจังหวัดทำได้ 15 กิโล/ลิตร

AUDI A5 SPORTBACK 40 TFSI

” AUDI เหมาะกับคนรักการขับขี่ ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร แต่ถ้าชอบออฟชั่น คันนี้อาจจะไม่ถูกใจ “

แน่นอนว่าถ้าถามเรื่องการขับขี่ AUDI สามารถตอบโจทย์ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง การเกาะถนน หรือ ความนิ่งของตัวรถในหลายๆความเร็ว แต่ถ้ามองไปที่ สเปก ออพชั่นที่ให้มาเมื่อเทียบกับคู่แข่งมันกลายเป็นน้อยที่สุดแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการที่รถนำเข้าทั้งคันและเจอภาษีที่มากกว่ารถที่ผลิตในประเทศซึ่งเราก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า ปัจจัยสำคัญที่ซื้อรถมาใช้งานนั้นจะเลือกเพราะอะไร ถ้าเน้น ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร ทรงสวยไม่ใช่ซีดาน และชอบคุณภาพวัสดุภายใน งานประกอบ และ เป็นคนรักการขับขี่คันนี้สามารถให้ได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเน้นความหวือหวาภายใน หน้าจอล้ำๆ ระบบช่วยขับให้มาแน่นๆ หรือ แม้จะเป็น ฟีเจอร์ชาร์จไร้สายต่างๆแน่นอนว่าคันนี้อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่ความชอบว่าจะไปในทางไหนแต่บอกเลยว่า มันเป็นรถที่ขับดี และ คุณภาพแน่นที่สุดเมื่อเทียบกับราคาของมัน เป็นรถที่อาจจะหาเจ้าของมาขับได้ยากไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆแต่มันเป็นรถที่มีความพิเศษเช่นเดียวกับเจ้าของที่จะซื้อมันนั้นแหละครับ ต้องลองขับแล้วจะชอบแบรนด์นี้หรือสัมผัสคันจริงน่าจะตอบได้ว่าถูกใจแนวเราไหม

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares