Nothing ประกาศความสำเร็จการระดมทุนครั้งใหม่ Series C มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทที่ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความสำเร็จครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของก้าวถัดไป จากแบรนด์สมาร์ตโฟนอิสระเพียงหนึ่งเดียวในทศวรรษที่ผ่านมา สู่การเป็นผู้สร้างแพลตฟอร์ม AI-native ที่หลอมรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าไว้ด้วยกันเป็นระบบอัจฉริยะอย่างครบวงจร

สร้างรากฐานเพื่ออนาคต

ตั้งแต่วันแรกที่ Nothing ก่อตั้งขึ้น เราเชื่อว่าถ้าสามารถสร้างธุรกิจสมาร์ตโฟนให้เติบโตได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ พร้อมถือครองช่องทางการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยตรง เราจะอยู่ในจุดที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งถัดไปของวงการเทคโนโลยี แม้ในตอนนั้นจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าโอกาสนั้นคืออะไร แต่ในวันนี้โอกาสทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว

เราเริ่มจากการวางระบบนิเวศแบบครบวงจรที่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ และรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ที่ผ่านมาเราต่างรู้ว่าการสร้างบริษัทฮาร์ดแวร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะล้มเหลว และแทบไม่มีพื้นที่ให้ความผิดพลาด เราจึงต้องการทีมงานที่ผสานแนวคิดที่ปฏิบัติได้จริง และมีวิสัยทัศน์นอกกรอบใหม่ ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานจะหลงรักทันทีที่ได้สัมผัสในวันนี้ รากฐานของเราแข็งแกร่ง ทั้งงานออกแบบที่คว้ารางวัลระดับโลก ระบบห่วงโซ่อุปทานและการผลิตที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและต้นทุน ภายในเวลาแค่สี่ปี เราส่งมอบอุปกรณ์นับล้านชิ้น และก้าวเข้าสู่ปี 2568 ด้วยยอดขายสะสมทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 150% เมื่อเทียบกับปี 2567

โครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เราได้สร้างขึ้น ด้วยแรงสนับสนุนจากคอมมูนิตี้ผู้ใช้งาน เราจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้ ในวันนี้ Nothing อยู่ในจุดที่ยากที่ใครจะเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ภายในเวลาไม่กี่เดือน กระบวนการเข้าสู่ตลาดที่พร้อมให้บริการและสนับสนุนผู้ใช้ทั่วโลก และคอมมูนิตี้ผู้ใช้งานที่มีส่วนร่วมตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้น โดยที่เราไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดขององค์กรขนาดใหญ่หรือกรอบความคิดเดิม ทำให้เราพร้อมที่จะก้าวสู่บทใหม่ของ Nothing ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

