Apple ได้เปิดตัว iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในรุ่น Pro ทั้งสองได้มีการอัพเกรดจากรุ่นธรรมดาทั้งด้านของฮาร์ดแวร์ ประสิทธิภาพ กล้อง และหน้าจอ

ในครั้งนี้ Apple ได้นำฟีเจอร์ “ProMotion” ที่มาพร้อมรีเฟรชเรท 120Hz ทำให้ใช้งานหน้าจอได้ลื่นไหลขึ้น รวมทั้งมีการปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติตั้งแต่ 10Hz-120Hz เพื่อประหยัดพลังงานมาใส่ใน iPhone 13 Pro ทั้งสองรุ่น

iPhone 13 Pro and Pro Max have 120 Hz displays, 3x telephoto cameras, 1 TB storage option

สำหรับขนาดหน้าจอนั้นอยู่ที่ 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้ว ใน iPhone 13 Pro และ Pro Max ตามลำดับ โดยตัวหน้าจอมีรอยบากกล้องหน้าเล็กลง  20% และมีความสว่างขึ้น 25% ในสภาพแสงกลางแจ้ง

กล้องหลังจำนวน 3 ตัวประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 12MP (f/1.5) ที่รับแสงได้มากขึ้น + กล้อง telephoto 12MP (f/1.8) ขนาด 77มม. ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 3x + กล้อง ultra-wide 12MP (f/1.8) และมาพร้อม autofocus ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพมาโครได้ ทั้งนี้กล้องทั้งสามตัวมาพร้อมโหมดถ่ายกลางคืน

นอกจากนี้ฮาร์ดแวร์ของ iPhone 13 Pro และ Pro Max ยังรองรับการถ่ายวิดิโอแบบ ProRes ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาแบบมืออาชีพ และตัดต่อได้ในตัว iPhone รวมทั้งรองรับ Dolby Atmos HDR ที่รองรับการถ่ายวิดิโอ 4K ที่ 60fps และมาพร้อมฟีเจอร์ Photographic Styles ที่ช่วยในการปรับแต่งรูปภาพ

ภายในตัวเครื่องใช้ชิบ Apple A15 Bionic ขนาด 5 นาโนเมตร โดยสิ่งที่อัพเกรดจากชิบตัวเดียวกันใน iPhone 13 รุ่นธรรมดาและ mini คือ มาพร้อม GPU จำนวน 5-core จากปกติมีจำนวน 4-core นอกจากนี้ Neural Engine ยังมีความเร็ว 15.8 TOPS (ในขณะที่ Snapdragon 888+ โฆษณาว่ามี 32 TOPS) ทั้งนี้ Apple ได้เพิ่มรุ่นความจุ 1TB มาใน iPhone 13 Pro ทั้งสามรุ่นด้วย

อย่างไรก็ดี Apple ไม่ได้แถมหัวชาร์จมาให้ในกล่องของ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max

สเปคของ iPhone 13 Pro and iPhone 13 Pro Max 

  • iPhone 13 Pro- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (2532×1170พิกเซล) ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield
  • iPhone 13 Pro Max – หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2778×1284พิกเซล) ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield
  • ชิบประมวลผล A15 Bionic 5nm, GPU 5‑core, Neural Engine 16‑core
  • iOS 15
  • ตัวเครื่องกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
  • ซิมคู่ (nano + eSIM)
  • กล้องหลัง
    • กล้องมุมกว้าง 12MP (f/1.5), เลนส์ 7P, Sensor‑shift OIS, HDR video recording with Dolby Vision at 4K 60 fps, Slo‑mo 1080p at 240fps,
    • กล้อง Ultra Wide กว้าง 120 องศา 12MP (f/1.8), เลนส์ 5P
    • กล้อง Telephoto 12MP (f/2.8), ซุมแบบ optical ได้ 3x ในระยะสูงสุด 6x, Night mode portraits ที่ใช้งาน LiDAR Scanner
    • แฟลช True Tone
  • กล้องหน้า TrueDepth 12MP (f/2.2) + แฟลช Retina
  • iPhone 13 Pro ขนาดตัวเครื่อง: 146.7 ×71.5×7.65มม.; น้ำหนัก: 203 กรัม
  • iPhone 13 Pro Max ขนาดตัวเครื่อง: 160.8 ×78.1×7.65มม.; น้ำหนัก: 238 กรัม
  • FaceID ,ลำโพง Stereo
  • รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Gigabit-class LTE, 802.11ax Wi‑Fi 6 with 2×2 MIMO, Bluetooth 5.0, Ultra Wideband chip for spatial awareness, NFC with reader mode, GPS with GLONASS
  • แบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จด้วย MagSafe, ชาร์จเร็ว, สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 22 ชั่วโมง (iPhone 13 Pro) / 28 ชั่วโมง (iPhone 13 Pro Max) ในการเล่นวิดิโอ

โดย iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max มีให้เลือกในตัวเครื่องสีแกรไฟต์, สีทอง, สีเงิน และสีฟ้า (Sierra Blue) ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 38,900 บาท สามารถเข้าไปดูรายละเอียดราคาในแต่ละรุ่นความจุได้ที่เว็บไซต์ของ Apple ในลิงค์นี้ได้เลย

นอกจากนั้นทาง Apple ยังวางขาย MagSafe สำหรับใช้กับ iPhone 13 และ 13 mini อีกด้วย

SOURCE1, SOURCE2

Comments กันได้เลย !

Comments

0 Shares