ระบบปฏิบัติการที่ได้รับการอัปเกรด

18 ปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็ใช้สมาร์ตโฟน จนสมาร์ตโฟนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในการจัดการทุกสิ่งอย่างในชีวิตประจำวัน ความทรงพลังของสมาร์ตโฟนไม่ได้อยู่แค่การเข้าถึงผู้คนจำนวนมากเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงบริบทและข้อมูลผู้ใช้ในระดับที่ไม่มีอุปกรณ์ใดเทียบได้ เราจึงเชื่อว่าสมาร์ตโฟนจะยังคงเป็นอุปกรณ์หลักในยุค AI แต่ในขณะที่ AI ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนกลับแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากฟีเจอร์เล็ก ๆ อย่างการแต่งภาพ แปลภาษา หรือผู้ช่วยดิจิทัล ซึ่งก็มักทำงานได้ไม่เต็มที่ หากเราต้องการให้ AI ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ฮาร์ดแวร์สำหรับผู้บริโภคเองก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย จึงเป็นโอกาสของ Nothing ที่จะนิยามอนาคตใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการที่สามารถเข้าใจผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง ปรับเปลี่ยนได้ตรงตามบริบทและความต้องการของแต่ละบุคคล แนะนำสิ่งที่เหมาะสมได้อย่างลื่นไหล และเมื่อเรายืนยันสิ่งที่ต้องการ ระบบจะดำเนินการต่อ อะไรที่ไม่สำคัญระบบจะจัดการแทนเรา เพื่อให้เราได้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน ไม่ใช่ระบบแบบ “หนึ่งเดียวสำหรับทุกคน” (one-size-fits-all) แต่คือระบบที่ปรับได้เป็นพันล้านรูปแบบ รองรับผู้ใช้นับพันล้านคน และเมื่อเวลาผ่านไป ระบบปฏิบัติการนี้จะเชื่อมต่อครอบคลุมอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน อุปกรณ์เสียง สมาร์ตวอตช์ แว่นตาอัจฉริยะ หุ่นยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่นที่จะถูกสร้างขึ้นในอนาคต ความได้เปรียบของ Nothing คือการที่เราถือครองช่องทางการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยตรง และรู้จักผู้ใช้ดีที่สุด หากไม่มีข้อมูลบริบทเหล่านี้ ระบบปฏิบัติการก็ไม่อาจมอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริงได้ บทถัดไปของเราจึงเป็นการรวม AI เข้ากับฮาร์ดแวร์ สร้างระบบใหม่ให้เทคโนโลยีทำหน้าที่ขยายขีดความสามารถของมนุษย์

อุปกรณ์แห่งอนาคตที่จะทำยอดขายระดับพันล้านชิ้น

ในระยะสั้น สมาร์ตโฟนยังคงเป็นอุปกรณ์เพียงชนิดเดียวที่มีการส่งมอบระดับพันล้านชิ้นต่อปีทั่วโลก แต่ไม่นานจากนี้ เราจะมีอีกหนึ่งอุปกรณ์ติดตัว ซึ่งจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญไม่แพ้สมาร์ตโฟน เราจะเข้าใจว่ายิ่ง AI ได้รับข้อมูลมากขึ้น ก็ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน แต่สมาร์ตโฟนไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลา บางครั้งมันอยู่ในกระเป๋า หรือเราอาจจะยุ่งอยู่กับการถือของเต็มมือ เราจะได้เห็นอุปกรณ์ AI-native แบบใหม่ ที่พร้อมใช้งานทุกช่วงเวลาที่ต้องการ พร้อมระบบอัจฉริยะที่เปลี่ยนความเข้าใจให้กลายเป็นการลงมือทำ เราเชื่อว่านี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด ชวนให้จินตนาการถึงอุปกรณ์ที่เข้าใจโลกผ่านมุมมองหลายมิติ และสร้างอินเทอร์เฟซได้ตามความต้องการของผู้ใช้ เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อมองหาว่าอนาคตของ AI-native จะเป็นอย่างไร และตื่นเต้นที่จะเปิดตัวอุปกรณ์ AI-native รุ่นแรกของเราในปีหน้า

แรงสนับสนุนจาก Series C

เงินทุนในรอบนี้จะช่วยให้เราสามารถเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการเร่งแผนพัฒนานวัตกรรมและขยาย ช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงผู้คนทั่วโลก การระดมทุนครั้งนี้นำโดย Tiger Global และได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นเดิมอย่าง GV, Highland Europe, EQT, Latitude, I2BF และ Tapestry รวมถึงนักลงทุนเชิงกลยุทธ์รายใหม่อย่างNikhil Kamath และ Qualcomm Ventures นอกจากนี้ เรายังเตรียมเปิดการระดมทุนรอบใหม่กับคอมมูนิตี้ผู้ใช้งาน เปิดโอกาสให้ผู้สนับสนุนของเราได้มีส่วนร่วมในเส้นทางของ Nothing อีกครั้ง รายละเอียดเพิ่มเติมจะเปิดเผยเร็ว ๆ นี้ Nothing ขอขอบคุณคอมมูนิตี้ผู้ใช้งาน ทีมงานของเรา และพันธมิตรทุกคนจากใจจริง เพราะบทถัดไปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีคุณ นายคาร์ล เพ่ย (Carl Pei) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Nothing